13 มี.ค. 2023 เวลา 10:37 • ประวัติศาสตร์

"สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร (Elizabeth II)"

ก่อนนี้ผมมีแพลนจะเขียนบทความเกี่ยวกับ "กาฬมรณะ (Black Death)" และเรื่องราวของ “อลิซในดินแดนมหัศจรรย์ (Alice in Wonderland)” เป็นบทความขนาดยาวต่อไป แต่เนื่องจาก "สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร (Elizabeth II)" เพิ่งจะสวรรคตเมื่อปีที่แล้ว ดังนั้น จึงขออนุญาตเขียนพระราชประวัติของพระองค์ท่านแบบยาว หากแต่รวบรัด ให้ได้อ่านกันนะครับ
2
อันที่จริง ผมเคยเขียนเรื่องราวของพระองค์ท่านเป็นซีรีส์ตอนๆ แล้ว หากแต่อยากจะเขียนเรื่องของพระองค์ท่านอีกครั้งเพื่อเป็นการรำลึก และเผื่อใครที่ขี้เกียจอ่านเป็นตอนๆ ก็จะได้อ่านยาวรวดเดียวจบเลย
สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร (Elizabeth II)
เรามาเริ่มกันเลยดีกว่าครับ
เมื่อนานมาแล้ว ที่ประเทศอังกฤษ "เจ้าหญิงเอลิซาเบธ (Princess Elizabeth)" วัย 10 พรรษา ทรงใช้ชีวิตอยู่ในปราสาทและพระราชวังหลายแห่งในอังกฤษและสก็อตแลนด์มาตั้งแต่แรกพระราชสมภพ
พระราชบิดาของเจ้าหญิงมียศศักดิ์เป็น "ดยุก (Duke)" ส่วนพระอัยกา (ปู่) ของเจ้าหญิงนั้นเป็นพระมหากษัตริย์ ปกครองสหราชอาณาจักร (United Kingdom) ซึ่งประกอบด้วย อังกฤษ สก็อตแลนด์ เวลส์ และไอร์แลนด์เหนือ
เจ้าหญิงเอลิซาเบธทรงมีชีวิตราวกับเจ้าหญิงในเทพนิยาย พระองค์ทรงใช้ชีวิตวัยเด็กอย่างมีความสุข
พระราชินีเอลิซาเบธขณะทรงพระเยาว์
ในครอบครัวนั้น จะทรงเรียกเจ้าหญิงเอลิซาเบธว่า "ลิลิเบธ (Lilibet)" และพระองค์ก็ทรงมีทุกอย่างที่เจ้าหญิงจะทรงมี ทั้งสุนัข ม้า ฉลองพระองค์ที่หรูหราและสวยงาม
พระองค์ไม่ได้เข้าศึกษาที่โรงเรียนเช่นเด็กคนอื่น หากแต่มีพระพี่เลี้ยงและพระอาจารย์คอยสอนวิชาการ
1
เจ้าหญิงเอลิซาเบธและพระขนิษฐา นั่นคือ "เจ้าหญิงมาร์กาเรต (Princess Margaret)" ทรงเป็นผู้ที่โด่งดังในสังคมอังกฤษ แม้แต่ทรงพระเยาว์ ผู้คนจำนวนมากก็ได้ส่งจดหมายและของขวัญมาถวายเจ้าหญิงเป็นจำนวนมาก ของเล่นนับรวมกันได้กว่าสามตัน
1
เจ้าหญิงมาร์กาเรต (Princess Margaret)
แต่ถึงเจ้าหญิงเอลิซาเบธจะเป็นเจ้าหญิง แต่พระองค์ก็ไม่เคยคิดว่าพระองค์จะได้ขึ้นเป็นพระราชินี เนื่องจากพระปิตุลา (ลุง) ของพระองค์ นั่นคือ "เจ้าชายเอ็ดเวิร์ด (Prince Edward)" คือองค์รัชทายาท นั่นหมายถึงเมื่อพระอัยกาของเจ้าหญิงเอลิซาเบธสวรรคต พระปิตุลาของเจ้าหญิงก็จะได้ขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์องค์ต่อไป และหากพระปิตุลามีพระราชบุตร พระราชบุตรองค์ใหญ่ก็จะได้ขึ้นครองราชย์สืบต่อ
นั่นหมายถึงโอกาสที่พระองค์จะได้ขึ้นเป็นพระราชินีนั้นมีโอกาสน้อยมาก
ต่อมาในเดือนมกราคม ค.ศ.1936 (พ.ศ.2479) "สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 5 แห่งสหราชอาณาจักร (George V)" พระอัยกาของเจ้าหญิงเอลิซาเบธสวรรคต และเจ้าชายเอ็ดเวิร์ดก็ได้ขึ้นครองราชย์ เป็น "สมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 8 แห่งสหราชอาณาจักร (Edward VIII)"
1
สมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 8 แห่งสหราชอาณาจักร (Edward VIII)
แต่ต่อมาในปีนี้เอง ทุกอย่างก็ได้เปลี่ยนไป
พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 8 ได้ทรงตกหลุมรักหญิงชาวอเมริกันผู้หนึ่ง และมีพระราชประสงค์จะอภิเษกสมรสกับหญิงผู้นี้ หากแต่หญิงผู้นี้เคยผ่านการสมรสและหย่าร้างมาแล้วถึงสองครั้ง
ตามกฎของคริสตจักรแห่งอังกฤษ กษัตริย์จะอภิเษกสมรสกับหญิงที่ผ่านการหย่าร้างมาแล้วไม่ได้ หากแต่พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 8 นั้นทรงรักหญิงรายนี้มาก และตัดสินพระทัยที่จะสละราชสมบัติ
10 ธันวาคม ค.ศ.1936 (พ.ศ.2479) พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 8 ได้สละราชสมบัติ ทำให้พระราชบิดาของเจ้าหญิงเอลิซาเบธขึ้นเป็นกษัตริย์สืบต่อ นั่นคือ "สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 แห่งสหราชอาณาจักร (George VI)"
สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 แห่งสหราชอาณาจักร (George VI)
ในเมื่อตอนนี้พระราชบิดาของเจ้าหญิงเอลิซาเบธเป็นกษัตริย์ นั่นเท่ากับเจ้าหญิงเอลิซาเบธคือผู้ที่จะสืบต่อราชบัลลังก์ในลำดับแรก
ผู้ที่มาทูลข่าวนี้แก่เจ้าหญิงเอลิซาเบธคือมหาดเล็ก และตั้งแต่วินาทีนั้น ผู้คนก็ปฏิบัติต่อเจ้าหญิงเอลิซาเบธต่างออกไป ทุกอย่างถูกปูทางไว้แล้ว สิ่งที่เจ้าหญิงเอลิซาเบธต้องทำ คือเตรียมพร้อมที่จะเป็นพระราชินี
วันหนึ่ง เจ้าหญิงเอลิซาเบธจะได้ปกครองอาณาจักรที่ประกอบด้วยประเทศต่างๆ กว่า 56 ประเทศ
1
สำหรับพระราชประวัติของเจ้าหญิงเอลิซาเบธ หรือ "สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร (Elizabeth II)" พระองค์เสด็จพระราชสมภพในค่ำคืนที่ฝนตกเมื่อวันที่ 21 เมษายน ค.ศ.1926 (พ.ศ.2469)
ในช่วงที่ยังทรงพระเยาว์ ครอบครัวของพระองค์ได้เสด็จย้ายไปประทับยังบ้านหลังใหญ่ในลอนดอน และเมื่อพระราชบิดาขึ้นครองราชย์ ครอบครัวของพระองค์ก็เสด็จย้ายไปประทับยัง "พระราชวังบักกิ้งแฮม (Buckingham Palace)" พระราชวังขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ใจกลางลอนดอน
