5 ต.ค. 2022 เวลา 05:03 • หุ้น & เศรษฐกิจ
แนวโน้มบทสรุป The Great Layoff 2022 เตรียมรับคลื่น Layoff ลูกใหญ่ต่อเนื่องถึงสิ้นปี
เดินทางเข้าสู่ช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี คงไม่เป็นการกล่าวเกินจริงที่ว่า ทุกประเทศกำลังเผชิญกับการรับมือปัญหาด้านเศรษฐกิจอย่างพร้อมเพียงกัน...ความกังวลเรื่องอัตราดอกเบี้ยที่พุ่งทะยานในขณะเดียวกันที่เศรษฐกิจส่อแววถดถอย ปัญหาทางภูมิศาสตร์การเมือง ส่งผลให้เกิดตลาดหุ้นแบบรถไฟเหาะที่ทำให้ทุกคนตั้งรับกับความเสี่ยงที่ผันผวน
หากใครที่ติดตามสถานการณ์ต่อเนื่องจะเริ่มเห็นภาพรวมถึงผลกระทบที่เชื่อมโยงไปยังส่วนต่างๆ Techsauce จึงอยากชวนผู้อ่านร่วมวิเคราะห์ถึงฉากทัศน์และแนวโน้มของบทสรุปปรากฏการณ์ The Great Layoff 2022 ในปีนี้ไปพร้อมกัน
>>> RECAP สถานการณ์ล่าสุดหลังผ่านไตรมาสสอง
เราทุกคนล้วนเห็นแล้วว่าช่วงที่ผ่านมาคลื่นของการชะลอและเลิกจ้างในปีนี้มีขนาดใหญ่มาก ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา กระแสการเลิกจ้างครั้งใหญ่ได้กวาดล้างธุรกิจต่างๆ การดึงเงินลงทุนออกจากระบบมหภาคเพื่อรัดเข็มขัด และมุ่งเน้นไปที่กระแสเงินสดที่แข็งแกร่งและความสามารถในการทำกำไร ส่งผลให้เกิดการเลิกจ้างงานแบบโดมิโน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสหรัฐอเมริกาและกระจายทั่วทุกภูมิภาค ด้านหนึ่งอาจเพิ่มอุปสงค์แก่ตลาดแรงงาน ค่าแรงที่เพิ่มขึ้นในบางอุตสาหกรรมเฉพาะด้าน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการเติบโตของธุรกิจชะลอตัวลง แต่ยังต้องแบกภาระต้นทุนคงที่หลายประการ การเลิกจ้างเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เมื่อเศรษฐกิจตกต่ำ
ต้นปีจนถึงกลางปีมีการชะลอจ้างงานและปลดลูกจ้างอย่างหนักในทุกภาคส่วนอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่อง มิถุนายน คือ เดือนที่มีอัตราการ Layoff สูงที่สุด
สาเหตุแรก ผลจากการที่บริษัทส่วนใหญ่ มีการตระเตรียมองค์กร จัดลำดับความสำคัญด้านการเงินใหม่ก่อนสิ้นสุดปี จากนั้นหลังจากการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ครั้งแรกในเดือนมิถุนายนและครั้งที่สองในเดือนกรกฎาคม ได้สร้างความตึงเครียดต่อเศรษฐกิจมหภาค
ความกลัวว่าจะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยได้กลายเป็นความจริงมากขึ้น สถาบันการเงินและภาครัฐต่างถ่วงดุลอัดฉีดเม็ดเงินสารพัดเพื่อประคองสภาพเศรษฐกิจในประเทศตน ธุรกิจ ตลาดแรงงานฐานะคนทั่วที่ได้รับผลกระทบ หาทางปรับตัวจนสุดเพดาน รายย่อย บริษัทเทคฯ สตาร์ทอัพ ต้องเผชิญกับการประเมินราคาที่ลดลง
โดยการหาเงินทุนใหม่ในสภาพแวดล้อมนี้ยากกว่ามาก สตาร์ทอัพที่ไร้ผลกำไรและรายได้อาจเท่ากับอยู่ในสถานะที่ล่อแหลม และมีความเป็นไปได้สูงนักลงทุนทั้งในตลาดภาครัฐและเอกชนเปลี่ยนแปลงตัวชี้วัดมูลค่าให้กับบริษัทเทคโนโลยี เช่น การเติบโตที่สูง และมุ่งเน้นไปที่กระแสเงินสดที่แข็งแกร่งและความสามารถในการทำกำไร
