30 ก.ย. 2022 เวลา 01:11 • ความคิดเห็น
ไก่ขันตะวันขึ้น ภาคพิศดาร
ช่วงที่เติบโตในอาชีพเร็วที่สุดของผมก็คือตอนที่ดีแทคกำลังวุ่นวาย กำลังเผชิญปัญหาครั้งใหญ่จากการไปกู้เงินสกุลต่างประเทศแล้วเจอวิกฤตค่าเงินบาทในปี 1997 ทำให้อยู่ในสภาวะต้องหยุดการชำระหนี้เพื่อเจรจาปรับโครงสร้างหนี้
ผมในตอนนั้นอายุยังไม่ถึงสามสิบปี แต่ก็ได้รับหน้าที่สำคัญในการเป็นคนเจรจาเนื่องจากทำงานด้านการเงินในส่วนที่รู้ข้อมูลเยอะ พอทำได้สำเร็จก็ได้ทำงานใหญ่ๆต่ออีกหลายงานจนทำให้หน้าที่การงานก้าวหน้าได้โอกาสใหม่ๆมาอย่างต่อเนื่อง
ผมเป็นรองซีเอฟโอตั้งแต่อายุยังไม่ถึงสามสิบแล้วย้ายไปทำส่วนงานใหญ่ด้าน product innovation ต่อ ได้รับความไว้วางใจเป็นดาวรุ่งจากทั้งผู้ใหญ่ฝ่ายไทยและทางเทเลนอร์ ออกสื่อเป็นตัวแทนบริษัทตั้งแต่สมัยนั้น ความมั่นใจก็มาอย่างเต็มเปี่ยม
คิดว่าตัวเองสำคัญมากเพราะทำงานแต่ละเรื่องนี่ใหญ่ๆทั้งนั้น ถ้าดีแทคไม่มีเรานี่น่าจะแย่ ผู้ใหญ่ไว้ใจ งานสำคัญๆทั้งนั้น แทคนี่ขาดเราไปนี่คงแย่แน่ๆ
..ในใจก็เริ่มคิดแบบนั้นมากขึ้นเรื่อยๆ
จนมีช่วงหนึ่งมีการปรับโครงสร้างผู้บริหาร ผมไม่ได้เลื่อนตำแหน่งแต่ทางผู้ใหญ่ตอนนั้นกลับรับคนจากข้างนอกมาที่ผมคิดว่าไม่เก่งเลย ผมทำมาตั้งเยอะ รู้เรื่องภายในมากกว่า ทำไมถึงไม่เลือกผม
1
ในใจก็เริ่มคิดไม่ดี เริ่มโมโห เริ่มน้อยใจ และคิดว่าจะต้องทำให้คนทำกับผมแบบนั้นรู้สึกให้ได้ว่าถ้าผมไม่อยู่ซักคนแล้วดูซิว่าจะเดือดร้อนกันขนาดไหน ผมก็เลยไปลาออกให้ดีแทครู้สำนึกซะบ้าง..
ก่อนออกก็โวยวาย อาละวาด เขียนจดหมายเปิดผนึก ประชดประชัน แนวขาดฉันแล้วเธอจะรู้สึก ทำอะไรที่แย่ๆหลายอย่าง แต่ในใจก็มั่นใจว่าพอออกไปรับรองว่าทุกคนคงจะเสียใจและเดือดร้อนที่ไม่มีผมแน่ๆ
แล้วผมก็ลาออกไป ไปอยู่กับคู่แข่งรายใหม่ซะด้วย…
นิทานเรื่องนี้ผมได้ยินมาหลายรอบ ครั้งแรกได้อ่านจาก FB ของพี่เตา บรรยง ที่ภรรยาเตือนถึงความสำคัญตัวเองผิด และเคยได้ยินจากคุณแท้ป รวิศ เล่าในรายการ ส่วนข้อความของนิทานผมยกมาจากเพจของคุณ anontawong ที่อ้างถึงเว็บกัลยาณธรรมอีกที เป็นนิทานธรรมะที่แพร่หลายอยู่พอสมควร
นิทานเรื่องนี้มีอยู่ว่า…
พ่อไก่ตัวหนึ่งภูมิใจในความเป็นหัวหน้าครอบครัวของตัวเองมาก มันคอยกางปีกปกป้องภรรยาและลูกๆ ทุกตัว และอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขเสมอมา
ทุกๆ เช้า เวลาตีห้า พ่อไก่ก็จะบินขึ้นไปเกาะอยู่บนกิ่งไม้และโก่งคอขันเสียงก้องไปทั้งพงไพร จนถึงประมาณหกโมงเช้า พระอาทิตย์ก็ขึ้นมาฉายแสงส่องสว่างไปทั่ว
พ่อไก่มีความสุขมากที่ได้เห็นตะวันค่อยๆ ทอแสงขึ้นมา เขาจะยืนชื่นชมแสงตะวันและบอกตัวเองว่า…
เพราะฉันขัน ตะวันจึงขึ้น นี่คือผลงานที่ยิ่งใหญ่ของฉัน
พ่อไก่
ดังนั้นทุกๆ เช้าพ่อไก่ตัวนี้ก็จะบินขึ้นมาเกาะกิ่งไม้ และเมื่อขันเสร็จ ก็จะรอดูตะวันขึ้นที่เหนือยอดเขา พอตะวันขึ้นแล้วก็บินกลับลงมาหากินกับลูกเมียตามปกติ
อยู่มาวันหนึ่ง เนื่องจากตรากตรำภาระหนักเหลือเกิน ร่างกายเริ่มทนไม่ไหว พ่อไก่ก็เริ่มป่วย เช้าตรู่วันนั้นพ่อไก่บินขึ้้นไปเกาะกิ่งไม้เดิม
ขณะจะขันเพื่อเรียกตะวันขึ้น กลับร่วงหล่นลงมา รู้สึกไม่มีเรี่ยวแรง ลูกชายซึ่งเป็นไก่โต้งรุ่นใหม่ไฟแรงเดินเข้ามาประคองพ่อ พร้อมกับพูดว่า…
พ่อ ผมว่าถ้าพ่อขันไม่ไหว วันนี้ผมขันแทนให้เอาไหม
ไก่โต้ง
พ่อไก่ยืดอกขึ้น หันมาชี้หน้าลูกพร้อมกับตอบเสียงดังว่า …
น้ำหน้าอย่างแก ถ้าขัน ตะวันมันจะขึ้นไหม หัดดูเงาหัวตัวเองซะบ้างสิ
พ่อไก่
เช้าวันนั้น ทั้งๆ ที่ป่วยอยู่ พ่อไก่ก็ขึ้นไปเกาะบนกิ่งไม้เดิม และขันเป็นครั้งสุดท้ายก่อนตกลงมาดิ้นพราดๆ
ก่อนสิ้นลม พ่อไก่ได้กล่าวสั่งเสียกับภรรยาและลูกๆ ว่า…
พวกเราทั้งหลาย ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป พ่อคงไม่อาจมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกแล้ว และพอพ่อไม่ขัน ตะวันก็จะไม่ขึ้น โลกก็จะเข้าสู่กลียุค ถ้าไม่มีพ่อแล้วทุกคนก็จะอยู่ด้วยความยากลำบาก และมนุษยชาติก็จะถึงคราววิบัติ ดูแลกันให้ดีนะ
พ่อไก่
หลังจากที่ผมออกไปได้ไม่ถึงเดือน ก็มีอันต้องกลับมาเก็บของที่ดีแทค สิ่งที่ได้พบก็คือ ห้องทำงานที่เคยต่อสู้แย่งชิงให้ได้ห้องที่ใหญ่ที่ดี ก็มีคนใหม่มานั่ง จัดใหม่จนจำไม่ได้ งานที่เรารับผิดชอบคิดว่าไม่มีใครทำแทนได้ก็ไม่เห็นจะมีใครบ่นแบบนั้น งานก็ยังดำเนินต่อไป ไม่มีใครเดินมาบอกว่าตั้งแต่พี่ออกไปนี่เละเทะ บริษัทเดือดร้อนเลย
ทุกคนก็ทำงานต่อไปตามปกติ คนที่เราเคยดีด้วยก็เดินมาทักทาย คนที่เราร้ายด้วยก็ไม่มองหน้าด้วยซ้ำ
