4 ต.ค. 2022 เวลา 15:50 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์

"ชิน อุลตร้าแมน"

มนุษย์ จักรวาล การเรียนรู
คำเตือน!! บทความนี้เหมาะกับ
คนที่ดูหนัง #ShinUltraman แล้วเท่านั้น!!
.
.
แม้จะถูกรีบูธเนื้อหาเก่ามาเล่าใหม่อยู่หลายครั้ง
แต่เรื่องราวของฮีโร่จากดินแดนแห่งแสงผู้นี้ก็ยัง
เต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์บางอย่าง
ที่ชวนให้พวกเราอยากติดตามอยู่เสมอ
เหมือนได้กลับไปเจอโมเม้นต์ดีๆ
ในวัยเด็กเมื่อครั้งยังไร้เดียงสา
เช่นกันกับหนังเวอร์ชั่นนี้
ที่ให้ความ “แปลกใหม่แบบคลาสสิค”
เพราะไม่เพียงแต่จะเติมเต็มความสมจริง
ด้วยเทคนิคการถ่ายทำสมัยใหม่เข้าไปเท่านั้น
หากแต่ยังคงไว้ซึ่งกลิ่นอายเดิมอยู่หลายช่วง
เพื่อเป็นการแสดงความเคารพต่อต้นฉบับ
1
Shin Ultraman ร่างแรกก่อนรวมร่างกับมนุษย์ รูปหน้าอิง Type A ของต้นฉบับเดิม
ตั้งแต่การกลับไปสู่รากเหง้าของรากเหง้าอีกที
อย่างการนำเหล่าสัตว์ประหลาด(ไคจู)
จาก “Ultra Q” ซึ่งเป็นซีรีส์
ที่เป็นตัวจุดประกายให้
สร้างอุลตร้าแมนในเวลาต่อมา
ผ่านช่วงเวลาในปีเดียวกัน
นั่นคือปี 1966 (พ.ศ.2509)
ยุคที่ทีวียังเป็นจอขาวดำอยู่เลย
โดยทำการเอาไคจูพวกนี้
มาเล่าเหตุการณ์ในต้นเรื่องว่า
โลกกำลังเผชิญหน้ากับภัยคุกคาม
ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนจากกลุ่ม
สิ่งมีชีวิตร้ายขนาดยักษ์ที่เรียกกันว่า
“S-Class Species” เข้ารุกรานญี่ปุ่น
การนำ Intro เข้าเรื่อง
ที่เป็นเอกลักษณ์ตาม
แบบฉบับซีรีส์ดั้งเดิมกลับมาใช้
กับภาพของแอนิเมชั่นหมุนติ้วๆ เข้าหากัน
ออกมาเป็นคำว่าอุลตร้าคิว
แล้วถูกแทนที่ด้วยฉากสีแดงฉาน
ตามด้วยคำว่า “อุลตร้าแมน”
การกลับมาของ "หน่วยวิทยะ" หรือครั้งนี้ในนาม "หน่วยต่อต้าน"
ทั้งการนำดนตรีประกอบต่างๆ
ที่เคยคุ้นหูเป็นอย่างดีในตอนนั้น
มาเปิดคลอระหว่างที่หน่วย “SSSP”
หรือ “หน่วยวิทยะ” ออกปฏิบัติการ
(ครั้งนี้ถูกเรียกว่าหน่วยต่อต้านภัยพิบัติระดับพิเศษ
มารวมตัวเป็นแกนหลักต่อสู้กับภัยเหนือธรรมชาติ)
ฉากปะทะ "Neronga" กับภาพจำช็อตในตำนาน
“Hiroko Asami” เจ้าหน้าที่สาวคนเก่งโดนเมฟิลัสสะกดจิต ย้อนรอยต้นฉบับ
รวมถึงการรีเมคฉากต่างๆ
มาเล่าให้หายคิดถึง
ทั้งฉากสุดคลาสสิคที่เป็น
ฉากเปิด MV เพลงอุลตร้าแมน
