27 ก.ย. 2022 เวลา 09:27 • กีฬา
เดิมพันด้วยศเซอร์ : ทีมชาติอังกฤษ จากรองแชมป์ยูโรสู่ที่อาจหมดลุ้นแชมป์โลกแต่ไก่โห่ | Main Stand
ทีมชาติอังกฤษ พัฒนาขึ้นมากในยุคของ แกเร็ธ เซาธ์เกต ตั้งแต่การจบอันดับ 4 ในฟุตบอลโลก 2018 ถึงการเป็นรองแชมป์ยูโร 2020 อย่างเฉียดฉิว หลายคนคงเลิกตั้งคำถามและเริ่มเอาใจช่วยพวกเขามากขึ้นเรื่อย ๆ และเฝ้ารอชมผลงานในทัวร์นาเมนต์ฟุตบอลโลก 2022 ที่กำลังจะมาถึง
อย่างไรก็ตามจากทีมคนหนุ่มที่แพ้ยากและเล่นเพื่อผลการแข่งขันได้ดีที่สุดทีมหนึ่งในช่วง 4 ปีหลังกลับเปลี่ยนไป อังกฤษกลายเป็นทีมที่ทำผลงานได้แย่ที่สุดในฟุตบอล ยูฟ่า เนชั่นส์ลีก และนั่นนำมาซึ่งคำวิจารณ์ที่มากขึ้นในแบบที่ไม่เคยเป็น
จากคนที่เคยคาดว่าจะได้ยศเซอร์ (อัศวิน) ตอนนี้เซาธ์เกตถูกมองว่าเป็นคนที่สมควรตกงาน .. เกิดอะไรขึ้นภายในระยะเวลาอันสั้น ติดตามได้ที่นี่กับ Main Stand
เรื่องของพัฒนาการ
การเข้ามาทำทีมชาติอังกฤษของ แกเร็ธ เซาธ์เกต ครั้งแรกในปี 2016 นั้น เคยเป็นกระแสถกเถียงของแฟนบอลอังกฤษเป็นอย่างมาก พวกเขาไม่เชื่อว่ากุนซือที่ไม่เคยคุมทีมใหญ่ และไม่เคยได้รับความสำเร็จระดับเมเจอร์อย่างเซาธ์เกตจะเข้ามาจัดการทีมที่เต็มไปด้วยซูเปอร์สตาร์อย่างทีมชาติอังกฤษได้
สิ่งที่หลายคนตั้งข้อสงสัยในตัวเซาธ์เกตยังไม่จบแค่นั้น พวกเขามองว่าโค้ชต่างชาติคือตัวเลือกที่ดีกว่า เพราะโค้ชต่างชาตินั้นขึ้นชื่อเรื่องความหลากหลาย แทคติกที่เหนือชั้น และมุมมองที่แปลกใหม่
อย่างไรก็ตามทาง สมาคมฟุตบอลอังกฤษ ก็เชื่อมั่นในตัวเซาธ์เกต เพราะเขาเป็นคนที่อยู่กับทีมชาติชุดเยาวชนมานาน นับตั้งแต่ปี 2011 เซาธ์เกตเคยรับงานกับเอฟเออย่างการเป็นหัวหน้าฝ่ายพัฒนานักเตะ ก่อนได้คุมทีมชาติอังกฤษชุดยู-21 ตั้งแต่ปี 2013 เป็นต้นมา และอยู่จนมาคุมทีมชาติชุดใหญ่ในภายหลัง
เซาธ์เกตทำให้ความเคลือบแคลงใจที่มีต่อเขาลดลงได้ในทันทีตั้งแต่ทัวร์นาเมนต์แรกในฟุตบอลโลก 2018 ที่รัสเซีย เขาพาอังกฤษไปถึงรอบรองชนะเลิศ ก่อนจบด้วยอันดับที่ 4 จากนั้น 2 ปีต่อมาเขาก็พาทีมเข้าชิงชนะเลิศ ยูโร 2020 ในสนามเวมบลีย์ แต่ก็พลาดแพ้จุดโทษให้กับ อิตาลี ในท้ายที่สุด ... แม้จะไม่ถึงฝันแต่นี่ก็คือการเข้ารอบลึกที่สุดของอังกฤษในห้วงหลายปี