พระราชวังบักกิ้งแฮม (Buckingham Palace)
พระราชวังแห่งนี้ประกอบด้วยห้องต่างๆ กว่า 775 ห้อง และมีผู้คนทำงานในพระราชวังแห่งนี้กว่าร้อยคน
พระราชบิดาของเจ้าหญิงเอลิซาเบธไม่เคยมีพระราชประสงค์จะขึ้นเป็นกษัตริย์ โดย "สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 แห่งสหราชอาณาจักร (George VI)" ทรงมีพระอุปนิสัยขี้อาย และเวลาตรัส พระองค์มักจะติดอ่าง ตะกุกตะกัก
พระเจ้าจอร์จที่ 6 ทรงโปรดม้าและสุนัข โดยเมื่อเจ้าหญิงเอลิซาเบธมีพระชนมายุสามพรรษา พระองค์ก็ได้ทรงเริ่มเรียนขี่ม้า และเมื่อมีพระชนมายุเจ็ดพรรษา พระเจ้าจอร์จที่ 6 ก็ได้พระราชทานสุนัขพันธุ์เวลช์คอร์กี้ (Welsh Corgi) แก่เจ้าหญิงเอลิซาเบธ และตั้งแต่นั้น เจ้าหญิงเอลิซาเบธก็ทรงโปรดม้าและสุนัขพันธุ์คอร์กี้มากกว่าสิ่งใด
สำหรับพระพี่เลี้ยงของเจ้าหญิงเอลิซาเบธ ก็คือหญิงที่ชื่อ "มาเรียน ครอว์ฟอร์ด (Marion Crawford)" ซึ่งทุกคนเรียกว่า "ครอว์ฟี (Crawfie)"
มาเรียน ครอว์ฟอร์ด (Marion Crawford)
ครอว์ฟีนั้นเป็นผู้ถวายการสอนวิชาหลายๆ วิชาแก่เจ้าหญิงทั้งสอง ทั้งประวัติศาสตร์ การอ่าน ภูมิศาสตร์ เป็นต้น
ในช่วงยังทรงพระเยาว์ บางครั้งเจ้าหญิงเอลิซาเบธก็ทรงดื้อรั้น โดยพระองค์ทรงมีพระอารมณ์ร้อนเหมือนพระราชบิดา แต่พระราชชนนีของเจ้าหญิงก็ทรงสอนให้เจ้าหญิงควบคุมพระอารมณ์ โดยทรงสอนว่าพระองค์ไม่ควรจะตะคอกใส่ผู้อื่น โดยเฉพาะหากพระองค์ขึ้นเป็นพระราชินี มิเช่นนั้นผู้คนจะไม่นับถือ
เมื่อมีพระชนมายุได้ 10 พรรษา เจ้าหญิงเอลิซาเบธก็ได้กลายเป็นเด็กหญิงที่จริงจัง ถึงแม้พระองค์จะทรงโปรดการเล่นสนุกกับครอบครัว และอาจจะมีความเป็นมิตรและมีเสน่ห์ หากเมื่ออยู่กลางสาธารณชน พระองค์มักจะทรงเงียบขรึมและมีความสง่างามอย่างที่ว่าที่พระราชินีควรจะเป็น
ในขณะเดียวกัน เจ้าหญิงมาร์กาเรต พระขนิษฐาของเจ้าหญิงเอลิซาเบธ เปรียบเหมือนขั้วตรงข้ามของเจ้าหญิงเอลิซาเบธ
พระราชินีเอลิซาเบธและเจ้าหญิงมาร์กาเรต
เจ้าหญิงมาร์กาเรตนั้นทรงรักอิสระและซุกซน พระองค์มักจะทำท่าทางเลียนแบบคนดังต่างๆ สร้างเสียงหัวเราะให้ผู้อื่น ซึ่งพระเจ้าจอร์จที่ 6 พระราชบิดาของเจ้าหญิงทั้งสองได้เคยตรัสว่า
"ลิลิเบธคือความภาคภูมิใจของฉัน ส่วนมาร์กาเรตคือความเบิกบานของฉัน"
2
ในทุกเช้า เจ้าหญิงเอลิซาเบธและเจ้าหญิงมาร์กาเรตจะต้องเสด็จไปยังห้องบรรทมของพระราชบิดาและพระราชมารดาเพื่อพูดคุยและทรงเล่นกันทุกเช้า ซึ่งนี่คือธรรมเนียมของครอบครัว
เมื่อมีพระชนมายุได้ 13 พรรษา เจ้าหญิงเอลิซาเบธได้ทรงศึกษาวิชากับพระอาจารย์ที่ชื่อ "เซอร์เฮนรี มาร์เตน (Sir Henry Marten)"
พระราชินีเอลิซาเบธขณะทรงพระเยาว์
เจ้าหญิงเอลิซาเบธจะเสด็จไปทรงศึกษากับมาร์เตนสัปดาห์ละสองครั้ง ซึ่งมาร์เตนจะถวายการสอนเกี่ยวกับกฎหมายและกฎต่างๆ ของประเทศ ซึ่งเป็นเรื่องที่ยาก แต่เจ้าหญิงเอลิซาเบธก็จำเป็นต้องเรียนรู้ เนื่องจากเมื่อขึ้นครองราชย์ พระองค์จะต้องรู้ว่าสิ่งใดที่ทรงทำได้หรือทำไม่ได้
เจ้าหญิงเอลิซาเบธนั้นไม่ได้ทรงคิดมากเรื่องการศึกษาที่ยาก หากแต่สิ่งที่พระองค์ทรงอึดอัดพระราชหฤทัย ก็คือการที่พระองค์ต้องประทับอยู่แต่ในวัง ไม่สามารถออกไปข้างนอกได้บ่อยๆ เหมือนเด็กคนอื่นๆ
1
หลายครั้งที่พระองค์ประทับนั่งอยู่ข้างหน้าต่าง และทอดพระเนตรออกไปข้างนอกอย่างสงสัยว่าชีวิตของคนธรรมดานั้นเป็นอย่างไร
1
ในยามค่ำคืน เจ้าหญิงเอลิซาเบธจะทรงสวดมนต์ก่อนเข้าบรรทม โดยที่อังกฤษนั้น พระประมุขของประเทศจะทรงเป็นผู้นำคริสตจักรแห่งอังกฤษอีกด้วย ซึ่งวันหนึ่ง พระองค์ก็จะต้องทรงทำหน้าที่นี้
1
พระราชินีเอลิซาเบธขณะทรงพระเยาว์
เมื่อทรงเจริญวัยขึ้น เจ้าหญิงเอลิซาเบธก็ทรงเรียนรู้ที่จะประพฤติองค์อย่างเหมาะสมในที่สาธารณะ โดยพระราชมารดาทรงสอนให้พระองค์ประทับนั่งพระขนอง (หลัง) ตรง พระขนองไม่ทรงพิงพนักเก้าอี้ และพระองค์ยังทรงเรียนรู้ที่จะไม่กรรแสงต่อหน้าสาธารณชน และจะแย้มพระสรวลบ่อยๆ ก็ไม่ได้
ภายหลังจากที่สงครามโลกครั้งที่ 2 ได้เริ่มขึ้นในยุโรปเมื่อค.ศ.1939 (พ.ศ.2482) เครื่องบินทิ้งระเบิดเยอรมันได้ทิ้งระเบิดลงยังลอนดอนนับพันลูก พระราชวังบักกิ้งแฮมก็โดนระเบิดถึงเก้าครั้ง
พระเจ้าจอร์จที่ 6 และสมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธ พระราชชนนี พระราชบิดาและพระราชมารดาของเจ้าหญิงเอลิซาเบธ ไม่ได้เสด็จหนีออกจากเมือง หากแต่ทั้งสองพระองค์ยังประทับอยู่ในพระราชวังเพื่อแสดงให้ประชาชนเห็นว่าทั้งสองพระองค์ทรงอยู่ข้างประชาชน และทรงเสี่ยงอันตรายด้วยเช่นกัน
1
หากแต่เจ้าหญิงเอลิซาเบธและเจ้าหญิงมาร์กาเรตได้ถูกส่งไปประทับยัง “พระราชวังวินด์เซอร์ (Windsor Castle)” ซึ่งอยู่ห่างออกไปราว 30 กิโลเมตร
พระราชวังวินด์เซอร์ (Windsor Castle)
ที่พระราชวังวินด์เซอร์ เจ้าหญิงเอลิซาเบธและเจ้าหญิงมาร์กาเรตได้ทรงใช้เวลาส่วนใหญ่กับเหล่าทหารองครักษ์ มีการละเล่น การแสดงอย่างสนุกสนานเพื่อให้ทุกคนมีกำลังใจ