กับการยืนเท้าสะเอวรับสายฟ้าฟาด
ของเจ้า “Neronga (เนรอนก้า)”
จอมเขมือบไฟฟ้าได้อย่างไม่สะทกสะท้าน
ทั้งฉากที่ “Hiroko Asami”
ได้ถูกเอเลี่ยน “Mefilas” สะกดจิต
แล้วใช้เบต้าซิสเต็มขยายร่าง
มาสร้างเหตุการณ์สะเทือนขวัญ
เพื่อหว่านล้อมชาวโลกให้ร่วมมือกับตน
เหมือนต้นฉบับที่ Akiko Fuji เจ้าหน้าที่สาว
ของหน่วยวิทยะเคยโดนมาก่อนในตอนนั้น
และอีกหลายๆ ฉากที่ยิ่งดูไปแล้ว
ยิ่งรู้สึกถึงความทรงจำเก่าๆ
ที่กำลังถูกฉายภาพผ่านเรื่องราวใหม่ๆ
ด้วยโทนเรื่องแบบตึงเครียดจริงจัง
สะท้อนการทำงานของหน่วยงานญี่ปุ่น
ซึ่งต้องดำเนินการหลายขั้นตอน
ผ่านคำสั่งจากหลายสายบัญชาการด้วยกัน
ต้องผ่านคนนั้น ต้องถามท่านนี้
กว่าจะมีการตัดสินใจซักอย่างออกมาได้
ไหนจะแอบสอดแทรกประเด็น
เรื่องการเมืองออกมาอย่างเห็นได้ชัด
และที่ทำให้ผมรู้สึกทึ่งกว่านั้น
คือการแอบหยอดมุขตลกต่างๆ
มาช่วยลดความตึงเครียด
ได้อย่างพอเหมาะพอเจาะ
ดูไปยิ้มไปเบาๆ อย่างบอกไม่ถูก
บวกกับ Ester Eggs อีกหลายจุด
ที่เข้ามาเติมเต็มหนังเรื่องนี้ให้ส่งตรงถึงหัวใจ
แฟนๆ อุลตร้าแมนอย่างเราได้ดีเหลือเกิน
จุดนี้เลยอยากชวนทุกคนมา
ตบตูดปลุกความหุกเฮิมกันอีกที
แล้วปล่อยใจให้ดื่มด่ำกับ
เรื่องราวระหว่างทางครั้งนี้กัน
แล้วจะพบว่ามันได้ให้อะไร
มากกว่าที่คิดไว้ทีเดียว,,,
.
.
.
1. ทุกอย่างล้วนมีเหตุปัจจัย
- เมื่อโลกนี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้นโดยบังเอิญ อย่างบรรดาสัตว์ประหลาดที่ได้ตื่นขึ้น ก็เป็นเพราะมนุษย์ได้ทำการรุกล้ำทำลายสิ่งแวดล้อม ส่งไปถึงถิ่นฐานที่พวกมันซ่อนตัวอยู่มานานแบบปกติสุขจนไม่สามารถอยู่แบบนั้นได้อีก จึงต้องออกอาละวาดเพื่อ “ส่งเสียง” ให้ทุกคนได้รู้สึก
เหมือนชีวิตจริงที่เวลาเราทำร้ายธรรมชาติทั้งที่รู้ตัวหรือไม่ก็ตาม วันนึงที่สสารและองค์ประกอบต่างๆ สะสมทำปฏิกิริยากันมากพอ วันนั้นธรรมชาติจะเล่นกลับเราโดยไม่ทันตั้งตัว
2. โลกนี้ไม่ได้สร้างขึ้นเป็นปัจเจก
1
“Shinji Kaminaga” ตัวเอกของเรื่องกับการแปลงร่างสุดคลาสสิคด้วยเบต้าแคปซูล
- ไม่มีใครที่จะ “ฉายเดี่ยว” แล้วเอาตัวรอดไปเองได้ตลอด อย่างหน่วยต่อต้านฯ ที่แม้จะเป็นการรวมกลุ่มหัวกะทิ มีความเชี่ยวชาญกันหลายด้าน แต่ก็พร้อมจะนำความถนัดของแต่ละคนมาทำงานร่วมกันอย่างเต็มที่ ช่วยกันวิเคราะห์สถานการณ์ตรงหน้าแล้วรีบคิดหาวิธีแก้ ก่อนจะประสานงานทีมที่เกี่ยวข้องเพื่อลงมือเคลียร์ปัญหานั้นให้ได้ ทุกคนทุกฝ่ายล้วนต้องพึ่งพากันไปให้สุดทาง