วิธีการของเซาธ์เกตนั้นแตกต่างจากวิธีการของโค้ชทีมชาติอังกฤษคนอื่น ๆ ในอดีตอย่างสิ้นเชิง เขาทำให้อังกฤษเป็นตัวของตัวเอง ไม่ต้องเล่นฟุตบอลระบบที่แน่นอนเหมือนเยอรมัน ไม่ต้องแทคติกจ๋าแบบฟุตบอลอิตาลี ไม่ต้องต่อบอลและใช้ความสามารถส่วนตัวแบบสเปน
แต่วิธีของอังกฤษนั้นเรียบง่ายและได้ประสิทธิภาพมาก ๆ นั่นคือการเล่นเกมรับด้วยความอดทน จากนั้นใช้บอลไดเร็กต์ (ส่งไปข้างหน้าให้เร็วที่สุด) เพื่อสร้างโอกาสยิงประตูให้กับตัวเอง และเหนือสิ่งอื่นใดคือการเน้นสุด ๆ เรื่องลูกตั้งเตะที่กลายมาเป็นอาวุธชี้ขาดการแข่งขันให้อังกฤษมาตลอด 4 ปีหลังสุด
ความนิยมในตัวของเซาธ์เกตเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งก่อนฟุตบอลโลก 2022 ที่กาตาร์จะเริ่มแข่งขันหลายสิ่งหลายอย่างก็เริ่มเปลี่ยนไป วิธีการที่เคยใช้ได้มาเสมออย่างการตั้งรับแล้วสวนกลับกลายเป็นของหายากที่อังกฤษทำได้น้อยลง หรือแม้กระทั่งลูกตั้งเตะที่เคยใช้ชี้ขาดผลการแข่งขันก็โดนจับทางได้ เรื่องนี้สะท้อนถึงฟอร์มของอังกฤษในเกม ยูฟ่า เนชั่นส์ลีก ฤดูกาล 2022-23 ที่พวกเขาไม่สามารถทำประตูด้วยการเล่นแบบโอเพ่นเพลย์ได้เลยตลอด 5 เกมแรก
กว่าจะมายิงแบบโอเพ่นเพลย์ได้ก็ต้องรอถึงเกมสุดท้ายที่เปิดบ้านพบ เยอรมนี ซ้ำร้ายพวกเขาเพิ่งทำลายสถิติ "ยิงประตูไม่ได้ติดต่อกันเกิน 3 เกม" เป็นครั้งแรกในรอบ 22 ปี
สิ่งที่เกิดขึ้นแสดงให้เห็นได้ถึง 2 อย่างแล้วแต่จะตีความ อย่างแรกคืออังกฤษไม่ได้มีพัฒนาการเพิ่มขึ้นในแง่คุณภาพ กล่าวคือเมื่อพวกเขาสร้างทีมใหม่ที่มีแต่คนมองข้ามอังกฤษที่มักเป็นหมูสนามจริงสิงห์สนามซ้อมมาตลอด มันจึงทำให้เกมไดเร็กต์และเน้นลูกตั้งเตะใช้งานและสร้างเซอร์ไพรส์ได้ตลอด
2
ประการที่สอง คือเมื่อผ่านไป 5 ปีนับตั้งแต่เซาธ์เกตมาคุม ชาติที่เป็นคู่แข่งของอังกฤษจับทางพวกเขาได้หมดแล้ว พวกเขามีอาวุธหลักเป็นการจังหวะเล่นเกมรุกให้น้อยที่สุด ฝากบอลไว้ที่ แฮร์รี่ เคน และใช้ ราฮีม สเตอร์ลิ่ง เป็นตัวทะลุทะลวง
เรื่องใหญ่ของทีมชาติอังกฤษคือภาระผู้ทำประตูของพวกเขาถูกผลักไปให้เคนและสเตอร์ลิ่งเท่านั้น ในฟุตบอลโลก 2018 อังกฤษยิงได้ 12 ลูก ครึ่งหนึ่งมาจากประตูของทั้งสองคน ขณะที่ในยูโร 2020 พวกเขายิงได้ 11 ประตู โดยเคนยิงไป 4 และสเตอร์ลิ่งยิงได้ 3 ประตู ...
