Tech By True Digital ครั้งนี้ เราจะพาไปสำรวจการทำงานของ AI ว่า นอกเหนือจากการทำงานที่เลียนแบบระดับการรับรู้และประมวลผลสติปัญญาแบบมนุษย์ (Cognitive Functions) แล้ว AI ยังถูกพัฒนาให้ก้าวเข้ามายังดินแดนของความรู้สึกนึกคิดหรืออารมณ์ (Emotive Area) ในแง่มุมใดที่เราอาจไม่เคยคาดคิดได้บ้าง
ปัจจุบัน AI 'Buddhabot' เปิดให้ใช้บริการในโอกาสพิเศษเท่านั้น เนื่องจากการใช้ AI ในมิติศาสนาอาจยังเป็นประเด็นที่มีความอ่อนไหว ทีมวิจัยจึงวางแผนจะเผยแพร่สู่สาธารณะเมื่อพัฒนาเวอร์ชันที่สมบูรณ์ที่สุด และสามารถสร้างความเข้าใจให้กับสังคมเกี่ยวกับการใช้รูปพระพุทธเจ้าแบบ AR ใน AI 'Buddhabot' ได้ดีแล้วเสียก่อน
โดยทีมนักวิจัยมองว่าเป้าหมายที่แท้จริงของการพัฒนา AI 'Buddhabot' นั้นก็เพื่อช่วยเรื่องวิกฤติการเข้าถึงศาสนาพุทธที่ลดลงจากปริมาณการเข้าวัดของคนญี่ปุ่น ในขณะเดียวกันยังเป็นที่พึ่งของผู้คนในปัจจุบันที่มีความวิตกกังวลและความเครียดเพิ่มมากขึ้นท่ามกลางการระบาดของโควิด-19 หรือวิกฤติอื่น ๆ ของสังคมโลก ด้วยการเป็นแพลตฟอร์มในการตอบคำถามเกี่ยวกับความกังวลโดยอัตโนมัติจากมุมมองทางพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นการผสมผสาน ความศรัทธา เข้ากับเทคโนโลยี AI และ Metaverse ด้วย
★
AI กับศิลปะ
เดิมทีนั้นงานศิลปะถูกจัดอยู่ในหมวดหมู่ของงานที่เทคโนโลยียังไม่สามารถเข้ามาแทนที่ได้ เนื่องจากเป็นงานจำเพาะที่ต้องใช้อารมณ์ ความรู้สึก ความชำนาญและความเป็นเอกลักษณ์ในการถ่ายทอดออกมาเป็นผลงานชิ้นหนึ่ง แต่การมาถึงของแพลตฟอร์มที่พัฒนาโปรแกรมสร้างภาพศิลปะโดยปัญญาประดิษฐ์จากข้อความหรือที่เรียกว่า AI Art อาทิ Midjourney ของ Leap Motion, DALL-E ของ OpenAI และ Imagen ของ Google ก็สั่นสะเทือนวงการศิลปะไม่น้อย
เพราะแม้แต่คนที่ไม่มีความสามารถในการวาดภาพเลย ก็สามารถมีผลงานศิลปะเป็นของตัวเองได้ และยังเป็นภาพที่เหมือนศิลปินมารังสรรค์เอง บางโปรแกรมมีความละเอียดของฝีแปรงเหมือนคนวาดภาพขึ้นมาเองจริง ๆ โดยแยกออกได้ยากว่าเป็นฝีมือของคนหรือ AI
ตัวอย่างการทดลองสร้างภาพศิลปะโดย AI และมนุษย์ จากชุดคำสั่งเดียวกัน คือ Teddy Bears + Shopping for groceries + as a one-line drawing ที่มา: http://openai.com/dall-e-2/
AI Art ทำงานโดยใช้เทคโนโลยี Text-to-Image Generator ที่ให้ AI เรียนรู้จากชุดข้อมูลรูปภาพจำนวนมหาศาลที่ถูกป้อนเข้าไปให้ AI ฝึกฝน โดยประมวลผลว่าในภาพนั้นมีอะไรบ้าง ออกแบบในสไตล์ไหน โดยจะมีข้อความหรือคำอธิบายของรูปนั้น ๆ เพื่อให้ Machine Learning เรียนรู้จากชุดข้อมูลที่ถูกป้อนเข้าไป
จากนั้นเมื่อมีผู้ใช้งานที่ต้องการภาพศิลปะ เข้าไปยังแพลตฟอร์ม AI Art แล้วพิมพ์ข้อความหรือคีย์เวิร์ดที่อยากให้มีในภาพ หรือบรีฟว่าต้องการให้ภาพออกมาเป็นอย่างไร เป็นสไตล์แบบไหน AI ก็จะสร้างภาพออกมาจากชุดข้อมูลที่ถูกเรียนรู้ ออกมาเป็นตัวเลือกงานศิลปะให้ผู้ใช้งานเลือกใช้ หรือปรับแต่งจนเป็นที่พอใจ
ภาพ ‘Portrait of Edmond de Belamy’ งานศิลปะโดยปัญญาประดิษฐ์ ที่มีการประมูลขายด้วยมูลค่ากว่า 432,000 เหรียญสหรัฐ หรือ ราว 15 ล้านบาท โดยบริษัทประมูล Christie's ที่มา: https://www.bbc.com/
