10 ต.ค. 2022 เวลา 10:47 • ท่องเที่ยว
รีวิว การขอวีซ่า Transit ลง Abu Dhabi
บทความนี้ตั้งใจมาเขียนเพราะพบว่าหาข้อมูลได้น้อยมาก หวังว่าจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่เที่ยวโดยวางแผนเองทุกขั้นตอน และเพื่อที่จะได้ไม่มีใครหลงพลาดเสียเงินเยอะเท่าเราอีก
อันดับแรกบอกก่อนว่า จุดมุ่งหมายหลักในการบินของเราคือไปที่ ‘จอร์เจีย’ ทว่าตอนที่หาตั๋วพบว่าตั๋วแพงกว่าที่คิด เลยพยายามหาหนทางที่ถูกที่สุด แล้วมาจบตรงทางเลือกว่าเราจะบินไปเปลี่ยนเครื่องที่มุมไบก่อน จากนั้นบินจากมุมไบไปลงอาบูดาบี สุดท้ายจากอาบูดาบีไปถึงทบิลิซี
ความจริงถ้าพิจารณาจากความเหนื่อยต่อเครื่อง ช่วงเวลาทรานซิทแล้ว หากตีเวลาเป็นเงินเป็นทอง การเลือกซื้อตั๋วบินตรงไปอิสตันบลูแล้วต่อเครื่องไปทบิลิซีที่นั่น อาจไม่ถือว่าแพงกว่ามากเท่าไร แต่พอดีเราคิดว่าไหนๆ แล้ว จะได้เที่ยวอาบูดาบีที่ไม่เคยเที่ยวด้วย ก็เลยตัดสินใจเลือกทางนี้ (และอันที่จริงถ้าวีซ่าอินเดียไม่ยุ่งยาก ก็คงจะแวะเหมือนกัน)
บวกกับที่ตอนแรกหาข้อมูลเข้าใจว่าถ้าแวะอาบูดาบีโดยไม่เกิน 48 hr ไม่เสียค่าวีซ่าด้วย มีแค่ค่าภาษีสนามบินเล็กน้อย จึงตัดสินใจกดปุ่มจองตั๋วตามนั้นเลย
แต่มันจะเป็นแบบนั้นต่อเมื่อคุณเลือกบินกับสายการบินหลักของเขาอย่าง Ethihad หรือ Emirate ถ้าเป็นสองสายการบินนี้ คุณสามารถยื่นเรื่องขอวีซ่าในตอนที่ซื้อตั๋วได้เลย
ถ้าคุณเลือกบินสายการบินอื่น ซึ่งในบทความนี้เรายกตัวอย่างได้แค่ Air Arabia เพราะเราบินกับที่นี่ ขั้นตอนจะเป็นดังนี้
ถ้าเกิดอยากให้ Air Arabia เป็นสปอนเซอร์ในการออกวีซ่าให้ (ซึ่งปกติถ้าเลือกทำวีซ่าทรานซิท จะต้องให้สายการบินที่บินออกวีซ่าให้เท่านั้น) เงื่อนไขอันดับแรกเลยคือ คุณจะต้องบินกับ Air Arabia ตั้งแต่มาถึงอาบูดาบี ที่เราต้องเน้นเป็นเพราะเราไม่ได้บินกับสายการบินนี้ในตอนที่ลงอาบูดาบี แต่เราจะบินกับเขาในตอนที่จะออกจากอาบูดาบีไปทบิลีซี ตอนแรกเราเข้าใจว่าไม่เป็นไร แต่สรุปเมื่อยื่นเรื่องจริงๆ ทางสายการบินปฏิเสธกลับมาว่าทำให้ไม่ได้ค่ะ
ตรงนี้ยอมรับว่าตอนที่เมลไปถามเรื่องทำวีซ่ากับสายการบิน ทางสายการบินบอกจริงๆ ว่าต้องมีตั๋วที่รวมสถานที่บินทั้งหมด 3 ที่ (พูดง่ายๆ คือต้องเป็นตั๋วจากไทย - อาบูดาบี - ทบิลิซี) แต่พอดีเราตีความผิด ไปรวมข้อมูลกับเว็บอื่นซึ่งบอกว่าแค่มีตั๋วจะไปปลายทางที่ 3 ก็พอ เราเลยคิดไปเองว่าทำได้ค่ะ