พวกเขายิงประตูเกิน 50% ของที่ทีมยิงได้ และสถิติก็เป็นเช่นนี้อีกครั้งใน ยูฟ่า เนชั่นส์ลีก 2022-23 เพราะถึงทีมสิงโตคำรามจะยิงได้น้อยนิดเพียง 4 ประตู แต่เคนก็เหมาคนเดียวไปครึ่งหนึ่งของประตูที่ทำได้ทั้งหมดอยู่ดี (2 ประตู ที่เหลือเป็นของ ลุค ชอว์ กับ เมสัน เมาท์) ที่สำคัญ ทุกประตูยังเกิดในเกมพบ เยอรมนี (เยือน 1 เหย้า 3) อีกด้วย
นอกจากคู่แข่งจะรู้จักอาวุธหลักแล้ว พวกเขายังรู้ว่าอาวุธลับของอังกฤษคือการเล่นลูกตั้งเตะด้วยแทคติกที่หลากหลาย สิ่งนี้ก็ถูกแก้ทางได้สำเร็จ แล้วทีนี้เซาธ์เกตจะแก้ปัญหานี้อย่างไร ?
ทีมชาติเยอรมัน กลับมาคว้าแชมป์โลกในปี 2014 ได้ด้วยการหยิบจับเอาระบบ 4-2-3-1 ที่ใช้แทคติกแบบฟุตบอลสมัยใหม่ที่รุกทั้งทีมรับทั้งทีม, สเปน เปลี่ยนจากยุคหมูสนามจริงสิงห์สนามซ้อมให้เป็นแชมป์โลกและแชมป์ยุโรปด้วยการหยิบเอาสิ่งที่พวกเขาถนัดที่สุดคือการครองบอลและเทคนิคมาต่อยอดด้วยนักเตะคุณภาพสูงจนทำให้ลดจุดด้อยเรื่องความแข็งแรงได้สำเร็จ, อิตาลี เปลี่ยนจากทีมจอมแทคติกตั้งรับอย่างทนกลายมาเป็นทีมที่ใช้ความเร็วและเปิดเกมรุกใส่คู่แข่งก่อนจนพวกเขาเป็นแชมป์ยูโร 2020 ...
ทุกชาติที่กล่าวมาเปลี่ยนแปลงแนวทางตามยุคสมัย สิ่งที่เราจะบอกคือแล้วอังกฤษล่ะ พวกเขาจะใช้วิธีการเดิมได้ผลอีกหรือไม่เมื่อฟุตบอลโลก 2022 มาถึง
ความกดดันที่สูงขึ้นทุกวัน
"มีเสียงมาจากทั่วทุกสารทิศ ซึ่งจะถาโถมมาหาผม และแน่นอนว่ามันสบายมาก มันเป็นหน้าที่ของผมในการแบกรับความกดดันแทนพวกเขา" เซาธ์เกต กล่าวแบบนี้ตอนที่อังกฤษแพ้อิตาลี 0-1 ในเกมเนชั่นส์ลีก นัดรองสุดท้ายของฤดูกาล 2022-23
1
คนอังกฤษตั้งความหวังกับทีมชาติอังกฤษมาโดยตลอดไม่ว่าจะยุคไหน ๆ ทว่าเรื่องดังกล่าวเบาลงในยุคที่เซาธ์เกตมาคุมทีมใหม่ ๆ เพราะเมื่อเวลาผ่านไปทุกคนก็เข้าใจดีกว่าเซาธ์เกตจะลองใช้บริการนักเตะเลือดใหม่เพื่ออนาคต มีนักเตะที่ไม่เคยติดทีมชาติได้รับโอกาสครั้งแรกในยุคของเซาธ์เกตหลายคน ซึ่งนั่นทำให้ทุกคนเข้าใจได้ว่าการให้เวลาและรอทีมการสร้างทีมของเซาธ์เกตคือเรื่องที่สมเหตุสมผล และยิ่งเห็นผลงานในฟุตบอลโลก 2018 และ ยูโร 2020 ก็ยิ่งทำให้เซาธ์เกตเป็นกุนซืออังกฤษคนแรกในรอบกว่า 30 ปีที่ได้รับคำชมมากกว่าใคร ๆ
