28 ก.ย. 2022 เวลา 06:56 • ปรัชญา
เท่าที่มองดู เรื่องของการประพฤติปฏิบัติธรรม นั่นบางครั้ง มันยากมากๆ ที่เราจะเจอะเจอ ผู้ที่สามารถชี้แนะ ให้เราแก้ไข ในข้อบกพร่องของการประพฤติปฏิบัติธรรมธรรม ที่มีในรายเอียดปลีกย่อยต่างๆ ให้เรามาฝึกหัดปฏิบัติ
การฟังธรรม การอ่าน..หนังสือ ท่านบอกว่า สิ่งนั้นเป็นธรรมอัตตา ..หากเราไม่พิจารณาให้ดี ..เราก็อาจจะสำคัญผิด ..เข้าใจผิดว่า .เค้าตำหนิติเตียนหรือไง การฟังก็ดี..การอ่านก็ดี ..เราต้องใช้สายตา ใช้หูของเราฟัง..สิ่งที่ขวางกั้นเราอยู่ก็คือ อารมณ์ความรู้สึกนึกคิด ..ความจำ..ความหมายรู้ อะไรต่างของเรา..มันทำให้เกิดอารมณ์นึกคิดซ้อนขึ้นไปอีก ทับซ้อนขึ้นไปอีก แล้วก็นำไปสู่ความยึดถือ..ว่าอย่างนั้นดีอย่างนี้นี้ โดยที่จิตของยังไม่ได้ปฏิบัติธรรมให้จริงจังขึ้นมาเลย
แล้วที่สำคัญ…เราสำคัญ ..ใช้แค่ความนึกคิด ..สำคัญผิดว่าเป็นวิปัสสนา ทั้งที่จิต ฐานของการประพฤติปฏิบัติธรรม ในเรื่องราว สติปัฐานสี่ กาย เวทนา จิต ธรรม ใครก็พูดได้ แต่การปฏิบัติในจิตเข้าถึงมันยากเย็นแสนเข็ญ นั้นก็เรื่องหนึ่ง ที่เป็นปัญหาที่ผู้ปฏิบัติ ต้องแยกแยะให้เข้าใจ ..ในสิ่งที่เราใช้ตาใช้หูฟัง ..ต้องเข้าใจการประพฤติปฏิบัติธรรมของตนนั้น กำลังศึกษาในเรื่องราวอะไรเหมือนกัน
สิ่งที่เราศึกษาก็เหมือนเรื่องราวชีวิตประจำวัน ที่เรากำลังใช้อารมณ์ ใช้วิญญาณทั้งหก ..ใช้กายทำอะไรบ้าง ซึ่งมันก็มีรายละเอียดไม่เหมือนกัน ในของแต่ละบุคคล ในแต่ละครั้งที่ปฏิบัติ แม้ในการสร้างบุญสร้างกุศล หากเราทำบ่อยๆ หัดสังเกตุ สิ่งที่เกิดขึ้น ขณะทำบุญ หรือ หลังการทำบุญ แต่ละครั้งก็ไม่เหมือนกัน บรรยากาศของการทำบุญ ทั้งก่อนทำ ระหว่างทำ หลังทำ ก็ไม่เหมือนกัน ซึ่งถ้าเราไม่สังเกตุ เราก็จะไม่รู้เลย ว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง อีกทั้งอารมณ์ของคนที่มาร่วมทำบุญ ..ที่เราก็ต้องเรียนรู้จัก
เรื่องราวที่เขียนมา นี้ ที่จริงมันก็เรื่องวาระจิตของแต่ละคน นั้นไม่เเหมือนกัน มาประพฤติปฏิบัติ ก็มุ่งไปหาอิทธิฤทธิ์ก็มี มุ่งมั่นหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ปฏิหาริย์ก็มี มุ่งมั่นอยากรู้อยากเห็นก็มี มุ่งมั่นมาอวดตัวอวดตนว่าข้านี้ทำได้น่ะ ข้านี้มีศีลน่ะ ข้านี้มีของดี
บางพวกก็รู้มาก รู้ไปหมด..แต่ไม่รู้จักกรรม ไม่รู้จักอารมณ์ มันรู้ของมันอย่างนั้นเต็มตัวเต็มอัตตา ไม่ได้รู้ไปเพื่อลดเวรลดกรรม มันจึงมีคนที่ทำเกิดความวิปริต ในคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่สอนให้รู้จักกรรม รู้จักกรรมแล้วก็ประพฤติปฏิบัติธรรม เพื่อหนีกรรม เดินไปตามรอยทั้งสี่ ที่ท่านได้ใช้ ..ยืนเดินนั่งนอน จนบรรลุธรรม มีธรรมสถิตย์ที่จิตของท่าน
ที่เขียนมานี้ ..ก็เพียงอยากจะบอกว่า การประพฤติปฏิบัติธรรม นั่นมันเหมือนเป็นปัจจัตตังอย่างหนึ่ง ที่ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติธรรม ต้องทำความเข้าในเรื่องจิตของตัวเอง ต้องลดละ สิ่งหนึ่งคือกรรม แล้วเพิ่มอีกสิ่งหนึ่งคือ ธรรม คือการให้เวลากับ กาย..สละให้เวลากับการทำมาหากิน มาเป็นเวลาของธรรมที่เราประพฤติปฏิบัติธรรมสร้างบุญกุศลบารมี ด้วยกายวาจาใจครบสามประการให้เกิดขึ้น
แล้วจะประพฤติปฏิบัติธรรมแบบไหนดีละ ที่เรียกว่า เดินตามเจ้าชายสิทธัตถะ ..ที่เยี่ยงอย่าง..อดทนเข้มแข็ง มีสติขันติ ให้จิตนั้นเกิดปัญญาธรรม ปัญญาธรรมที่จะชำระสะสางทั้งกายทั้งจิต จนกายเป็นธรรม จิตเป็นธรรม นั่นแหละเป็นสิ่งที่เราต้องเสาะแสวงหา..ว่าประพฤติปฏิบัติธรรมอย่างไร จึงจะเกิดผลขึ้นมา เป็นที่ประจักษ์
เหมือนต้นพุทธกาล ที่มีผู้ฟังธรรม นำไปปฏิบัติ จนได้มรรคผลพระนิพพาน ..เราก็เสาะแสวงหารอยขององค์พระสิทธัตถะ ท่านทำอย่างไร สิ่งที่เราทำได้ ก็เพียงอธิษฐานขอให้พบเจอะเจอรอยที่องค์พระสิทธัตถะท่านทรงกระทำในกลางป่า แล้วก็ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่อยากจะรู้อยากเห็น อยากรู้อยากเข้าใจ ..วิธีการสร้างบุญสร้างกุศล คนยุคนั้น ท่านใช้กิริยากาย วาจาใจอย่างไร ท่านทำจิตใจอย่างไร ..ถึงเกิดคำว่าบุญกุศลที่ดีเกิดขึ้น
นั่นก็เป็นเรื่องที่อยากเห็นอยากเรียน อยากฝึกหัดในสิ่งที่ครั้งพุทธกาลท่านกระทำกันอย่างไร ..แต่นั้นแหละ ..มันเป็นไปไม่ได้ เพราะเราเกิดในกึ่งพุทธกาล ..หาร่องรอยต้นพุทธกาลนั้นยากเย็น สิ่งที่ทำได้ .เพียงคำอธิฐาน ขอให้พบเจอะเจอร่องรอยนี้ให้มีให้เห็นให้ได้เข้าถึงฝึกหัด ..ในสิ่งที่เราปรารถนา..
โฆษณา