แต่ถึงสุดท้ายจะไม่ได้ให้ทางสายการบินทำให้ แต่เนื่องจากเคยสอบถามข้อมูล ดังนั้นจะเอามาแชร์นะคะว่าต้องเตรียมเอกสารอะไรบ้างสำหรับวีซ่าทรานซิท
1. Passport Copy
2. Photographs with white background (แค่ถ่ายรูปเองกับผนังขาวได้เลยค่ะ)
3. Air Arabia Ticket
4. Visa application form (อันนี้สามารถเมลไปขอกับสายการบินได้ค่ะ)
อีเมลติดต่อสายการบินเรื่องวีซ่าคือ visaassistance@airarabia.com
ในส่วนค่าใช้จ่าย วีซ่าทรานซิทจะมีสองแบบค่ะ แบบ 48 hr - 100 AED; 96 hr 250 AED
(ราคานี้ถามไปตอนเดือน 7/2022)
ทีนี้มาถึงวิธีขอวีซ่าของเราแล้วค่ะ ในส่วนประสบการณ์ต่อไปนี้มีส่วนของการเสียรู้ส่งผลให้เปลืองเงินเกินกว่าเหตุไปมากอยู่ด้วย หวังว่าคนอื่นๆ จะประหยัดเงินกันได้นะคะ
หลังจากยื่นเรื่องไปขอวีซ่ากับทางสายการบินแล้วถูกปฏิเสธ เราก็ลนทันทีค่ะ เพราะการเข้าอาบูดาบีไม่ได้ = แผนเที่ยวที่เหลือพินาศหมด
เราก็เลยหาเอเจนซี่ที่ยื่นวีซ่าอาบูดาบีผ่านทางกูเกิล ซึ่งในตอนที่หาเราไม่ค่อยพบตัวเลือกจริงๆ เพราะเราต้องการแค่วีซ่าทรานซิทด้วย เว็บส่วนใหญ่จะเป็นยื่นวีซ่าท่องเที่ยวทั้งนั้นค่ะ
สุดท้ายเราได้เลือกตัวเลือกแรกที่โฆษณาขึ้นมาในกูเกิลเลย ชื่อว่า ‘ins** D*bai’ ขอไม่พิมพ์ชื่อเต็มๆ นะคะ แต่ถ้าใครเสิร์จกูเกิลว่า abu dhabi transit visa จะขึ้นตัวเลือกแรกแน่นอน
ตอนแรกเราแค่อยากถามว่าถ้ามีแค่ตั๋วบินไปประเทศปลายทางที่สามจะทำวีซ่าได้ไหม แต่พอติดต่อในเว็บแล้วได้รับการตอบกลับไวมาก รวมถึงคอนเฟิร์มว่าขอได้แน่นอนไม่มีปัญหา รวมถึงเราก็หาเว็บอื่นไม่เจอแล้วจริงๆ ตอนนั้น ก็เลยตัดสินใจทำกับที่นี่ค่ะ
อันที่จริงสามารถส่งเอกสารผ่านเว็บได้ แต่พอดีเราแอด WhatsApp คุยกับพนักงาน ดังนั้นจะไม่สามารถรีวิวการยื่นเรื่องผ่านเว็บนะคะ
การยื่นขอวีซ่ากับเอเจนซี่นี้ เอกสารที่ต้องให้มีสำเนาพาสปอร์ต, รูปถ่ายพื้นหลังขาว และบอกช่วงเวลาที่ต้องการทรานซิท แค่นี้เท่านั้นค่ะ
พอส่งเอกสารให้หมด เขาก็จะส่งลิงค์มาให้จ่ายเงิน ค่าเสียหายที่เราโดนไปสำหรับวีซ่าทรานซิทคือ 540 AED ค่ะ
ใช่ค่ะมันแพงมาก ความคิดที่บินอ้อมเพื่อไปถึงทบิลีซีให้ถูกกว่าบินตรงมันไม่ถูกแล้วค่ะ แต่มาถึงขั้นนี้แล้ว ยังไงก็ได้แต่เดินหน้าต่อ
หลังจากส่งเอกสารไปแล้ว เรารอแค่ 2 วันก็ได้รับแจ้งว่าวีซ่าผ่านแล้วมาทางอีเมลค่ะ แต่ต้องส่งเอกสารอีกสองอย่างเพิ่มให้คือตั๋วเครื่องบินขากลับไทย และใบจองโรงแรม ทางเอเจนซี่ถึงจะปล่อยวีซ่ามาให้ค่ะ
เท่านี้ก็ได้รับวีซ่าแล้ว จบแล้วค่ะ