อย่างไรก็ตามตอนนี้ทีมของเซาธ์เกตไม่ใช่ของใหม่สำหรับแฟน ๆ อีกแล้ว นักเตะที่เคยใหม่ก็กลายเป็นขาประจำ และนั่นคือสิ่งที่ทำให้หลายคนไม่พอใจและคาดหวังอะไรมากไปกว่านี้
เซาธ์เกตเคยเป็นคนที่บอกว่าเขาจะเลือกนักเตะด้วย "ฟอร์มปัจจุบัน" ทว่าเมื่อถึงเวลาจริง ๆ นักเตะอย่าง แฮร์รี่ แม็คไกวร์ ที่สภาพจิตใจและฟอร์มการเล่นพังพินาศจนหลุดไปเป็นตัวสำรองกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยังคงเป็นตัวเลือกแรกในแนวรับของเขาเสมอ
ไม่ใช่แค่แม็คไกวร์เท่านั้น เซาธ์เกตไม่ยอมแก้ปัญหาที่ทุกคนรอคอย นักเตะตัวรุกนอกจากเคนและสเตอร์ลิ่งคือใคร ? ตำแหน่งแบ็กซ้ายที่มีปัญหาตลอดเวลาก็ยังไม่เคยได้ตัวหลักจริง ๆ สักที เซาธ์เกตโดนแซวเรื่องการเป็นคน "คลั่งแบ็กขวา" เพราะเขาใช้งานนักเตะที่ถนัดแบ็กขวาไปเล่นแบ็กซ้ายอยู่บ่อย ๆ เจมส์ จัสติน, คีแรน ทริปเปียร์ และ รีซ เจมส์ ชื่อเหล่านี้เคยโดยโยกไปเล่นแบ็กซ้ายมาหมดแล้ว
กว่าจะพยายามแก้ไขเรื่องแบ็กซ้าย เซาธ์เกตก็รอจนช่วงท้ายของเนชั่นส์ลีก ที่เขาลองเอา บูกาโย ซาก้า ปีกตัวรุกของ อาร์เซนอล มาลองเล่นในตำแหน่งวิงแบ็กซ้ายของทีม
ไหนจะเรื่องระบบการเล่นของทีมชาติอังกฤษที่ทุกวันนี้ก็ยังไม่มีใครกล้าฟันธงว่าจริง ๆ แล้วพวกเขาถนัดแผนการเล่นไหนมากที่สุด 3-4-3 หรือ 4-2-3-1 หรือ 3-5-2 ? แผนเหล่านี้ถูกวนใช้แบบนัดต่อนัด เรียกได้ว่าเมื่อคุณไม่ได้มีระบบการเล่นที่ชัดเจนและไม่มีแกนหลักที่แค่เห็นชื่อก็ร้องอ๋อว่าหมอนี่ตัวจริงแน่นอน มันทำให้การต่อยอดไปยังระดับที่สูงกว่าเดิมเป็นเรื่องที่ยากขึ้น
ปัญหาหลายข้อยังไม่ถูกแก้ คำถามหลายคำถามทำให้คนรอเริ่มหมดความอดทน ฟิล โฟเดน ควรเป็นตัวจริงหรือไม่ ? เมสัน เมาท์ ควรเล่นในตำแหน่งไหน ? มาร์คัส แรชฟอร์ด และ เจดอน ซานโช่ ควรได้โอกาสกลับมาติดทีมชาติหรือไม่ ? ... แฟนบอลอังกฤษเบื่อกับการต้องรอคำตอบของคำถามเหล่านี้ พวกเขาเริ่มส่งความกดดันไปยังทีมชุดนี้มากขึ้นเรื่อย ๆ บางความเห็นถึงขั้นมองว่าเซาธ์เกตสมควรถูกไล่ออกจากตำแหน่ง