>>> 2022 บทพิสูจน์ของบริษัทเทคฯ Digital Service-FinTech
สำหรับภาคเทคโนโลยี เราเห็นการเปลี่ยนแปลงทิศทางของเม็ดเงินชัดเจนขึ้นหลังจากวิกฤตการเงินและการเทิร์นเข้าสู่ช่วงตลาดหมี อาจกล่าวได้ว่าถึงจุดอิ่มตัวหรือชะลอตัวในบางเซคเตอร์ เช่น การใช้งานบริการการซื้อขายสินค้าและบริการทางดิจิทัลที่ลดระดับลง
ผู้ให้บริการ On-Demand Service เช่น ธุรกิจ eCommerce, Delivery, Streaming ต้องพบกับจำนวนผู้ใช้ที่หายไป การยกเลิกระบบบัญชีสำหรับสมาชิก ในขณะเดียวกันที่ภาคอุตสาหกรรมหนักและอิเล็กทรอนิกส์ยังคงตรึงตัวหนักจากกระแสความขัดแย้งระดับโลก ทั้งชิ้นส่วนสำคัญ หรือ อุปกรณ์แบบ End User ขาดตลาด ส่งมอบช้า ความยากเหล่านี้เพิ่มต้นทุนการผลิต ส่งผลให้สิ่งของและบริการดิจิทัลปรับราคาขึ้นตามๆกัน
หลังจากนั้นไม่นาน ภาคการลงทุนและเศรษฐกิจใหม่ที่เคยถูกมองว่าเป็นโอกาส เช่น สินทรัพย์ดิจิทัล คริปโตฯ ก็ถูกบดขยี้ โครงสร้างทางเทคโนโลยีขั้นสูงในอีโคซิสเท็มหลายโครงการถูกพัก ผู้โดยผู้ให้บริการด้านการเงินหรือ FinTech โดยเฉพาะ Digital Asset Exchange เซคเตอร์ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดในช่วงที่ผ่านมา
TrueUp หนึ่งในแพลตฟอร์มสรรหาบุคลากรด้านเทคฯที่ติดตามการ Layoff ในวงการ วาดภาพที่น่ากลัวมากขึ้น โดยระบุว่ามีพนักงานที่ได้รับผลกระทบ 26,000 คนในเดือนกันยายน เพิ่มขึ้นจากประมาณ 20,000 คนในเดือนที่แล้ว โดยตัวเลขการเลิกจ้างล่าสุด เดือนตุลาคม 2022 ในกลุ่มเทคฯ รายใหญ่ ยูนิคอร์นและสตาร์ทอัพชั้นนำ รวมกันแล้วเกือบ 900 องค์กรและ มีผู้ได้รับผลกระทบแล้วทั้งสิ้น 125,216 คน (ข้อมูล ณ วันที่ 5 ตุลาคม 2022)
บริษัททุกขนาดได้รับผลกระทบจากสภาวะตลาดในปัจจุบัน Big Tech ยังคงเป็นผู้นำในการชะลอจ้างยาวตั้งแต่ต้นปี Microsoft Apple Meta Google Amazon Tesla Netflix บางรายมากกว่าหนึ่งครั้ง ระบบนิเวศของสตาร์ทอัพนั้นได้รับผลกระทบที่รุนแรงยิ่งขึ้น และกลายเป็นว่าสถานการณ์ในช่วงสิงหาคมถึงกันยายน มีการประกาศจ้างเกือบทุกทุกภาคส่วน นอกเหนือจากภาคเทคโนโลยี และนี่เป็นส่วนหนึ่งที่รวบรวมมานำเสนอ
> ต้นเดือนสิงหาคม Robinhood แอปฯซื้อขายหลักทรัพย์ยักษ์ใหญ่ในสหรัฐฯ
ประกาศลดพนักงานครั้งใหญ่รอบที่สองของปีถึง 23% จากทั้งหมด 3,900 คนลดลงถึงใกล้แตะ 2,700 คน โดยอ้างเหตุผลถึงกิจกรรมการซื้อขายของลูกค้าลดลง เพราะ ความถดถอยของเศรษฐกิจระดับมหภาค อัตราเงินเฟ้อ และ ความผิดพลาดของตลาดคริปโตฯในวงกว้าง
> ตามด้วย Oracle ยักษ์ใหญ่ด้าน Database ผู้ผลิตชิปและชิ้นส่วนสำคัญในอิเล็กทรอนิกส์ Intel, Nvidia ภาคการเงิน อสังหาริมทรัพย์ บริการออนดีมานด์ด้านต่างๆ ในสหรัฐฯ เช่น Lyft, Wayfair, Shopify, Carvana, Uber, Peloton เป็นต้น