แบบเดียวกับวินาทีที่อุลตร้าแมนได้รู้ตัวว่า “Shinji Kaminaga” ตัวเอกได้ตายลง เพราะลุยเข้าปกป้องเด็กคนนึงไว้แล้วโดนลูกหลงจากเหตุปะทะระหว่างกันเค้ากับเนรอนก้า เลยตัดสินใจเข้ารวมร่างกันเพื่อรักษาชีวิตมนุษย์ที่มีหัวใจแห่งคุณธรรมผู้นี้ กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการใช้สองชีวิตในหนึ่งร่างแล้วได้เรียนรู้ซึ่งกันและกันในเวลาต่อมา
3. การทำงานแบบ “Shin Ultraman”
"Shin Ultraman"
การกลับมาในเวอร์ชั่นนี้ไม่ได้มีเพียง Effect และฉากต่อสู้ตระการตาเท่านั้น หากแต่ยังสอดแทรกแนวคิดของฮีโร่จากดินแดนแห่งแสงเข้าไปมากขึ้น
ปะทะกับ "Gabora" นักล่ายูเรเนี่ยมจนพลังเกือบหมด ลายเป็นสีเขียว
อย่างตอนสู้กับนักล่ายูเรเนี่ยม “Gabora” เค้าก็ดูจะรู้จุดเด่นศัตรูและสถานการณ์ของคนรอบด้านเป็นอย่างดีว่าหากผลีผลามกำจัดมันขึ้นมา สารกัมมันตรังสีที่ว่าก็จะทำลายผู้คนและอาณาบริเวณโดยรอบทันใด เลยปรับวิธีสู้กับอีกฝ่ายโดยไม่ใช้ลำแสง “สเปเซี่ยม” แล้วค่อยๆ อัดจนเพลี่ยงพล้ำสิ้นลม ก่อนจะเหาะพาศพมันทิ้งไปให้ไกล เพื่อไม่ให้เป็นอันตรายต่อชาวโลก เรียกได้ว่าใส่ใจรายละเอียดจริงๆ
1
ลำแสงสเปเซี่ยม ท่าไม้ตายที่เราคุ้นเคย
อีกข้อคือเค้าพร้อมจะ “เรียนรู้” ปรับตัวเปลี่ยนแปลงเพื่อให้รับกับสิ่งใหม่ๆ ตลอดเวลา ถึงใครต่อใครจะมองว่าเค้าเป็นสิ่งมีชีวิตผู้สูงส่ง ทรงภูมิปัญญาแค่ไหน แต่ในอีกมุมก็คือเอเลี่ยนผู้มายังดินแดนต่างถิ่นที่ต้องศึกษา เรียนรู้โลก เรียนรู้มนุษย์ว่ามีสังคมและมีวิธีคิดเป็นยังไง ค่อยๆ เปลี่ยนจากยักษ์สีเงินผู้มีสีหน้าเย็นชา ไร้อารมณ์ ยากจะคาดเดาได้ว่ามิตรหรือศัตรู
มาเป็นเอเลี่ยนที่รับรู้ถึงความเป็น “มนุษย์” ขึ้นมาจริงๆ สีเงินที่ถูกเต็มแต่งด้วยสีแดงบนตัวจึงไม่ใช่เพียงลวดลายบนตัวที่พวกเราคุ้นเคยซะทีเดียว ยังเหมือนเป็นการแสดงถึงการได้เติมชีวิตและจิตวิญญาณของ “Shinji Kaminaga” เจ้าของร่างที่ตายไปเข้ามาในจิตของตัวเอง จนได้มารู้ถึงชีวิตในอีกด้าน
4. “เมื่ออยู่ตรงกลาง จะมองเห็นอะไรได้มากขึ้น”