หากแต่ช่วงเวลาของสงครามยังพระราชวังวินด์เซอร์ก็ไม่ได้มีแต่ความเพลิดเพลิน ค่อนข้างลำบากพอสมควร แม้แต่พระราชวงศ์อย่างเจ้าหญิงเอลิซาเบธและเจ้าหญิงมาร์กาเรตก็ทรงขาดแคลนของใช้บางอย่าง น้ำร้อนก็หายาก
เมื่อมีพระชนมายุได้ 18 พรรษา เจ้าหญิงเอลิซาเบธทรงมีพระชนมายุมากพอที่จะช่วยในการสงครามได้แล้ว โดยพระองค์ทรงใช้เวลากว่าสามสัปดาห์ในหน่วยสตรีของกองทัพ
เจ้าหญิงเอลิซาเบธได้ทรงเรียนขับรถบรรทุกและการซ่อมเครื่องยนต์ ซึ่งภายหลัง เจ้าหญิงเอลิซาเบธได้ตรัสว่าช่วงเวลานั้น เป็นช่วงเวลาเพียงครั้งเดียวที่พระองค์สามารถเอาตัวพระองค์เองไปเปรียบเทียบกับเด็กคนอื่นๆ ในวัยเท่าๆ กันได้
1
พระราชินีเอลิซาเบธขณะทรงงานในหน่วยสตรีของกองทัพ
ช่วงเวลาของสงคราม ชาวอังกฤษต่างต้องการที่จะให้นาซีพ่ายแพ้ และสงครามนี้ก็ได้สอนเจ้าหญิงเอลิซาเบธว่าความสามัคคีของคนในชาตินั้นเป็นสิ่งสำคัญ และพระราชวงศ์ก็มีหน้าที่ที่จะต้องทำให้คนในชาติเป็นปึกแผ่น
ในช่วงเวลาของสงครามนี้ ก็ได้เกิดเหตุการณ์บางอย่างซึ่งแปลกใหม่สำหรับเจ้าหญิงเอลิซาเบธ
นั่นคือพระองค์ทรงมีความรัก
ชายหนุ่มที่เจ้าหญิงเอลิซาเบธทรงตกหลุมรัก คือนายทหารในกองทัพเรือผู้หนึ่ง ทหารรายนี้มีอายุมากกว่าเจ้าหญิงเอลิซาเบธสี่ปี และยังเป็นเจ้าชายอีกด้วย อีกทั้งยังมีศักดิ์เป็นพระญาติกับเจ้าหญิงเอลิซาเบธ
1
ชายหนุ่มผู้นั้นคือ "เจ้าชายฟิลิปแห่งกรีซและเดนมาร์ก (Prince Philip of Greece and Denmark)"
เจ้าชายฟิลิปแห่งกรีซและเดนมาร์ก (Prince Philip of Greece and Denmark)
เจ้าชายฟิลิปและเจ้าหญิงเอลิซาเบธมีศักดิ์เป็นพระญาติ โดยทั้งสองพระองค์ทรงสืบเชื้อสายมาจาก "สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย (Queen Victoria)" อดีตพระประมุขแห่งสหราชอาณาจักร
ในเวลาที่พบกับเจ้าชายฟิลิป เจ้าหญิงเอลิซาเบธมีพระชนมายุ 13 พรรษา และพระองค์ทรงตกหลุมรักเจ้าชายฟิลิปตั้งแต่แรกพบ
1
เจ้าชายฟิลิปทรงมีพระวรกายสูงหกฟุต (183 เซนติเมตร) พระเนตรสีฟ้า พระเกษาสีบลอนด์ พระวรกายบึกบึนอย่างนักกีฬา พระพักตร์หล่อเหลา และยังทรงเฉลียวฉลาด
แต่ข้อเสียข้อเดียวของเจ้าชายฟิลิป นั่นก็คือพระองค์ไม่ใช่เจ้าชายที่ร่ำรวยเท่าไรนัก
สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย (Queen Victoria)
สมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธ พระราชชนนี ทรงคิดว่าเจ้าหญิงเอลิซาเบธน่าจะอภิเษกสมรสกับคนอื่นที่ร่ำรวยเงินทองและที่ดินมากกว่าเจ้าชายฟิลิป หากแต่พระราชหฤทัยของเจ้าหญิงเอลิซาเบธตกเป็นของเจ้าชายฟิลิปไปแล้ว
1
เมื่อมีพระชนมายุมากขึ้น เจ้าชายฟิลิปก็ทรงตกหลุมรักเจ้าหญิงเอลิซาเบธเช่นกัน
2
เจ้าชายฟิลิปได้เข้าร่วมกับกองทัพเรือในปีค.ศ.1939 (พ.ศ.2482) และเสด็จไปยังดินแดนต่างๆ ทั่วโลกในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 หากแต่เจ้าชายฟิลิปก็ทรงเขียนจดหมายมาถวายเจ้าหญิงเอลิซาเบธอยู่เสมอๆ
ในฤดูใบไม้ผลิ ค.ศ.1946 (พ.ศ.2489) พระเจ้าจอร์จที่ 6 ได้ทรงเชิญเจ้าชายฟิลิปไปประทับยัง “ปราสาทบัลมอรัล (Balmoral Castle)” ในสก็อตแลนด์
ปราสาทบัลมอรัล (Balmoral Castle)
ปราสาทบัลมอรัล เป็นสถานที่ที่ครอบครัวของเจ้าหญิงเอลิซาเบธเสด็จไปประทับในทุกฤดูร้อน โดยปราสาทแห่งนี้ถูกล้อมรอบด้วยป่ากว่า 126,000 ไร่ มีธรรมชาติที่สวยงดงาม
1
ณ ที่แห่งนี้ เจ้าชายฟิลิปได้ทูลขอเจ้าหญิงเอลิซาเบธอภิเษกสมรส ซึ่งเจ้าหญิงเอลิซาเบธก็ได้ตรัสตกลง ถึงแม้ว่าพระองค์จะยังไม่ได้ทูลขอพระบรมราชานุญาตจากพระราชบิดาก็ตาม
1
พระเจ้าจอร์จที่ 6 ได้มีรับสั่งให้เจ้าหญิงเอลิซาเบธเก็บเรื่องการหมั้นหมายไว้เป็นความลับจนกว่าเจ้าหญิงเอลิซาเบธจะมีพระชนมายุครบ 21 พรรษาในปีหน้า ซึ่งในระหว่างนี้ พระองค์ก็จะพระราชทานการสอนแก่พระราชธิดาถึงการเป็นพระประมุขในอนาคต
เมื่อถึงวันคล้ายวันพระราชสมภพปีที่ 21 ของเจ้าหญิงเอลิซาเบธ เจ้าหญิงเอลิซาเบธและครอบครัวก็ได้เสด็จไปแอฟริกาใต้ ซึ่งก็มีการถวายการต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่ ก่อนที่ในอีกไม่กี่เดือนต่อมา ข่าวการหมั้นของเจ้าหญิงเอลิซาเบธก็ได้รับการประกาศให้ประชาชนทราบ
งานอภิเษกสมรสของเจ้าหญิงเอลิซาเบธและเจ้าชายฟิลิป ได้ถูกจัดขึ้นในวันที่ 20 พฤศจิกายน ค.ศ.1947 (พ.ศ.2490) โดยในเวลานั้น เจ้าชายฟิลิปได้สละพระยศ "เจ้าชายแห่งกรีซและเดนมาร์ก (Prince of Greece and Denmark)" และดำรงพระยศ "ดยุกแห่งเอดินเบิร์ก (Duke of Edinburgh)" แทน
ในเช้าวันอภิเษกสมรส เป็นเช้าที่อากาศหนาวเย็น หากแต่ประชาชนนับพันก็ไปรวมตัวกันหน้า “มหาวิหารเวสต์มินสเตอร์ (Westminster Abbey)” เพื่อรอดูพระราชพิธีสำคัญนี้
พระเจ้าจอร์จที่ 6 และเจ้าหญิงเอลิซาเบธเสด็จมายังมหาวิหารแห่งนี้ในรถม้าที่สง่างามราวกับเทพนิยาย ฉลองพระองค์ของเจ้าหญิงเอลิซาเบธนั้นสวยหรูและสง่างาม
1
ผู้คนกว่า 2,000 คนได้รวมตัวกันอยู่ในมหาวิหารเวสต์มินสเตอร์เพื่อร่วมเป็นสักขีพยาน และภายหลังจากงานอภิเษกสมรสสิ้นสุดลง เจ้าหญิงเอลิซาเบธและเจ้าชายฟิลิปก็เสด็จกลับไปยังพระราชวังบักกิ้งแฮม โดยมีประชาชนจำนวนมากรออยู่หน้าพระราชวัง ซึ่งคู่บ่าวสาวก็ได้เสด็จออกมายังระเบียงและโบกพระหัตถ์ทักทายประชาชน