> สำหรับบิ๊กเทคฯ Apple จับมือ Google ประกาศถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง ทั้งการชะลอจ้างงานในบางแผนกและเตรียมควบคุมค่าใช้จ่ายในปี 2023 Amazon และ Meta เทขายอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นสำนักงาน ลดจำนวนพื้นที่ที่วาง ระงับการสร้างสำนักงานใหม่อีกหลายแห่ง ตามด้วยการประกาศปรับโครงสร้างองค์กรครั้งใหญ่ที่สุดตั้งแต่ก่อตั้งมา
> ด้านแพลตฟอร์มสตรีมมิง Netflix ที่ปรับครั้งใหญ่มากกว่าหนึ่งรอบในช่วงครึ่งปีแรก ช่วงเวลานี้ Netflix เพียงประกาศยุบบางสตูดิโอ เช่น Netflix Animation และ HBO Max ที่ได้รับผลกระทบจากการจัดสรรบุคลากรใหม่หลังจากการควบรวมชองบริษัทแม่ระหว่าง Warner Discovery Inc และ Warner Media
> โซนเอเชีย Alibaba ประกาศเลิกจ้างพนักงานถึง 10,000 ชีวิตหลังจากผ่านเดือนมิถุนายน Tencent 5,000 ชีวิต ตามด้วยการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ของบริษัทอีคอมเมิร์ซเจ้าใหญ่แห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ Shopee ที่ประกาศปรับลดพนักงานทั้งในภูมิภาคเอเชียและละตินอเมริกาหลายภาคส่วนเพื่อรับมือกับเศรษฐกิจ
>>> คลื่น Layoff ลูกใหญ่ต่อเนื่องถึงสิ้นปี
หลังจากนี้นักวิเคราะห์ต่างคาดการณ์ว่า จะมีการเลิกจ้างจำนวนมากในช่วงปลายปีนี้ มีการคาดการณ์ถึงการยุติการดำเนินงานธุรกิจและการเลิกจ้างที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง การสำรวจของ PwC ซึ่งสำรวจความคิดเห็นของผู้บริหารและบอร์ดบริหารจากองค์กรต่าง ๆ กว่า 700 คนทั่วสหรัฐอเมริกา พบว่า หลายบริษัทต่างมีแผนที่จะปรับขนาดองค์กร
- มีการเลิกจ้างที่แน่นอนโดยเริ่มทำการประกาศเลิกจ้างหรือกำลังวางแผนที่จะเริ่มเลิกจ้างถึง 51% กำลังเตรียมที่จะลดจำนวนพนักงาน 19%
- Hiring Freeze มีบริษัทที่ประกาศแผนชะลอข้างถึง 52% และอีก 18% กำลังพิจารณาการหยุดจ้างงานเพิ่ม
- มีการวางแผนที่จะลดโบนัสถึง 46% ในขณะเดียวบางบริษัทที่ยังพอไหวถึง 70%
ขยายการทำงานแบบ Remote ไปแบบถาวร 64% วางแผนที่จะเพิ่มค่าตอบแทนและ 62% ได้เพิ่มขึ้นหรือกำลังเพิ่มผลประโยชน์ด้านสุขภาพจิต
Jan Hatzius หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จาก Goldman Sachs ได้ระบุแนวโน้มเชิงลบต่อตลาดงาน "มีการคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจที่ชะลอตัวจะทำให้การเติบโตของงานลดลงอย่างรวดเร็วอีก" เขาเชื่อว่าการว่างงานจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและอาจแตะ 4% ภายในปี 2024 เพราะหลายองค์กร Layoff เพื่อลดต้นทุนที่ต้องแบกรับมหาศาลเพื่อต่อสู้กับภาวะเงินเฟ้อ
ภาวะถดถอยจะทำลายตลาดงานมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตามจะยังมีความต้องการแรงงานในขณะเดียวกัน และน่าตกใจตรงที่ Goldman Sachs เองก็ประกาศถึงเตรียมเลิกจ้างกว่า 100 ตำแหน่งในส่วนสำนักงานที่ New York เมื่อไม่นานมานี้
>>> แนวโน้มของบทสรุปไตรมาสและภาพรวมตลาดแรงงานหลังจากนี้