สิ่งเหล่านี้ทำให้งานของเซาธ์เกตยากขึ้นเรื่อย ๆ ผู้คนจับจ้องมาที่ผลการแข่งขันเพื่อเป็นตัวชี้วัดทุกอย่าง ดังนั้นการที่เซาธ์เกตจะลองผิดลองถูกก็กลายเป็นเรื่องยากและมีราคาต้องจ่าย ซึ่งมันก็คือความกดดันที่มากขึ้นทุกวัน และฟุตบอลโลกครั้งนี้เขาได้เอาคอของตัวเองขึ้นไปบนเขียงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ต่อให้เอฟเอ จะยังไว้ใจเขา แต่แฟน ๆ ล่ะจะรอทีมของเซาธ์เกตไหวหรือเปล่า ?
พิสูจน์ด้วยผลงาน
ยูฟ่า เนชั่นส์ลีก คือรายการที่ชาติต่าง ๆ ไม่ได้มุ่งเน้นให้ความสำคัญมากนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาติใหญ่ที่ต่างก็พยายามใช้รายการนี้ทดลองตัวผู้เล่น ระบบ และแทคติกใหม่ ๆ ดังนั้นการตัดสินเซาธ์เกตและทีมชาติอังกฤษชุดนี้ในรายการประเภท "เลเวล 2 ของเกมกระชับมิตร" คงเป็นอะไรที่ดูแล้วไม่ค่อยแฟร์กับเขาเท่าไรนัก
อย่างไรก็ตามตอนนี้คำพูดของเซาธ์เกตก็มีน้ำหนักน้อยลงกว่าช่วงก่อนมาก เขาพยายามแก้ต่างแล้วบอกว่าทีมชุดนี้กำลังเดินไปในทิศทางที่ถูกต้อง แต่สิ่งที่เขาควรทำในเวลานี้ไม่ใช่การพูดแต่เป็นการแสดงผลงานให้มากลบคำวิจารณ์ ซึ่งข้อนี้คือเรื่องคลาสสิกที่ใช้ได้เสมอในโลกของฟุตบอล
"มันก็ยากอยู่กับคำวิจารณ์ที่มากมายในตอนนี้ แต่ทีมชุดนี้ก็เหมือนทีมอื่น ๆ ที่มีช่วงเวลาที่ดีที่แสดงให้เห็นถึงขอบเขตของพัฒนาการ หนทางเดียวที่จะทำแบบนั้นคือยึดมั่นสิ่งที่เราเชื่อ ยึดในสิ่งที่เราประสบความสำเร็จในทัวร์นาเมนต์ก่อนหน้านี้ และท้ายที่สุดนักเตะต้องแน่นแฟ้นกันเข้าไว้" เซาธ์เกต กล่าวหลังแพ้อิตาลี 0-1 ทำให้ทีมสิงโตคำรามตกชั้นสู่ลีก B อย่างเป็นทางการในเนชั่นส์ลีกซีซั่นถัดไป
สิ่งที่เซาธ์เกตบอกคือการเล่าย้อนความไปในเรื่องของอดีต เรื่องของทัวร์นาเมนต์ที่ผ่านมา ดังนั้นมันจึงวนกลับมาเรื่องเดิมว่า คำพูดเหล่านี้ไม่ได้จำเป็นเลยหากเทียบกับการแสดงผลงานและเอาสิ่งที่เป็น "ปัจจุบัน" มาคุยกัน ซึ่งปัญหาปัจจุบันของทีมชาติอังกฤษก็มากมายหลายข้อดังที่กล่าวไว้ในข้างต้น