มหาวิหารเวสต์มินสเตอร์ (Westminster Abbey)
ช่วงปีแรกๆ หลังจากอภิเษกสมรส ชีวิตของเจ้าหญิงเอลิซาเบธและเจ้าชายฟิลิปนั้นมีความสุข ราบรื่นอย่างดี โดยในวันที่ 14 พฤศจิกายน ค.ศ.1948 (พ.ศ.2491) เจ้าหญิงเอลิซาเบธได้ให้กำเนิดพระราชโอรสองค์แรก นั่นคือ "เจ้าชายชาร์ลส์ (Princes Charles)" หรือในปัจจุบันก็คือ "สมเด็จพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 แห่งสหราชอาณาจักร (Charles III)" พระประมุของค์ปัจจุบันแห่งสหราชอาณาจักร
เนื่องจากเป็นพระราชโอรสองค์แรก เท่ากับว่าเจ้าชายชาร์ลส์คือว่าที่กษัตริย์องค์ต่อไปแห่งสหราชอาณาจักร
ปีต่อมา กองทัพเรือได้ส่งเจ้าชายฟิลิปให้เสด็จไปประจำการยังมอลตา ซึ่งเป็นประเทศเกาะเล็กๆ ในเมดิเตอเรเนียน และเจ้าหญิงเอลิซาเบธก็ตัดสินพระทัยจะเสด็จตามไปด้วย ทิ้งให้เจ้าชายชาร์ลส์วัยหนึ่งพรรษาประทับอยู่ที่อังกฤษ
สมเด็จพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 แห่งสหราชอาณาจักร (Charles III)
ต่อมาในปีค.ศ.1950 (พ.ศ.2493) เจ้าหญิงเอลิซาเบธได้ให้กำเนิดพระราชบุตรองค์ที่สองและเป็นพระราชธิดาองค์แรก นั่นคือ "เจ้าหญิงแอนน์ (Princess Anne)"
เจ้าหญิงเอลิซาเบธไม่ใช่พระราชมารดาที่เย็นชากับพระราชบุตร หากแต่ก็ไม่ใช่พระราชมารดาที่อบอุ่นหรือใส่พระทัยในพระราชบุตรมากนัก ทั้งเจ้าชายชาร์ลส์และเจ้าหญิงแอนน์ขณะทรงพระเยาว์ ได้รับการถวายดูแลจากพระพี่เลี้ยงในลอนดอน และใช้เวลาประทับอยู่กับพระอัยกาและพระอัยยิกาในช่วงที่เจ้าหญิงเอลิซาเบธและเจ้าชายฟิลิปไม่ได้ประทับอยู่ในลอนดอน
1
ในเวลาต่อมา เจ้าชายชาร์ลส์ได้ตรัสถึงพระราชมารดา โดยตรัสว่าในช่วงที่ทรงพระเยาว์ พระองค์ทรงรู้สึกเศร้าโศกและโดดเดี่ยว เนื่องจากพระราชมารดามักจะไม่ได้ประทับอยู่เคียงข้าง และเมื่อเสด็จกลับจากปฏิบัติพระราชกรณียกิจ บางครั้งเจ้าหญิงเอลิซาเบธก็ไม่ทรงกอดทักทายพระองค์
1
เจ้าหญิงแอนน์ (Princess Anne)
ในขณะเดียวกัน พระเจ้าจอร์จที่ 6 ก็ทรงพระประชวร โดยในทีแรก พระองค์ทรงตั้งพระราชหฤทัยจะเสด็จเยือนประเทศต่างๆ ในเครือจักรภพเป็นเวลาหกเดือน หากแต่ปัญหาด้านพระพลานามัย ทำให้พระองค์ทรงตัดสินพระทัยให้เจ้าหญิงเอลิซาเบธและเจ้าชายฟิลิปเสด็จแทนพระองค์
31 มกราคม ค.ศ.1952 (พ.ศ.2495) เจ้าหญิงเอลิซาเบธและเจ้าชายฟิลิปเสด็จไปยังประเทศเคนยา
ในค่ำคืนที่เจ้าหญิงเอลิซาเบธบรรทมอยู่ที่เคนยา พระเจ้าจอร์จที่ 6 ซึ่งประทับอยู่ในลอนดอน ได้เสด็จเข้าบรรทม และสวรรคต
วันนั้นคือวันที่ 6 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1952 (พ.ศ.2495) และในเวลานี้ เจ้าหญิงเอลิซาเบธก็คือพระประมุของค์ใหม่แห่งสหราชอาณาจักร
เจ้าหญิงเอลิซาเบธมีพระชนมายุเพียง 25 พรรษาเท่านั้น หากแต่พระองค์ได้ขึ้นเป็นพระประมุขแห่งอังกฤษ สก็อตแลนด์ เวลส์ ไอร์แลนด์เหนือ และอีกหลายประเทศทั่วโลก
พระองค์ไม่ทรงคาดคิดมาก่อนว่าจะได้ขึ้นเป็นพระราชินีอย่างรวดเร็วเช่นนี้ หากก็ทรงพร้อมสำหรับภาระต่างๆ ที่จะต้องถาโถมเข้ามา
เมื่อทรงทราบข่าวการสวรรคตของพระราชบิดา เจ้าหญิงเอลิซาเบธและเจ้าชายฟิลิปก็รีบเสด็จกลับอังกฤษทันที
ที่สนามบิน นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐบาลได้เฝ้ารับเสด็จที่สนามบิน และเมื่อเจ้าหญิงเอลิซาเบธมาถึง ทุกคนก็โค้งคำนับเจ้าหญิงเอลิซาเบธ
วันต่อมา เจ้าหญิงเอลิซาเบธได้ตรัสคำสาบานตนต่อหน้าผู้คนนับร้อยในคณะรัฐบาล โดยในสปีชสั้นๆ พระองค์ได้พระราชทานคำมั่นว่าจะทรงงานให้หนักเทียบเท่ากับพระราชบิดา เพื่อความสุขของประชาชนของพระองค์
ถึงแม้จะทรงถูกสอนมาไม่ให้กรรแสงในที่สาธารณะ แต่เมื่อพระองค์ตรัสสปีชจบลง พระเนตรของพระองค์ก็เอ่อนองไปด้วยน้ำพระเนตร
ในเวลานี้ เจ้าหญิงเอลิซาเบธไม่ใช่เจ้าหญิงอีกต่อไป พระองค์คือ "สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร (Elizabeth II)" แต่ถึงอย่างนั้น พระองค์ก็ต้องเข้าพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ซึ่งก็ต้องรอไปอีก 16 เดือน ซึ่งสาเหตุที่เป็นเช่นนั้น ก็เพื่อให้ผ่านช่วงเวลาแห่งความโศกเศร้าและให้ทุกคนได้ถวายอาลัยพระเจ้าจอร์จที่ 6 ซะก่อน
งานพระราชพิธีพระบรมศพพระเจ้าจอร์จที่ 6 นั้นจัดขึ้นเป็นเวลาเพียงไม่กี่วัน โดยมีประชาชนเข้าถวายความเคารพกว่า 300,000 คน ก่อนที่โลงพระบรมศพจะถูกลำเลียงไปยังพระราชวังวินด์เซอร์และทำการฝัง
เมื่อพระราชพิธีพระบรมศพได้จบลง พระราชินีเอลิซาเบธต้องเริ่มทรงงานในฐานะพระประมุของค์ใหม่ ซึ่งพระองค์ก็ทรงมั่นพระทัยว่าจะทำหน้าที่ได้อย่างดี
ในทุกๆ วันยกเว้นวันคริสต์มาสและวันอีสเตอร์ พระราชินีเอลิซาเบธต้องทอดพระเนตรเอกสารสำคัญที่จะถูกส่งมาถวาย โดยเอกสารจะบรรจุอยู่ในกล่องหนังสีแดง และบอกรายละเอียดว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างในสภา
1
งานพระบรมศพสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6
ในทุกสัปดาห์ พระองค์ต้องทรงพบกับนายกรัฐมนตรีเป็นเวลาครึ่งชั่วโมง ซึ่งพระราชินีเอลิซาเบธก็ไม่สามารถออกคำสั่งอะไรแก่รัฐบาลได้ พระองค์ทำได้เพียงพระราชทานคำแนะนำแก่รัฐบาล หากแต่ก็ต้องไม่เป็นการดูบังคับมากจนเกินไป