ทว่า ระหว่างรอวีซ่ามีพฤติกรรมบางอย่างของเขาที่ทำให้เราสงสัยว่าในตัวเอเจนซี่นี้ พอได้รับวีซ่ามาเราก็ลองเสิร์จรีวิวของเอเจนซี่ดู
และพบว่ารีวิวส่วนใหญ่เตือนภัยแสกมเมอร์ค่ะ
ปัญหาส่วนใหญ่จะเกิดกับคนที่ต้องการวีซ่าแบบกระชั้นชิด คือจ่ายเงินไปแล้วไม่ได้วีซ่า หรือโดนเรียกราคาที่สูงมากเพื่อเร่งวีซ่าให้ผ่าน (แถมสุดท้ายก็ไม่ได้ด้วย) อาจเพราะเรายื่นเรื่องล่วงหน้านานมาก (เดือนกว่า) เราเลยได้วีซ่าแบบไม่มีปัญหาค่ะ แต่พออ่านรีวิวเราก็เกิดไม่มั่นใจในความถูกต้องของวีซ่าขึ้นมา เลยไปหาวีธีเช็ควีซ่า UAE ด้วยค่ะ
สำหรับใครที่อยากรู้ว่าวีซ่า UAE เป็นของแท้ไหม เช็คได้จากเว็บนี้นะคะ
นี่คือเหตุผลที่เราเขียนบทความโดยไม่ลงชื่อเอเจนซี่นี้เต็มๆ ค่ะ เพราะไม่แนะนำให้ทุกคนใช้บริการ ทั้งราคาสูงเกินไป และอาจเสี่ยงไม่ได้วีซ่าด้วย อีกอย่างคือภายหลังเราเจอเว็บอื่นที่ทำวีซ่าทรานซิทเช่นกันและราคาถูกกว่ามาก (แต่ก่อนจะมาเขียนบทความ เราหาเว็บไม่เจอแล้ว เลยไม่ได้เอามาแปะให้นะคะ)
ส่วนพฤติกรรมที่ทำให้เราสะกิดใจกับความแปลกของเอเจนซี่นี้คือ เขาบอกว่าเราไม่ได้ซื้อประกันที่รวมโควิด จะไม่สามารถเข้าอาบูดาบีได้ ให้ซื้อกับเขาในราคา 75USD ซึ่งถ้าเรายอมจ่ายให้อีก ค่าใช้จ่ายจะพุ่งสูงมาก ความงกทำให้เรามีสติค่ะ ลองไปเสิร์จหาประกันของเจ้าอื่นดู พบว่าถูกกว่าเยอะมากๆๆ เราก็เลยปฏิเสธจะทำกับเขาไป
ปรากฏว่าเขาตื้อมาก และออกจะข่มขู่หน่อยๆ ว่าถ้าไม่ซื้อมันเข้าไม่ได้จริงๆ นะ มันเป็นพฤติกรรมของแสกมเมอร์ชัดมาก เราเลยเอ๊ะกับที่นี่ขึ้นมา
ส่วนที่ว่าไม่มีประกันเข้าไม่ได้จริงไหม ต้องซื้อประกันก่อนจริงๆ ค่ะ ตอนแรกเราก็ไม่มั่นใจ แต่ตัดสินใจซื้อกับ Allianz Travel insurance ในราคา 45 AED เท่านั้นไว้ก่อน ป้องกันไว้ดีกว่า ตอนที่เช็คอินที่สุวรรณภูมิ เจ้าหน้าที่จะขอดูเอกสารทั้งหมดก่อนเลยค่ะ เพื่อมั่นใจว่าเราไปถึงอาบูดาบีแล้วจะไม่มีปัญหา เข้าได้จริงๆ
เอกสารที่ทางเจ้าหน้าที่ขอดูมีวีซ่า, ประกัน, ใบจองโรมแรม และตั๋วเครื่องบินขากลับไทยค่ะ
สรุปก็คือ ถ้าใครอยากแวะเข้าประเทศ UAE ในระยะเวลาสั้นๆ แค่ทรานซิท บินกับสายการบินประจำชาติเขาจะง่ายสุดค่ะ หรือถ้าบินกับสายการบินอื่น ก็จะต้องบินตั้งแต่ขาออกจากไทย รวมขาไปต่อประเทศที่สาม ถีงจะขอวีซ่าผ่านสายการบินได้ค่ะ
ถ้าไม่เข้าเงื่อนไขทั้งสองนี้ และต้องหาทำวีซ่าผ่านเอเจนซี่เอง (โดยเฉพาะต้องการด่วน) หลีกเลี่ยงเอเจนซี่ที่เราแนะนำนะคะ หาที่อื่นดีกว่า
ใครมีคำถามข้อสงสัยอะไร สอบถามได้เลยนะคะ ถ้าเราตอบได้จะตอบแน่นอนค่ะ
โฆษณา