ผลลัพธ์แย่ลงขณะที่ความคาดหวังกำลังเพิ่มขึ้น สัญญาณอันตรายนี้บ่งบอกว่าตำแหน่งของเซาธ์เกตกำลังสั่นคลอน เช่นเดียวกับนักเตะทีมชาติอังกฤษที่ได้รับคำชมมาตลอด 4-5 ปีหลัง ตอนนี้พวกเขาเริ่มถูกนำมาวิจารณ์บนหน้าสื่อ วิเคราะห์เรื่องความเหมาะสมถึงตำแหน่งของแต่ละคนในทีมชาติ ซึ่งสิ่งเหล่านี้คือโลกแห่งความเป็นจริง โลกที่นักเตะทีมชาติอังกฤษทุกยุคทุกสมัยต้องเจอ และน้อยครั้งที่พวกเขาจะก้าวข้ามคำวิจารณ์และความควาดหวังเหล่านี้ได้
ณ โอกาสต่อจากนี้ไปเซาธ์เกตต้องย้อนกลับไปทำในสิ่งที่เขาทำเหมือนกับวันที่เขารับตำแหน่งใหม่ ๆ นั่นคือการ "ฟัง" มากกว่า "พูด" เขามองข้ามปัญหาต่าง ๆ ที่โดนทักมานานแล้ว และเขาต้องพิสูจน์ด้วยผลงานว่าเขามีเหตุผลดีพอที่จะเชื่อว่าปัญหาในมุมของมหาชนนั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับทีมของเขา และเขามีวิธีแก้ไขมันในแบบของตัวเอง
ฟุตบอลโลก 2022 คือทัวร์นาเมนต์ที่จะได้ตัดสินอนาคตของโค้ชหลาย ๆ คนรวมถึงเซาธ์เกตด้วย การตัดสินใจของเขาต้องเด็ดขาดและเห็นแก่ผลประโยชน์ของทีมมากที่สุด การทำในสิ่งที่แตกต่างจนใครหลายคนตั้งคำถามจะถูกลืมหากทีมชาติอังกฤษทำผลงานได้ดีในฟุตบอลโลกครั้งนี้ ... ซึ่งจากสิ่งที่เกิดขึ้น ณ ปัจจุบันก็ต้องยอมรับว่าพวกเขาดูจะไม่เหมาะกับตำแหน่ง "ตัวเต็ง" เท่าไรนัก
เหลือเวลาอีกแค่เดือนกว่า ๆ ที่ฟุตบอลโลกจะเริ่มขึ้น ความโกลาหลแบบคลาสสิกของทีมชาติอังกฤษกำลังจะเกิดขึ้น ทุกการตัดสินใจของเขาจะถูกตั้งข้อสงสัยไม่เว้นแต่ละวัน แทคติกแบบไหน นักเตะคนไหนควรติดหรือควรหลุดจากชุดฟุตบอลโลก และเขาควรใช้ใครในตำแหน่ง 11 ตัวจริง
ฟังเสียงวิจารณ์ มองด้วยใจเป็นกลาง และลงมือทำ 3 สิ่งนี้เท่านั้นที่จะช่วยให้การแก้ไขปัญหาของ เซาธ์เกต และ ทีมชาติอังกฤษ ทุเลาลง ... การเดิมพันครั้งนี้มีราคาสูงมาก เขาอาจจะจบทัวร์นาเมนต์ด้วยการเป็น เซอร์ แกเร็ธ เซาธ์เกต หรือเป็นแค่กุนซือตกงานคนหนึ่ง ... อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้นหลังฟุตบอลโลกครั้งนี้
แหล่งอ้างอิง
โฆษณา