- เป็นอีกใจความสำคัญที่อุลตร้าแมนได้จากการมาใช้ชีวิตอยู่ในร่างคามินากะ เปลี่ยนฐานะจาก “ผู้สังเกตการณ์” ของ Nebula M78 มาเป็นผู้ศึกษาเรียนรู้แนวคิดระหว่างความเป็นมนุษย์และเอเลี่ยนที่มองเข้ามายังโลก ค่อยๆ ปรับตัว และเก็บรายละเอียดต่างๆ ว่ามนุษย์มีความคิดอ่านยังไง มีความดีแค่ไหนก็ยังมีความชั่วในตัว บางฝ่ายพร้อมให้ความร่วมมืออย่างดี ขณะที่บางฝ่ายก็พร้อมจะทำทุกทางเพื่อผลประโยชน์ตัวเอง
และได้เห็นว่ามนุษย์ส่วนใหญ่มักมีความหวาดกลัวในสิ่งที่ตัวเองไม่คุ้นเคย จนแสดงปฏิกิริยาขับไล่เอเลี่ยนออกไปแบบนั้น ขณะเดียวกันตัวตนของคามินากะก็ได้ทำให้อุลตร้าแมนรับรู้ได้ถึง “แสงสว่าง” แห่งคุณธรรมน้ำมิตรที่มีอยู่จริง มีความคิดที่อยากจะปกป้องโลกอย่างแท้จริง จึงเกิดความสนใจที่จะศึกษามนุษย์จากตรงนี้ต่อไป
5. ไม่มีใครเป็น “พระเจ้า” อย่างแท้จริง
เพราะเวลามนุษย์ลำบากก็มักจะขอพรพระเจ้า ซึ่งในที่นื้คืออุลตร้าแมนที่ได้ลงมาช่วยโลกนี้ไว้จากภัยร้าย ด้วยอานุภาพที่ปรากฎออกมาทั้งลำแสงสเปเซี่ยม ความแข็งแกร่งเชิงกายภาพ รวมทั้งกระบวนท่าและกลยุทธ์การต่อสู้อันเป็นเลิศ แต่ที่จริงแล้วเค้าเองก็ยังคงมีข้อจำกัดอยู่ เพียงแค่เปลี่ยนจากปุ่ม Color Timer สัญลักษณ์แสงสีแดงที่กะพริบบนอกแสดงถึงความใกล้หมดพลัง มาเป็นการเปลี่ยนสีลวดลายบนตัวจากแดงเป็นเขียวแทน และไม่ได้ไร้เทียมทาน แพ้ได้ เจ็บเป็น ยังมีอะไรที่เพิ่งรู้เพิ่งรู้เห็นในฐานะมนุษย์คนนึง
1
"Meflias" เวอร์ชั่นนี้ที่ทั้งโคตรเก่ง โคตรปั่น
อย่างตอนสู้กับ “Mefilas (เมฟิลัส)” ด้วยความที่เค้าต้องเอาพลังสเปซเซียมไปใช้หลายอย่างในตอนนั้น ก็เห็นได้ชัดว่าต้านพลังอีกฝ่ายไม่ไหว ใกล้แพ้เต็มทน หรือตอนสู้กับโคตรอาวุธชีวภาพอย่าง "Zetton" ในยกแรกก็แพ้ไม่เป็นท่า
6. “ทีมเวิร์ค” คือ สิ่งสำคัญ
ชิน อุลตร้าแมนและยามินากะเริ่มทำงานแบบทีมเวิร์คด้วยการวางใจให้ "อาซามิ" ช่วย
จากที่ก่อนนี้คามินากะมักชอบทำงานฉายเดี่ยวไม่สนใจใคร พออุลตร้าแมนได้ร่วมร่างกับเค้าแล้วเจออาซามิมาเป็นคู่หู ก็ได้เรียนรู้ถึงวิธีการทำงานแบบเป็นทีม ยอม “ขอความช่วยเหลือ” จากคนอื่นบ้าง ยอมเชื่อใจให้เค้ารับไม้ต่อจาดตัวเองบ้าง
เอเลี่ยน “Zarab” ผู้เต็มไปด้วยกลโกง
อย่างตอนเสียท่าให้เอเลี่ยน “Zarab” จับตัวไป ก็วางแผนล่วงหน้าด้วยการบอกใบ้ให้อาซามิผู้เป็นบัดดี้ตามสืบข้อมูลและหลักฐานต่างๆ ส่งเพื่อนร่วมงานเก่าไปบอกเธอให้ตามมาช่วยเค้าแล้วพิชิตอุลตร้าแมนปลอมที่เป็นร่างจำแลงของมันได้สำเร็จ