"The Great Layoff" เป็นส่วนหนึ่งของการรีเซ็ตหลังเกิดโรคระบาด เช่นเดียวกับก่อนหน้านี้ที่หลายองค์กรในต่างประเทศสูญเสียพนักงานท่ามกลางสิ่งที่เรียกว่า "The Great Resignation" การลาออกครั้งใหญ่เพื่อขอเวลารีเซ็ทเป้าหมายของตนเอง ปฏิเสธไม่ได้ว่าวิกฤตครั้งนี้ คือ ความท้าทายครั้งใหญ่ที่ส่งผลกระทบต่อทั้งนายจ้างและลูกจ้าง
จากวิกฤตดังกล่าว หลายองค์กรพยายามอย่างหนักเพื่อจัดลำดับความสำคัญเพื่อรักษาธุรกิจของตนเองให้ผ่านพ้นวิกฤต หากต้นทุนหรือกระแสเงินสด คือ เลือดที่หล่อเลี้ยงบริษัทแล้วนั้นก็อาจกล่าวได้ว่าต้นทุนมนุษย์ คือ หัวใจสำคัญขององค์กร เราได้เห็นหลายองค์กรพยายามรับมือกับความไม่พอใจของพนักงาน รวมถึงรับมือกับการชดเชยต่อผู้ที่ถูกบอกเลิกจ้าง
หลายแห่งเพิ่มทางเลือกและความยืดหยุ่นในการทำงานมากขึ้น เพิ่มค่าจ้าง ขยายโอกาสและผลประโยชน์ที่จะทำให้พนักงานไม่เสียกำลังใจและรู้สึกมีบทบาทในการทำงานร่วมกันรวมถึงผ่านวิกฤตไปด้วยกัน ในขณะเดียวกันหลายธุรกิจ มองว่าวิกฤตยังเต็มไปด้วยโอกาสและใช้ช่วงเวลานี้เองในการรับสมัคร Talent เสนอทางเลือกที่ดีกว่าเดิมเพื่อดึงดูดยอดฝีมือจากคู่แข่ง สร้างแรงหนุนที่แข็งแกร่งให้กับตลาดแรงงาน
สำหรับแนวโน้มส่งท้ายปีและไม่กี่ไตรมาสข้างหน้านี้ ธุรกิจทั่วโลกต้องดิ้นรนมากขึ้นในสภาพแวดล้อมที่ยากลำบากและไม่มีความแน่นอนไปอีกระยะ อย่างไรก็ตามเศรษฐกิจมีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวและมีช่องทางในการขยับขยายธุรกิจใหม่ๆ หากมองว่าทุกวิกฤตมีโอกาส ช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาสำคัญที่ทำให้คุณหันกลับมองว่าอะไรคือสิ่งที่จำเป็นสำหรับธุรกิจอย่างแท้จริง หรือสิ่งใดจะเป็นโอกาสที่ควรค่าแก่การลงทุนอย่างแท้จริงในระยะยาว
สำหรับภาคเทคโนโลยีและผู้เล่นหน้าใหม่ที่เติบโตก้าวกระโดดในช่วงที่ผ่านมา จะสามารถกลับมาตั้งหลักได้ นักวิเคราะห์บางส่วนคาดการณ์ว่าอย่างไรก็ตามแนวโน้มงานในภาคเทคฯ จะยังคงสดใสในระยะยาว อ้างอิงสำนักงานสถิติแรงงานสหรัฐฯ ระบุว่าไปในทางเดียวกันว่า นักพัฒนาและวิศวกรซอฟต์แวร์ จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในทศวรรษหน้า แรงงานดิจิทัลที่มีทักษะที่จำเป็นในอุตสาหกรรมจะมีโอกาสสูงกว่าคนอื่นๆ เพราะงานด้านเทคโนโลยีจะยังเป็นที่ต้องการในตลาดแรงงาน เช่นเดียวกับผลสำรวจจากหลายสำนัก
ไตรมาสสุดท้ายนี้ เราขอแนะนำว่าให้ทุกคนติดตามสถานการณ์ระดับมหภาคอย่างใกล้ชิด เพื่อเตรียมตัวรับมือกับความเป็นไปได้ที่อาจเกิดขึ้น ในช่วงนี้คุณอาจชะลอการโยกย้ายหรือเปลี่ยนงานไปก่อน หาข้อมูลและทำความเข้าใจเพื่อประเมินความเสี่ยงและวางแผนแบบระยะสั้นและระยะยาว คอยติดตามความเคลื่อนไหวของการจ้างงานในอุตสาหกรรมของคุณ คุณเห็นและได้ยินอะไรจากผู้คนในอุตสาหกรรมของคุณ? เพื่อเตรียมตัวรับมือสถานการณ์ที่ไม่คุ้นเคยและร่วมจับตาไตรมาสสุดท้ายนี้ไปพร้อมกันหลังจากนี้
อ้างอิง :
ติดตามข่าวสารโลกธุรกิจและเทคโนโลยีแบบอัปเดตก่อนใคร ในทุกช่องทางของเรา
โฆษณา