1
นายกรัฐมนตรีคนแรกในรัชสมัยของพระราชินีเอลิซาเบธก็คือ "วินสตัน เชอร์ชิลล์ (Winston Churchill)"
เชอร์ชิลล์เป็นผู้นำสหราชอาณาจักรที่มีชื่อเสียงโด่งดัง เขาอายุมากกว่าพระราชินีเอลิซาเบธมากกว่า 50 ปี และได้นำพาประเทศผ่านสงครามโลกครั้งที่ 2 และได้รับชัยชนะ
ตลอดรัชสมัยของพระราชินีเอลิซาเบธ มีนายกรัฐมนตรีกว่า 14 คน แต่เชอร์ชิลล์คือนายกรัฐมนตรีที่พระองค์ทรงโปรดมากที่สุด
วินสตัน เชอร์ชิลล์ (Winston Churchill)
สำหรับชีวิตประจำวันในพระราชวังบักกิ้งแฮมนั้น พระราชินีเอลิซาเบธทรงตื่นบรรทมในเวลา 9:00 น. และเมื่อตื่นบรรทม พระกระยาหารเช้าก็จะถูกนำมาถวายถึงห้องบรรทม
ในพระราชวังบักกิ้งแฮมมีคนทำงานมากมาย ทั้งแม่บ้าน ต้นห้อง เลขา และเหล่าคนรับใช้
ขณะประทับอยู่ในลอนดอน พระราชินีเอลิซาเบธมักจะทรงพบกับเจ้าชายชาร์ลส์และเจ้าหญิงแอนน์ในเวลาเช้า ก่อนที่ในช่วงบ่าย เจ้าชายและเจ้าหญิงจะเสด็จมาเข้าเฝ้าพระองค์ในเวลาน้ำชา
หลังเวลาน้ำชา บางครั้งพระราชินีเอลิซาเบธก็จะทรงทำหน้าที่พระราชมารดา พาเจ้าชายชาร์ลส์และเจ้าหญิงแอนน์เข้าบรรทม
พระราชินีเอลิซาเบธทรงมีพระทัยดี หากแต่พระองค์ก็โตมาด้วยชุดความเชื่อที่ว่าหน้าที่ในฐานะราชินีมาก่อนสิ่งอื่นใด แม้แต่หน้าที่ของ “แม่”
พระราชินีเอลิซาเบธและพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3
งานพระราชพิธีบรมราชาภิเษกของพระราชินีเอลิซาเบธจะจัดในวันที่ 2 มิถุนายน ค.ศ.1953 (พ.ศ.2496) โดยก่อนหน้าวันพิธี พระราชินีเอลิซาเบธต้องทรงฝึกซ้อมอย่างหนัก ก่อนที่พระราชพิธีจะมาถึงและผ่านพ้นไปได้ด้วยดี
1
หลังจากผ่านพระราชพิธีบรมราชาภิเษกไปได้เพียงไม่กี่เดือน พระองค์และเจ้าชายฟิลิปก็ต้องเสด็จออกจากอังกฤษเพื่อไปเยี่ยมเยือนประเทศต่างๆ ในเครือจักรภพ และพระองค์จะไม่ได้ประทับอยู่ที่อังกฤษนานถึงหกเดือน
ในการเสด็จเยือนประเทศต่างๆ พระราชินีเอลิซาเบธทรงได้รับการถวายการต้อนรับอย่างดี และที่ลิเบีย พระองค์ก็ทรงได้รับการถวายเรือลำใหม่ที่พระองค์และเจ้าชายฟิลิปทรงออกแบบเอง นั่นคือ “บริทานเนีย (Britannia)”
บริทานเนีย (Britannia)
เรือบริทานเนียเป็นเรือที่หรูหรา มีห้องหับต่างๆ มากมาย และถูกตกแต่งให้สมพระเกียรติ
1
ทางด้านเจ้าชายชาร์ลส์และเจ้าหญิงแอนน์ซึ่งประทับอยู่ที่อังกฤษ ต่างก็ทรงเหงาและว้าเหว่ ต้องใช้ชีวิตเพียงลำพังกับเหล่าพระพี่เลี้ยงและพระอัยยิกาในวันคริสต์มาส
1
แต่จากนั้น เจ้าชายชาร์ลส์และเจ้าหญิงแอนน์ก็ได้ถูกนำเสด็จไปยังเรือบริทานเนียเพื่อเข้าเฝ้าพระราชบิดาและพระราชมารดา
ทั้งสองพระองค์ไม่ได้พบพระราชบิดาและพระราชมารดามาเป็นเวลานานหลายเดือน หากแต่เมื่อพระราชินีเอลิซาเบธเสด็จขึ้นมาบนเรือ และเจ้าชายชาร์ลส์ทรงรอที่จะสัมผัสพระหัตถ์พระราชมารดา พระราชินีเอลิซาเบธกลับตรัสว่า
“ไม่ ยังไม่ใช่ลูกนะ” และทรงหันไปทักทายกับแขกคนอื่นๆ ก่อน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าพระองค์ทรงสนพระทัยในเรื่องของหน้าที่เป็นอันดับแรก ครอบครัวมาทีหลัง
พระราชินีเอลิซาเบธและพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3
และไม่เพียงแค่ชีวิตครอบครัวเท่านั้น หากแต่พระขนิษฐาของพระองค์ ก็คือเจ้าหญิงมาร์กาเรต ได้มีพระประสงค์จะเสกสมรสกับชายที่ชื่อ “ปีเตอร์ ทาวน์เซนด์ (Peter Townsend)”
แต่ปัญหาก็คือทาวน์เซนด์นั้นเป็นพ่อม่าย เคยผ่านการหย่าร้างมาก่อน และตามกฎ เจ้าหญิงมาร์กาเรตจะเสกสมรสไม่ได้หากไม่ได้รับพระบรมราชานุญาตจากพระราชินี
พระราชินีเอลิซาเบธไม่ทรงเห็นด้วยที่พระขนิษฐาจะเสกสมรสกับชายที่ผ่านการหน่าร้างมาก่อน เนื่องจากพระองค์ไม่ทรงชื่นชอบหรือเห็นด้วยกับการหย่าร้าง หากแต่ก็ไม่อยากจะขัดพระขนิษฐา
ในทีแรก พระองค์ก็ยังไม่ได้พระราชทานคำตอบ แต่ในท้ายที่สุด พระองค์ก็ทรงมีรับสั่งว่าเจ้าหญิงมาร์กาเรตจะเสกสมรสกับทาวน์เซนด์ก็ได้ แต่จะต้องสละสิทธิในการขึ้นเป็นราชินี อีกทั้งต้องสละเงินที่ราชวงศ์ได้รับจากรัฐบาล
ปีเตอร์ ทาวน์เซนด์ (Peter Townsend)
ท้ายที่สุด เจ้าหญิงมาร์กาเรตก็ทรงยอม ไม่เสกสมรสกับทาวน์เซนด์
ในช่วงเวลานับสิบปีหลังจากนั้น โลกกำลังอยู่ในช่วงสงครามเย็น (Cold War) ซึ่งในช่วงเวลานี้ พระราชินีเอลิซาเบธก็ได้ให้การต้อนรับผู้นำประเทศทั้งฝ่ายสหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียต ก่อนที่ในปีค.ศ.1965 (พ.ศ.2508) พระองค์จะเสด็จเยือนประเทศต่างๆ ในเครือจักรภพอีกครั้ง
ทางด้านเจ้าชายชาร์ลส์ ขณะมีพระชนมายุได้แปดพรรษา พระราชินีเอลิซาเบธและเจ้าชายฟิลิปก็ได้ส่งเจ้าชายชาร์ลส์ไปทรงศึกษาในโรงเรียนประจำห่างไกล โดยโรงเรียนที่เจ้าชายฟิลิปทรงเลือก ก็คือ “Cheam School”
เจ้าชายฟิลิปทรงคาดหวังว่าที่โรงเรียนประจำนี้ จะทำให้พระราชโอรสที่มีพระอุปนิสัยขี้อาย อ่อนไหว ดูอ่อนแอในสายพระเนตรของพระองค์ ได้เติบโตขึ้นเป็นชายหนุ่มที่แข็งแกร่งและมั่นใจ
พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 ขณะเป็นนักเรียนที่ Cheam
หากแต่เจ้าชายชาร์ลส์นั้นทรงต่างกับเจ้าชายฟิลิปอย่างสิ้นเชิง