7. สิ่งมีชีวิตกับการปรับตัวเป็นของคู่กัน
เมฟิลัสในร่างมนุษย์ แสดงได้สมจริงสุดๆ
แม้แต่เอเลี่ยนผู้ทรงปัญญาอย่างซารับและเมฟิลัส ก็ยังต้องค่อยๆ ปรับตัว หาทางกลมกลืนไปกับโลกใบนี้ในการเรียนรู้แนวคิด จุดแข็ง-จุดอ่อนของสังคมมนุษย์ว่าเป็นยังไง เพื่อจะได้รู้ว่าควรหลอกล่อ เล่นงานด้วยวิธีไหน
อย่างเมฟิลัสที่มาด้วยร่างมนุษย์เหมือนกัน มีความเข้าใจและไม่เข้าใจโลกในเวลาเดียวกัน ชอบประโยคนั้น ไม่ชอบประโยคนี้ ใครจะไปคิดว่าจะได้เห็นเอเลี่ยนมานั่งเล่นชิงช้าและกินข้าวคุยต่อรองกับอุลตร้าแมนในร่างมนุษย์กันแบบเนียนๆ อย่างนี้ได้ แถมหยอดมุขให้หารค่าข้าวค่าเหล้ากันอีกด้วย ฮ่าาา
8. “ถ้าทำสำเร็จก็สำเร็จ ไม่ทำก็ไม่สำเร็จ”
มังกรอวกาศ "Zetton" กลับมาเป็นลาสบอสอีกครั้ง แถมโคตรโหดกว่าเดิม
เป็นอีกจุดที่ผมชอบที่สุดในหนัง Shin Ultraman เรื่องนี้ จากประโยคที่อุลตร้าแมนนี่แหละพูดไว้ เมื่อตอนที่เค้ารู้ว่าต้องเผชิญหน้ากับ “ลาสบอส” ที่เราคุ้นเคยอย่างเซ็ตต้อน ชนิดที่แทบมองไม่เห็นทางว่าจะเอาชนะหรือโต้กลับเล่นงานมันได้ ทว่าสิ่งที่เค้าพูดกับอาซามิคือการต้องลองสู้ก่อนเพื่อให้ได้รู้ บินพุ่งไปสู่ห้วงอากาศ
งัดทุกกระบวนท่าเข้าใส่มันทั้งลำแสงสเปเซี่ยม / อุลตร้าสแลชที่คราวนี้มีการขยายวงกว้างขึ้นอีกเรื่อยๆ เพื่อให้รับกับศัตรูระดับนี้ ชวนให้นึกถึง “กระสุนวงจักร” ของนารุโตะที่มีการพัฒนาจนเป็นกระสุนวงจักรดาวกระจายและบอลยักษ์ที่ทรงพลังยิ่งขึ้นตามเลเวลศัตรูยังไงยังงั้น
"Zoffy" ที่น่ากลัวยิ่งกว่าผี ค่อยสมราคายอดนักรบแห่งแสงหน่อย
ถึงแมตช์แรกอุลตร้าแมนจะแพ้เซ็ตต้อน แต่อย่างน้อยเค้าก็ได้แสดงหัวจิตหัวใจที่อยากจะปกป้องมนุษย์โลกอย่างสุดความสามารถ แม้มันจะขัดกับหลักการและกฎเหล็กของดินแดนบ้านเกิด จนผู้พิทักษ์อย่าง "Zoffy" ถึงกับลงมาคัดค้านด้วยตัวเอง ขู่ด้วยโทษทัฑณ์หนักหนาแค่ไหนก็ไม่หวั่น
“ชั้นจะสู้จนถึงที่สุดเพราะเชื่อในมนุษย์”
Shin Ultraman (Lipiah)
9. อยากอยู่รอดต้องแกร่งขึ้น
มนุษย์เองก็ต้องทำทุกทางเพื่อให้ตัวเองอยู่รอด