อย่างไรก็ตาม แม้ว่า AI Art จะสามารถรังสรรค์ผลงานศิลปะออกมาได้ ชนิดที่ว่ามีคนสามารถนำไปทำเงินได้จริง ก็ยังมีข้อถกเถียงที่ผู้พัฒนาโปรแกรมเหล่านี้ต้องออกมาตอบคำถามและแสดงจุดยืน รวมถึงวางแผนในอนาคตของการมีอยู่ของ AI Art ในหลายประเด็น ไม่ว่าจะเป็น ลิขสิทธิ์ของภาพวาด
เนื่องจาก AI Art คือการนำผลงานศิลปะของศิลปินหลาย ๆ ภาพที่มีลิขสิทธิ์ไปเป็นภาพต้นแบบในการพัฒนา ดังนั้นภาพ AI Art ที่ถูกออกแบบมาจากโปรแกรมเหล่านี้จึงมีความผสมผสานของภาพที่มีลิขสิทธิ์อยู่ ในขณะเดียวกันสไตล์ที่เป็นเอกลักษณ์ของศิลปินเหล่านั้นก็ปรากฏอยู่ใน AI Art ได้อย่างง่ายดาย เผลอ ๆ อาจมีกลิ่นอายของภาพต้นฉบับราวกับว่าเป็นผลงานของศิลปินผู้นั้นเสียเอง
ในกรณีเช่นนี้ AI Art จะถือเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ได้หรือไม่ ความเป็นเอกลักษณ์ที่แท้จะถูกนิยามอย่างไรในเมื่อศิลปิน AI Art ก็อาจกล่าวได้ว่าศิลปะเหล่านี้เกิดจากการป้อนข้อความของเขาไม่ได้ลอกใครมา สไตล์ที่ติดมาจากภาพต้นฉบับถือเป็นของใคร รวมถึงการนำไปใช้ให้ไม่ละเมิดสิทธิเสรีภาพของบุคคล หรือการสร้างสรรค์ผลงานออกมาจากชุดข้อมูลที่อาจเกิดความอ่อนไหวต่อสังคมในประเด็นต่าง ๆ เป็นต้น
โดยล่าสุด Getty Image ก็ออกมาประกาศห้ามขายภาพศิลปะที่วาดโดย AI บนแพลตฟอร์มแล้วเนื่องจากยังมีปัญหาเรื่องลิขสิทธิ์ที่ยังไม่ชัดเจน ซึ่งอาจส่งผลต่อการนำภาพไปใช้ได้ อนาคตของ AI Art จึงไม่ควรถูกมองข้ามว่าเป็นเพียงเทคโนโลยีที่สร้างขึ้นมาเพื่อความสนุกสนานในการสร้างสรรค์ศิลปะเพียงชั่วครั้งคราว หากจำเป็นต้องมีการตั้งมาตรฐานให้กับเทคโนโลยีประเภทนี้
★
AI กับการแต่งเพลง
ไม่ต่างจากการทำงานของ AI Art ที่ใช้วิธีการป้อนข้อมูลจำนวนมหาศาลเกี่ยวกับเพลงและดนตรีเข้าไปเพื่อให้ AI ฝึกฝนและเรียนรู้ เพื่อให้มีความสามารถในการแต่งเพลงความยาวตั้งแต่ท่อนเดียวไปจนจบเพลง โดยที่ผู้ใช้งานเลือกแนวเพลงที่ต้องการ สไตล์ดนตรี ความเร็วของเพลง หรือแม้แค่เพียงฮัมจังหวะที่ต้องการ AI ก็จะรังสรรค์เพลงออกมาให้ทันที
อย่างไรก็ตาม การใช้ AI เพื่อรับความรู้สึกจากเสียงเพื่อวิเคราะห์สภาพจิตใจของมนุษย์นั้นแม้จะเป็นตัวช่วยสำคัญ แต่ยังมีโจทย์ใหญ่ในเรื่องอคติจากความเชื่อมั่นในความแม่นยำของ AI ในการประเมินสุขภาพจิตและการปกป้องความเป็นส่วนตัวของข้อมูลเสียงที่เป็นประเด็นสำคัญที่ต้องก้าวผ่านให้ได้ในอนาคต
ตัวอย่างเหล่านี้เผยให้เห็นถึงแง่มุมที่ AI เริ่มเข้ามามีบทบาทในมิติด้านอารมณ์และความคิดสร้างสรรค์มากขึ้น จากที่เคยเชี่ยวชาญอยู่ในมุมของของสติปัญญาและการเรียนรู้ ซึ่งอาจทำให้หลายคนตั้งคำถามว่าเทคโนโลยีนี้จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงหรือแทนที่งานที่ตนเองเคยเชี่ยวชาญอยู่หรือไม่ หรือตั้งคำถามว่าเราเองจะอยู่ร่วมกับเทคโนโลยีอย่างสมดุลได้อย่างไร
*เฉลย* ภาพประกอบบทความบนสุด ภาพที่ 1 ถูกสร้างสรรค์ขึ้นโดยมนุษย์ ส่วนภาพที่ 2 ถูกสร้างโดย AI ผ่านแพลตฟอร์ม Dall-E ซึ่งมาจากชุดคำสั่งเดียวกันคือ a bowl of soup + as a planet in the universe + as digital art