เจ้าชายฟิลิปนั้นทรงชื่นชอบการเข้าสังคม พบปะกับผู้คนจำนวนมาก และทรงโปรดการกีฬา ในขณะที่เจ้าชายชาร์ลส์ไม่ทรงมีพระปรีชาทางด้านการกีฬาเท่าไรนัก อีกทั้งยังเข้ากับเด็กคนอื่นๆ ไม่ได้
เจ้าชายชาร์ลส์ทรงเกลียด Cheam และในบางคืน พระองค์ก็จะกรรแสงจนบรรทมหลับ
1
นอกจากนั้น พระองค์ยังไม่ได้รับการปฏิบัติเป็นพิเศษ ถึงแม้จะเป็นเจ้าชาย แต่พระองค์ก็คือนักเรียนคนหนึ่ง หากพระองค์ทรงทำผิดกฎ พระองค์ก็จะถูกพระอาจารย์ตีเช่นเดียวกับเด็กคนอื่น
1
พระราชินีเอลิซาเลธก็ทรงทราบดีว่าเจ้าชายชาร์ลส์ทรงทุกข์ ไม่ได้ทรงโปรดโรงเรียนประจำแห่งนี้เท่าไรนัก หากแต่พระองค์ก็ทรงปล่อยให้เจ้าชายฟิลิปเป็นผู้จัดการเรื่องในบ้านทุกอย่าง
ที่ผ่านมา เจ้าชายฟิลิปก็เป็นรองพระราชินีเอลิซาเบธในทุกด้านอยู่แล้ว เวลาเสด็จไปที่ใดก็ไม่สามารถพระดำเนินนำหน้าพระราชินีเอลิซาเบธได้ เอกสารลับต่างๆ ที่รัฐบาลส่งมาถวายพระราชินีเอลิซาเบธ เจ้าชายฟิลิปก็ไม่ได้รับอนุญาตให้ทอดพระเนตร
ดังนั้น พระราชินีเอลิซาเบธจึงมอบหมายเรื่องในบ้านให้เจ้าชายฟิลิปเป็นผู้จัดการ และพระองค์ก็ไม่อยากจะทรงขัด
ต่อมาเมื่อเจ้าชายชาร์ลส์มีพระชนมายุ 13 พรรษา เจ้าชายฟิลิปก็ทรงส่งเจ้าชายชาร์ลส์ไปทรงศึกษาในโรงเรียนประจำอีกแห่งที่เข้มงวดยิ่งกว่า Cheam ซะอีก นั่นคือโรงเรียน “Gordonstoun School” ที่สก็อตแลนด์
พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 ขณะเป็นนักเรียนที่ Gordonstoun
เจ้าชายชาร์ลส์ทรงเกลียดโรงเรียนแห่งใหม่นี้ยิ่งกว่าที่ Cheam ซะอีก โดยที่โรงเรียนแห่งใหม่ พระองค์มักจะถูกเด็กคนอื่นรังแกอยู่เสมอ ทำให้เจ้าชายชาร์ลส์ทูลขอพระราชบิดาและพระราชมารดาให้พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้พระองค์เสด็จกลับบ้าน
1
แต่เจ้าชายฟิลิปก็ไม่ทรงอนุญาต ซึ่งภายหลัง เจ้าชายชาร์ลส์ได้ตรัสถึงชีวิตที่ Gordonstoun ว่าเป็นเหมือน “ติดคุกนานห้าปี”
1
ในเวลาต่อมา พระราชินีเอลิซาเบธทรงมอบหมายพระราชกิจบางส่วนให้เจ้าชายชาร์ลส์ ทรงให้เจ้าชายชาร์ลส์เสด็จแทนพระองค์ในงานพระราชพิธีบางส่วน แต่ต่อให้มอบหมายงานให้เจ้าชายชาร์ลส์ แต่ตารางพระราชกิจของพระองค์ก็เต็มแน่นจนแทบไม่มีเวลาทำอะไรอย่างอื่นแล้ว
พระองค์ต้องเสด็จเยี่ยมประเทศต่างๆ และจัดเลี้ยงรับรองพระราชอาคันตุกะในทุกๆ ปี และพระองค์ยังต้องทรงเลี้ยงรับรองบุคคลต่างๆ ที่สร้างคุณูปการแก่ประเทศชาติในทุกๆ ฤดูร้อนที่พระราชวังบักกิ้งแฮม
ในงานเลี้ยงนั้น ผู้ที่พระราชินีเอลิซาเบธทรงเชิญมีมากกว่า 8,000 คน โดยมีทั้งอาจารย์ นักดับเพลิง ทหาร อาสาสมัครต่างๆ โดยในงานนั้น มีการเตรียมแซนด์วิชกว่า 20,000 ชิ้น เค้กอีก 20,000 ชิ้น โดยเหตุผลที่จัดงานเลี้ยงนี้ ก็เพื่อเป็นการขอบคุณเหล่าผู้ที่ทำคุณประโยชน์แก่ประเทศ
นอกจากนั้น ยังมีพระราชพิธีอีกหลายอย่างที่พระองค์ต้องทรงเป็นองค์ประธาน และตลอดเวลาที่ผ่านมา พระองค์ก็ทรงปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัย โดยในแต่ละปี พระองค์มักจะเชิญบุคคลที่มีความสามารถและฉลาดเฉลียวในด้านต่างๆ ในอังกฤษมายังพระราชวังวินด์เซอร์
บุคคลเหล่านั้นมีทั้งนักเขียน ศาสตราจารย์ จิตรกร โดยบุคคลเหล่านี้จะได้รับการดูแลอย่างดี มีคนรับใช้คอยดูแล ห้องหับก็หรูหรา กินอยู่อย่างดี ซึ่งการเชิญบุคคลเหล่านี้มา ก็เนื่องจากพระราชินีเอลิซาเบธมีพระราชประสงค์จะแลกเปลี่ยนทัศนะ ความคิดเห็นต่างๆ กับคนรุ่นใหม่ และปรับตัวให้เข้ากับโลกที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆ
1
พระองค์ทรงทราบดีว่าหากต้องการให้ราชวงศ์อยู่รอด ทุกคน แม้แต่พระองค์ซึ่งเป็นพระราชินี ก็จำเป็นต้องปรับตัวเข้ากับยุคสมัยให้ได้
1
เมื่อถึงยุค 70 (พ.ศ.2513-2522) ผู้คนเริ่มเบื่อหน่ายราชวงศ์
ในช่วงเวลานั้น เศรษฐกิจกำลังถดถอย ผู้คนในอังกฤษเกือบครึ่งหนึ่งมีฐานะเข้าขั้นยากจน มีชีวิตอย่างยากลำบาก
ผู้คนเริ่มสงสัยว่าทำไมต้องจ่ายเงินให้ราชวงศ์ ซึ่งเป็นคนกลุ่มเล็กๆ กลุ่มเดียว ให้มีชีวิตที่หรูหรา ในขณะที่คนจำนวนมากมีชีวิตที่ยากลำบาก
ในช่วงเวลานี้ กระแสความนิยมในองค์ราชินีนั้นไม่ดีเท่าไรนัก หากแต่ผู้ที่ดูจะโด่งดังและเป็นที่กล่าวถึงมากในช่วงเวลานี้ ก็คือเจ้าชายชาร์ลส์
ในปีค.ศ.1970 (พ.ศ.2513) เจ้าชายชาร์ลส์ทรงอยู่ในวัยหนุ่ม พระองค์คือเจ้าชายที่เสน่ห์แรง และเป็นว่าที่กษัตริย์แห่งอังกฤษในอนาคต
พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 ในวัยหนุ่ม
"พระองค์จะเสกสมรสกับใคร?" นั่นคือคำถามที่หลายคนสงสัย
หากแต่เจ้าชายชาร์ลส์ก็ไม่ได้มีพระประสงค์จะเสกสมรสโดยไว ดังนั้นเมื่อพระองค์ทรงพบกับ "คามิลลา แชนด์ (Camilla Shand)" ในปีค.ศ.1970 (พ.ศ.2513) และทรงตกหลุมรักคามิลลา พระองค์จึงยังทรงรีรอ ไม่ได้ขอคามิลลาแต่งงาน
ต่อมาในปีค.ศ.1971 (พ.ศ.2514) เจ้าชายชาร์ลส์ทรงเข้าร่วมกับกองทัพเรือ และในระหว่างอยู่ในกองทัพเรือนี้เอง คามิลลาก็ได้แต่งงานกับคนอื่น ทำให้เจ้าชายชาร์ลส์ทรงพลาดโอกาสครั้งสำคัญ
คามิลลา แชนด์ (Camilla Shand)
ในยุค 70 (พ.ศ.2513-2522) มีความเปลี่ยนแปลงหลายอย่างเกิดขึ้นในอังกฤษ หนึ่งในนั้นคือการมีนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรก นั่นคือ "มาร์กาเรต แทชเชอร์ (Margaret Thatcher)" ซึ่งได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรีในปีค.ศ.1979 (พ.ศ.2522)
