6 ต.ค. 2022 เวลา 02:58 • ปรัชญา
คนเราเมื่อเกิดมา มันก็มีเส้นทางชีวิต ที่เลือกเกิดไม่ได้ ว่าจะอยู่สถานที่ใด บ้านเมืองใด ประเทศใด เกิดมาแล้วก็เรียนรู้เรื่องราวต่างๆ นำไปใช้ทำมาหากิน หล่อเลี้ยงกายตน หล่อเลี้ยงกายตนยังพอ ต้องไปหาภาระเพิ่มขึ้น ต้องมีคู่ มีสามีภรรยา อาศัยความรู้ที่เคยเรียนมา เคยทำมา เอามาทำหากิน ..สร้างบ้าน ..สร้างครอบครัว เป็นโสดก็ไม่ต้องมีภาระมาก ไม่มีห่วงผูกพัน ..ห่วงใยอะไรมากมาย
อาศัยความรู้ความสามารถทำมาหากิน สะสมเงินทอง ลาภยศ มันดี ..ดีตอนที่ร่างกายแข็งแรง มีความทะเยอทะยาน อยากสิ่งนั้นสิ่งนี้ กินนั้นกินนี่ บางพวกก็กินเลยเถิด กินหินดินทรายก็ยังได้ แต่กายของทุกคนนี่ซิ มันต้องแก่เฒ่าชรา เจ็บตาย บางคนก็ว่ามีความรู้ความสามารดดี อนาคตกำลังรุ่งเรือง ลาภยศกำลังมา ดันเส้นเลือดสมองแตกตาย บางคนก็รอด รอดมานอนติดเตียง ให้คนเค้าช่วย..พลิกซ้ายพลิกขวา ป้อนข้าวป้อนน้ำ
เป็นเหมือนเด็กแรกเกิด มันเรื่องราวของกายที่อาศัย มันไม่เที่ยง..เอาอะไรแน่นอนไม่ได้ บางคนก็ร่างกายดีๆ มีดูแลกาย ใช้กายไปในเรื่องราวของอารมณ์โลภโกรธหลง จนเกินเหตุ ทะเยอทะยาน ไปเรื่อย..ๆมันไม่หยุดพักจิตพักใจ สำรวจตรวจสอบ ชีวิตตนที่อาศัยกาย กายต้องการอะไร แล้วจิตต้องการอะไร กายมันวิบัติทรยศ จิตที่อาศัยเรือนกายนี้จะทำอย่างไร กับกาย หากใช้กายนี้สะสมการสร้างกรรม มีแต่กายที่เป็นอกุศลเกิดขึ้น กายก็เป็นกายของกรรม บุญกุศลไม่ทำมาหล่อเลี้ยง เรือนกาย ทุกข์ของกายย่อมเป็นวิบากกรรมแน่นอน
นั่นก็เป็นเรื่องที่เราควรรู้จักกาย อารมณ์ที่เกิดในตน ว่าเราสมควรใช้กายอย่างไร ประมาณในการใช้กาย หากเรารู้จักชัดเจนในเรื่องกรรม เราก็สละเวลานำกายมาสร้างบุญกุศล ให้เป็นกายบุญ จิตอยู่ในกายบุญ จะทำสิ่งใดก็ราบรื่น พอเพียงในการดำรงชีวิตสังขารที่ตนอาศัย .ก็ไม่ทุกข์ยากลำบากกายลำบากจิต มีความสุขในชีวิตที่รู้จักตัวเองว่าจิตต้องการความสุขที่ไม่ใช่ความสุขของอารมณ์
โฆษณา