ผมเองกลับต้องไปเจอสิ่งแวดล้อมที่เลวร้ายกว่าเดิม ไปเจอบรรยากาศการทำงานแบบใหม่ เพื่อนร่วมงานใหม่ที่ไม่ได้ดี ไม่ได้มีน้ำใจเหมือนที่เก่า ทำไปก็ทรมานคิดถึงที่ทำงานเดิมไป ตื่นเช้ามาไม่อยากไปทำงานไม่เหมือนตอนที่อยู่บริษัทเดิม
เป็นโชคดีของผมมากๆที่สามเดือนหลังจากนั้น ผมได้รับโอกาสครั้งที่สอง ได้กลับไปที่ทำงานเดิมแต่ความรู้สึกต่างๆก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป…
หม่อมราชวงศ์ คึกฤทธิ์ ปราโมช ผู้ที่ครั้งหนึ่งในยุคสมัยของท่านเป็นเสมือนเสาหลักประชาธิปไตยที่บ้านเมืองจะขาดท่านไม่ได้ ท่านมีความสำคัญต่อทิศทางของประเทศอย่างที่คนในยุคนั้นจินตนาการไม่ออกว่าไม่มีท่านจะเป็นอย่างไร คนรุ่นผมและรุ่นก่อนผมจะจำได้ดี
มีคนเขียนจดหมายไปถามท่านเรื่องนี้ ซึ่งท่านก็เขียนตอบเป็นกลอนที่ผมขอยกมาปิดท้ายไว้เป็นเครื่องเตือนใจของคนที่ถืออำนาจอยู่เต็มที่ อยู่สูงสุดขององค์กรแล้วไม่กล้าลุกให้คนรุ่นใหม่ขึ้นมาทำงาน
ด้วยความหวังดีว่ากลัวองค์กรจะล่มสลายถ้าขาดเราไปซักคน ว่าถึงจุดหนึ่งแล้ว โลกก็ยังจะหมุนไป คนรุ่นใหม่ก็จะมาทำแทนได้อยู่ดี และดีขึ้นกว่าเดิมด้วยในแทบทุกกรณี
หม่อมคึกฤทธิ์เขียนตอบเป็นกลอนไว้ว่า…..
เมื่อโลกนี้ไม่มีคนชื่อคึกฤทธิ์
มันจะผิดแปลกไปที่ไหนนั่น
ทิวาวารยังจะแจ้งแสงตะวัน
ยามราตรีมีพระจันทร์กระจ่างตา
ไก่ยังจะขานขับรับอุทัย
ฝนจะพร่ำ ร่ำไปในพรรษา
คลื่นยังกระทบฝั่งไม่สร่างซา
สกุณา ยังร้องระงมไพรฯ
ลมจะพัดชายเขาเหมือนเก่าก่อน
เข้าหน้าร้อนไม้จะออกดอกไสว
ถึงหน้าหนาวหนุ่มสาวจะเร้าใจ
ให้ฝันใฝ่ในสวาสดิ์ไม่คลาดคลา
ประเวณีจะคงอยู่คู่ฟ้าดิน
ไม่สุดสิ้นในความเสน่หา
คนที่รักคึกฤทธิ์อย่าคิดระอา
เพียงนึกถึงก็จะมาอยู่ข้างกาย
คอยเข้าปลอบประโลมในยามทุกข์
เมื่อมีสุขก็จะร่วมอารมณ์หมาย
เมื่อรักแล้วไหนจะขาดสวาสดิ์วาย
ถึงตัวตายใจยังชิดมวลมิตรเอย."
ภาคพิศดารของนิทานไก่ขันตะวันขึ้นที่น่าคิดต่อคือ ถ้าสมมติว่าพ่อไก่ที่หลงตัวเองคิดว่าตัวเองสำคัญ พูดจาดูถูกดูหมิ่นคนเขาไปทั่ว เบ่งแล้วเบ่งอีกจนวันที่ป่วยหนัก ดันเกิดสลบไปซักหนึ่งเดือน ไม่ได้ตายจริงๆ แล้วตื่นมาพบว่าตะวันก็ยังขึ้นเหมือนเดิม ไก่ตัวใหม่ก็มาขันแทน ไม่มีใครสนใจใยดีไก่ผู้หยิ่งผยองตัวนี้อีก ไก่ตัวนี้จะเปลี่ยนความคิด เปลี่ยนพฤติกรรมหรือไม่ จะยอมรับถึงสภาพความเป็นจริงได้หรือไม่ หรือก็จะกลับไปทำตัวเหมือนเดิมอีก
น่าสนใจนะครับ….
โฆษณา