แทชเชอร์นั้นมีอายุพอๆ กับพระราชินีเอลิซาเบธ ซึ่งทำให้พระองค์ทรงตื่นเต้นยินดีที่สตรีได้มีโอกาสขึ้นสู่ตำแหน่งบริหารสำคัญ และในครั้งหนึ่ง พระองค์ได้ตรัสถามเทรนเนอร์ที่ดูแลม้าของพระองค์ ว่าคิดยังไงที่สตรีขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี
เทรนเนอร์ได้ทูลตอบว่า
"ข้าพระพุทธเจ้าไม่แน่ใจนักว่าจะทนได้หรือไม่ที่เห็นผู้หญิงมาบริหารประเทศ"
ถึงแม้ว่าคำตอบนี้ออกจะเป็นการดูหมิ่นดูแคลนสตรี และพระองค์เองก็เป็นสตรี หากแต่พระราชินีเอลิซาเบธก็ไม่ทรงว่าอะไร เพียงแต่ทรงพระสรวลเท่านั้น
มาร์กาเรต แทชเชอร์ (Margaret Thatcher)
ในยุค 70 นี้เอง ยังเกิดเหตุวางระเบิดในลอนดอน ทำให้มีผู้เสียชีวิต อีกทั้งรัฐสภาและหอคอยแห่งลอนดอนก็ถูกโจมตี ถือเป็นเหตุโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่
อาจจะเรียกได้ว่ายุค 70 (พ.ศ.2513-2522) เป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากสำหรับพระราชินีเอลิซาเบธ
เมื่อถึงปีค.ศ.1979 (พ.ศ.2522) เจ้าชายชาร์ลส์ทรงมีพระชนมายุเกิน 30 พรรษาแล้ว และพระราชินีเอลิซาเบธก็คิดว่าถึงเวลาที่เจ้าชายชาร์ลส์ต้องเลิกชีวิตหนุ่มโสด และเสกสมรสได้แล้ว
"เลดี้ไดอาน่า สเปนเซอร์ (Lady Diana Spencer)" คือหญิงสาวที่เจ้าชายชาร์ลส์ทรงรู้จักมานานหลายปี และดูจะเป็นคู่ที่เหมาะกับเจ้าชายชาร์ลส์
เลดี้ไดอาน่า สเปนเซอร์ (Lady Diana Spencer)
ไดอาน่านั้นสวย มาจากครอบครัวที่ร่ำรวยทั้งเงินทอง ที่ดิน และยศฐาบรรดาศักดิ์ เรียกได้ว่าเพอร์เฟคท์ และที่สำคัญ ไดอาน่านั้นหลงรักเจ้าชายชาร์ลส์
แต่ปัญหาก็คือเจ้าชายชาร์ลส์ไม่ได้ทรงรักไดอาน่า พระองค์ยังทรงรักคามิลลา ถึงแม้ว่าคามิลลาจะแต่งงานแล้ว แต่พระองค์ก็ยังเป็นเพื่อนที่ดีของคามิลลา ทำให้เจ้าชายชาร์ลส์ทรงลำบากพระทัย ไม่รู้จะตัดสินพระทัยอย่างไรดี
ในที่สุด เจ้าชายฟิลิปได้ทรงยื่นคำขาด พระองค์ได้มีรับสั่งให้เจ้าชายชาร์ลส์ทรงเลือก เลือกว่าจะเสกสมรสกับไดอาน่า หรือจะยุติความสัมพันธ์กับไดอาน่า
ท้ายที่สุด ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ.1981 (พ.ศ.2524) เจ้าชายชาร์ลส์ทรงขอไดอาน่าแต่งงาน ทำให้ไดอาน่าโด่งดังไปทั่วโลกในชั่วข้ามคืน
งานเสกสมรสระหว่างเจ้าชายชาร์ลส์กับไดอาน่าถูกจัดขึ้นในวันที่ 29 กรกฎาคม ค.ศ.1981 (พ.ศ.2524) และพิธีเสกสมรสนี้ก็ถูกถ่ายทอดทางโทรทัศน์ไปทั่วโลก มีผู้รับชมกว่า 750 ล้านคน
พิธีอภิเษกสมรสพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 และไดอาน่า
แต่หลังจากได้เสกสมรสกับเจ้าชายชาร์ลส์ ถามว่าไดอาน่า ซึ่งในเวลานี้เป็นเจ้าหญิงแล้ว มีความสุขหรือไม่? ก็ไม่
พระองค์ทรงแน่ใจว่าเจ้าชายชาร์ลส์ยังทรงรักกับคามิลลา
แต่ถึงอย่างนั้น เจ้าหญิงไดอานาก็ให้ประสูติกาลพระราชโอรส นั่นคือ "เจ้าชายวิลเลียม เจ้าชายแห่งเวลส์ (William, Prince of Wales)" ในปีค.ศ.1982 (พ.ศ.2525) ตามมาด้วย "เจ้าชายแฮร์รี ดยุกแห่งซัสเซกซ์ (Prince Harry, Duke of Sussex)" ในปีค.ศ.1984 (พ.ศ.2527)
ในปีค.ศ.1986 (พ.ศ.2529) "เจ้าชายแอนดรูว์ ดยุกแห่งยอร์ก (Prince Andrew, Duke of York)" พระราชโอรสองค์รองในพระราชินีเอลิซาเบธ ก็ได้เสกสมรสกับ "ซาราห์ เฟอร์กูสัน (Sarah Ferguson)" สร้างความสนใจให้สื่อมวลชนอย่างมาก
เจ้าชายแอนดรูว์ ดยุกแห่งยอร์ก (Prince Andrew, Duke of York)
แต่เมื่อเวลาผ่านไป ช่วงเวลาที่หวานชื่นก็จบลง
ที่ผ่านมา พระราชินีเอลิซาเบธทรงคิดว่า การที่พระปิตุลาของพระองค์สละราชสมบัติเพื่อแต่งงานกับหญิงม่ายชาวอเมริกันที่ผ่านการหย่าร้างมาแล้ว คือการทำให้ราชวงศ์เสื่อมเสีย และนี่คือสิ่งที่ฝังอยู่ในพระทัยของพระองค์
ดังนั้นเมื่อชีวิตคู่ของเหล่าพระราชบุตรของพระองค์กำลังจะจบลงด้วยการหย่าร้าง พระองค์จึงทรงหนักพระทัยและไม่ชอบพระทัยนัก
ในปีค.ศ.1992 (พ.ศ.2535) หนังสือพิมพ์อังกฤษได้ตีพิมพ์ข่าวเจ้าชายชาร์ลส์และเจ้าหญิงไดอาน่า และทำให้ทราบว่าเจ้าชายชาร์ลส์ทรงมีสัมพันธ์กับคามิลลาทั้งๆ ที่พระองค์มีเจ้าหญิงไดอาน่าอยู่แล้ว
นอกจากนั้น ชีวิตคู่ของเจ้าหญิงแอนน์ก็ได้จบลง โดยเจ้าหญิงแอนน์ได้ทรงหย่าร้างในปีค.ศ.1992 (พ.ศ.2535) ส่วนเจ้าชายแอนดรูว์ก็ทรงแยกทางกับเฟอร์กูสันในปีค.ศ.1996 (พ.ศ.2539)
1
แต่ช่วงเวลาที่แย่มากสำหรับพระราชินีเอลิซาเบธนั้นเกิดขึ้นในวันที่ 20 พฤศจิกายน ค.ศ.1992 (พ.ศ.2535) เมื่อเกิดเพลิงไหม้ขึ้นในพระราชวังวินด์เซอร์ กว่าจะดับไฟได้ ความเสียหายก็มากมายมหาศาล
เหตุเพลิงไหม้พระราชวังวินด์เซอร์
พระราชินีเอลิซาเบธประทับยืนกลางสายฝน ทอดพระเนตรพระราชวังวินด์เซอร์ที่ถูกกองไฟทำลาย
1
พระราชวังวินด์เซอร์ เป็นที่เก็บงานศิลปะล้ำค่ามากมายซึ่งไม่สามารถประเมินค่าได้ และยังเป็นสถานที่ที่พระองค์เรียกว่า "บ้าน" ทำให้พระองค์ทรงสะเทือนพระทัยในเหตุการณ์นี้มากที่สุด
สี่วันต่อมา พระองค์ได้พระราชทานสปีช กล่าวว่าปีนี้ (ค.ศ.19921) คือ "annus horribilis" ซึ่งเป็นภาษาละติน แปลว่า "ปีที่เลวร้าย"