หนังได้สะท้อนในมุมที่ว่าเมื่อมนุษย์ต้องเจอกับอะไรบางอย่างที่แกร่งกว่า ฉลาดกว่า เหนือกว่าทุกด้าน จะเลือกยอมแพ้ในโชคชะตาหรือจะยอมพลิกหาทุกทางเพื่อตอบโต้? แบบเมฟิลัสที่พอเห็น “Zoffy” แอบสังเกตการณ์อยู่ ก็ทำเอาเยี่ยวแทบราด วาร์ปกลับดาวตัวเองพร้อมทิ้งบอมบ์ไว้ให้อุลตร้าแมนจัดการต่อ
ทาคิ หนุ่มเนิร์ดแห่งหน่วยต่อต้านฯ ที่เสียขวัญจากการมาของสุดยอดอาวุธชีวภาพหรือสิ่งมีชีวิตพิชิตฟ้าอย่าง “Zetton” ที่หลุดจากการควบคุมของโซฟี่ออกมาเตรียมฆ่าล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์ (โซฟี่มองว่ามนุษย์ยังไม่ควรครอบครองเบต้าซิสเต็มของเมฟิลัส และการใช้ฟังก์ชั่นขยายร่างอาจเป็นภัยต่อ Multiverse เลยปล่อยมันออกมาฆ่าล้างมนุษย์)
ทาคิเลยทำใจรับสภาพว่าไม่รอดแน่ๆ จนได้มาเจอข้อมูลปริศนาที่อุลตร้าแมนทิ้งไว้ เป็นการสะกิดสอนแบบอ้อมๆ ให้พวกเค้ารู้จักพัฒนาตัวเอง พร้อมปล่อยวางความบาดหมางระหว่างหน่วยงานลงแล้วหันมาจับมือกัน ทำยังไงก็ได้ที่จะฝ่าวิกฤตล้างโลกนี้ไป
เพราะจุดเปลี่ยนที่จะทำให้มนุษย์อยู่รอดหาใช่การมีเทคโนโลยีและวิทยาการที่พอจะทัดเทียบเอเลี่ยนได้ หากแต่เป็นการมี “ความหวัง” และการใช้ “ปัญญา” ควบคู่กันไปมากกว่า สิ่งนี้ต่างหากที่ทำให้พวกเค้าเติบโตและพัฒนามาโดยตลอด
10. ทุกชีวิตล้วนมี “คุณค่า” แก่การดำรงอยู่
Zoffy รับรู้ได้ถึงความรักที่ Ultraman มีต่อมนุษย์โลกจึงยอมทำตามคำขอ
- จุดนึงที่ทำให้ผมฟินสุดๆ จากหนังเรื่องนี้คือในที่สุดอุลตร้าแมนของเรา ก็สามารถพิชิตเซ็ตต้อนได้ซักที หลังจากที่ก่อนหน้านี้กลับมาเจอกันหลายที อย่างซีรีส์ “Ultra Galaxy Fight The Absolute Conspiracy” ที่เจ้ามังกรอวกาศโดนเนิฟทุกรุ่น จนถูกบรรดาอุลตร้ารุ่นหลังพากันกำจัดมันได้รัวๆ ก็ยังไม่เห็นแววพี่แมน 1 จะได้เอาคืนมันบ้างซักที
จนครั้งนี้ในอีกจักรวาล เค้าชนะศัตรูที่แข็งแกร่งที่สุดผู้นี้ได้แล้วจริงๆ ด้วยการย้ายมันไปในจักรวาลคู่ขนาน แม้คราวนี้มันจะไม่ได้มาในฐานะเอเลี่ยนผู้มีชีวิตจิตใจ หรือแม้ชัยชนะครั้งนี้จะแลกมากับอาการปางตายในแพลงเบรน มิติคู่ขนาน แต่ก็ถือว่าอุลตร้าแมนได้เคลียร์ปมตรงนี้ได้แล้วในที่สุด
พร้อมกับการเอ่ยปากของโซฟี่ว่าอยากช่วยเหลือและศึกษาความเป็นมนุษย์มากกว่านี้อีกหน่อย ทำเอาหัวหน้าหน่วยพิทักษ์อวกาศผู้แข็งแกร่งและเย็นชาถึงกับอึ้งในจุดนี้ "เจ้ารักมนุษย์มากขนาดนั้นเลยหรืออุลตร้าแมน?"