พระราชินีเอลิซาเบธขณะทอดพระเนตรความเสียหายในพระราชวังวินด์เซอร์
ปีที่เหลือของยุค 90 (พ.ศ.2533-2542) ก็ไม่ใช่ช่วงเวลาที่ดีนัก โดยในปีค.ศ.1996 (พ.ศ.2539) พระราชินีเอลิซาเบธได้พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้เจ้าชายชาร์ลส์ทรงหย่าจากเจ้าหญิงไดอาน่า ก่อนที่ในปีต่อมา วันที่ 31 สิงหาคม ค.ศ.1997 (พ.ศ.2540) เจ้าหญิงไดอาน่าก็ได้สิ้นพระชนม์จากอุบัติเหตุทางรถยนต์ในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส
1
ทั่วโลกต่างเศร้าสะเทือนใจในการจากไปของเจ้าหญิงไดอาน่า ถึงแม้ว่าเจ้าหญิงไดอาน่าจะทรงหย่าขาดจากเจ้าชายชาร์ลส์แล้ว แต่ผู้คนจำนวนมากก็ยังรักพระองค์
ที่ผ่านมานั้น เจ้าหญิงไดอาน่าได้กลายเป็น "เจ้าหญิงของปวงชน (People's Princess)" อันเนื่องมาจากพระกรณียกิจของพระองค์ที่ทรงทุ่มเทให้ประชาชนจำนวนมาก ทำให้พระองค์ทรงได้รับความนิยมมาก
1
เจ้าหญิงไดอาน่าขณะเสด็จเยี่ยมผู้ป่วยโรคเอดส์
เจ้าหญิงไดอาน่าทรงเป็นบุคคลแรกๆ ที่กล้าจับมือผู้ป่วยโรคเอดส์ และยังทรงช่วยเหลือคนไร้บ้านและคนติดยาอีกจำนวนมากให้มีชีวิตที่ดีขึ้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่เคยมีพระราชวงศ์องค์ใดเคยทำมาก่อน ทำให้เจ้าหญิงไดอาน่าเป็นที่รักของคนหมู่มาก
1
ดังนั้นเมื่อเจ้าหญิงไดอาน่าสิ้นพระชนม์ ผู้คนจำนวนมากจึงถวายอาลัย ผู้คนนับพันได้มายังพระราชวังบักกิ้งแฮม และวางดอกไม้ จดหมาย และสิ่งของต่างๆ จำนวนมากเพื่อถวายอาลัยเจ้าหญิงไดอาน่า
แต่ที่สำคัญ ชาวอังกฤษต่างเฝ้ารอว่าพระราชินีของตนจะออกมาแสดงความเสียพระทัยเมื่อใด ซึ่งในทีแรก ราชสำนักก็ยังไม่ได้แสดงท่าทีอะไร เพียงแต่กล่าวเสียใจไม่กี่ประโยค
1
เมื่อเวลาผ่านไป พระราชินีเอลิซาเบธก็ยังทรงเงียบ ทำให้ผู้คนเริ่มไม่พอใจ โดยหนังสือพิมพ์อังกฤษได้พาดหัวข่าวว่า
กองดอกไม้ที่ผู้คนนำมาถวายอาลัยเจ้าหญิงไดอาน่า
"แสดงให้ดูหน่อยสิว่าท่านสนใจจริงๆ (Show Us You Care)"
1
หนังสือพิมพ์อีกฉบับก็เขียนว่า
"พระราชินีของเราไปอยู่ที่ไหน? (Where Is Our Queen?)"
ในที่สุด ห้าวันหลังการสิ้นพระชนม์ของเจ้าหญิงไดอาน่า พระราชินีเอลิซาเบธก็เสด็จกลับจากสก็อตแลนด์ เสด็จมาถึงลอนดอน และได้พระราชทานสปีชออกโทรทัศน์
จากนั้น พระองค์ก็เสด็จพระราชดำเนินไปตามทางในพระราชวังบักกิ้งแฮม และทำให้ประชาชนเห็นว่าพระองค์มาถึงแล้ว
งานพระศพของเจ้าหญิงไดอาน่าเป็นงานพิธีที่สำคัญที่สุดครั้งหนึ่งในอังกฤษ สร้างความสะเทือนใจแก่ผู้คนทั่วโลก
1
ในช่วงพระชนม์ชีพของพระราชินีเอลิซาเบธ พระองค์ทรงผ่านเหตุการณ์ต่างๆ มากมาย ทั้งสงคราม โรคระบาด การก่อการร้าย
พระองค์ทรงตระหนักดีว่าโลกนั้นเปลี่ยนแปลงไป และพระองค์ก็จำเป็นต้องปรับตัว พระองค์จะยึดกับแนวคิดเดิมๆ ไม่ได้ ทางที่ดีคือพระองค์ต้องทรงเปิดรับสิ่งใหม่ๆ
เมื่อคอมพิวเตอร์ได้เริ่มออกสู่ตลาด พระองค์ทรงเป็นพระราชวงศ์องค์แรกในอังกฤษที่ทรงใช้คอมพิวเตอร์ และเมื่อมีพระชนมายุได้ 79 พรรษา พระองค์ก็ทรงมีไอพอดเป็นขององค์เอง อีกทั้งพระองค์ยังมีบัญชีอินสตาแกรมส่วนพระองค์อีกด้วย ซึ่งอินสตาแกรมของพระองค์ ก็มีผู้ติดตามเป็นจำนวนมาก
1
และในศตวรรษที่ 21 พระราชวงศ์ก็ได้ทรงต้อนรับสมาชิกใหม่ นั่นคือในปีค.ศ.2005 (พ.ศ.2548) เจ้าชายชาร์ลส์ทรงเสกสมรสกับคามิลลา และในปีค.ศ.2011 (พ.ศ.2554) เจ้าชายวิลเลียมก็ได้เสกสมรสกับ "เคท มิดเดิลตัน (Kate Middleton)" พระสหายคนสนิทในช่วงที่พระองค์ทรงศึกษาระดับมหาวิทยาลัย
เจ้าชายวิลเลียมและเคท มิดเดิลตัน
เจ้าชายวิลเลียมได้มีพระโอรสสองพระองค์ พระธิดาหนึ่งพระองค์
และในปีค.ศ.2018 (พ.ศ.2561) เจ้าชายแฮร์รีได้ทรงเสกสมรสกับ "เมแกน มาร์เคิล (Meghan Markle)" นักแสดงชาวอเมริกันซึ่งผ่านการหย่าร้างมาก่อน ไม่ต่างจากคราวพระปิตุลาของพระราชินีเอลิซาเบธ
แต่ด้วยความที่โลกนั้นเปลี่ยนไปแล้ว พระราชินีเอลิซาเบธจึงทรงต้อนรับเมแกนเข้าสู่ราชวงศ์ หากแต่ชีวิตคู่ของเจ้าชายแฮร์รีและเมแกนก็เป็นชีวิตที่ยากลำบาก
หนังสือพิมพ์หลายฉบับได้ตีพิมพ์ข่าวเสียๆ หายๆ ของเมแกน อีกทั้งก็ไม่ใช่พระราชวงศ์ทุกพระองค์จะทรงต้อนรับเมแกน ทำให้ในปีค.ศ.2020 (พ.ศ.2563) เจ้าชายแฮร์รีและเมแกนได้ตัดสินใจออกจากราชวงศ์ และย้ายไปสหรัฐอเมริกา
เจ้าชายแฮร์รีและเมแกน มาร์เคิล (Meghan Markle)
ค.ศ.2021 (พ.ศ.2564) เจ้าชายฟิลิปสิ้นพระชนม์ด้วยวัย 99 พรรษา และงานพระศพของเจ้าชายฟิลิปก็เป็นงานเล็กๆ มีผู้เข้าร่วมงานเพียงไม่กี่คน เหตุผลก็เพราะการระบาดของโควิด-19
ในงานพระศพของเจ้าชายฟิลิป พระราชินีเอลิซาเบธทรงฉลองพระองค์สีดำทั้งชุด ประทับนั่งเพียงลำพัง ความโศกเศร้าปรากฎอย่างเด่นชัดแก่ผู้พบเห็น
พระราชินีเอลิซาเบธในงานพระศพเจ้าชายฟิลิป
ที่ผ่านมา พระองค์ทรงครองคู่กับเจ้าชายฟิลิปมาตลอด ผ่านทุกข์และสุขกันมาทั้งสองพระองค์
8 กันยายน ค.ศ.2022 (พ.ศ.2565) พระราชินีเอลิซาเบธสวรรคตด้วยพระชนมายุ 96 พรรษา
งานพระบรมศพพระราชินีเอลิซาเบธ
ที่ผ่านมา พระองค์ทรงปฏฺิบัติหน้าที่อย่างสง่างามและสมพระเกียรติ และการจากไปของพระองค์ ก็เป็นข่าวใหญ่ที่โด่งดังและเป็นการสูญเสียครั้งสำคัญของชาวอังกฤษ
โฆษณา