จุดที่ฮีโร่แห่งแสงถึงกับพร้อมยอมตายเพราะกระหายคุณค่าการมีชีวิตของมนุษย์ธรรมดาคนนึง เลยยอมปล่อยให้ทั้งคู่ได้กลับมามีชีวิตอีกครั้งโดยแยกร่างออกจากกัน อุลตร้าแมนกลับไปรับโทษยังดินแดนบ้านเกิด ส่วนคามินากะได้ฟื้นคืนสติ สื่อให้เห็นว่าทุกชีวิตไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ล้วนมีค่าแก่การดำรงอยู่ ปรับตัว เปลี่ยนแปลง พัฒนา เพื่อสร้างสิ่งที่ดีกว่าต่อไปอีก
หนัง “Shin Ultraman” จึงมีความสอดคล้องกับชีวิตจริงในหลายด้าน พร้อมสอดแทรกมุมมอง แง่คิด และจิตวิญญาณของฮีโร่ผู้มีความเป็นเอเลี่ยน+มนุษย์ออกมาได้อย่างลงตัว เหมือนในภาษาญี่ปุ่นที่ “คำว่า “Shin (シン・)”สะกดด้วยอักษรคาตาคานะในภาษาญี่ปุ่นแปลได้ถึง 3 ความหมายทั้ง “พระเจ้า” “ใหม่” และ “แท้จริง”
นั่นคือพระเจ้าผู้มีข้อจำกัดและได้มาเรียนรู้ความเป็นมนุษย์ด้วยตัวเอง ความแปลกใหม่ที่ชัดเจนจากเวอร์ชั่น 1966 เดิม และความแท้จริงที่ได้กลับไปยังรากเหง้าเดิมของซีรีส์แบบสุดๆ
ภาพวาดของอาจารย์ "Tohru Narita" ที่รากเหง้าของอุลตร้าแมน
จากภาพวาดสีน้ำมันที่ชื่อ “Truth and Justice and the Incarnation of Beauty”ของอาจารย์ “Tohru Narita (โทรุ นาริตะ)” ชายผู้เป็นต้นตำรับการออกแบบงานศิลป์ ของ Ultraman, Ultra Seven และบรรดาสัตว์ประหลาดเลื่องชื่อมากมาย ทั้ง Red King, Baltan, Jamila ซึ่งการนำดีไซน์นี้มาสร้างเป็นหนังก็เหมือนเป็นการบอกกลายๆ ว่านี่แหละคือ “Ultraman” ในแบบฉบับดั้งเดิมอย่าง “แท้จริง” ที่ยังไม่ได้ผ่านการปรุงแต่งใดๆ
เป็นดั่ง “พระเจ้าที่แท้จริงผู้สร้างโลกใหม่” โดยที่ยังคงไว้ซึ่งเสน่ห์แห่งโลกใบเก่า,,,โลกที่พวกเราได้โบยบินโลดแล่นไปกับฮีโร่แห่งแสงผู้เป็นขวัญใจวัยเด็กอีกครั้ง "กัมบาเระ! อุรุโตรามานนน!!"
#อุลตร้าแมน
#Ultraman
#ชินอุลตร้าแมน
#SideStories
โฆษณา