19 ต.ค. 2022 เวลา 16:23 • นิยาย เรื่องสั้น
เรื่อง : เตี้ยตามหลอก
จัดทำโดย : ชายขี้เล่า Story
เมื่อครั้งที่คุณน้อยไปทำงาน ณ ประเทศอังกฤษ คงต้องย้อนกลับไปเกือบประมาณเกือบสามสิบกว่าปีที่แล้ว สมัยนั้นผมได้รับการชักชวนให้ไปเป็นแรงงานในต่างประเทศโดยมีนายหน้าชาวไทยคนหนึ่งคอยจัดการให้ ค่าตอบแทนที่ถือว่าเยอะมากในยุคนั้นผมเลยรีบตัดสินใจตอบรับข้อเสนอนี้ทันทีอย่างรวดเร็ว
เนื่องจากบ้านผมค่อนข้างมีฐานะยากจนการที่หาเงินได้มากๆอาจจะทำให้พ่อแม่และพี่น้องมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นมาได้บ้าง ทีแรกก็แอบมีกังวลอยู่บ้างนอกจากภาษาไทยแล้วภาษาอื่นผมพูดไม่ได้เลยเพราะเรียนมาน้อย และการที่ไปกันในครั้งนี้เอาตามตรงคือเป็นการไปแบบไม่ค่อยถูกต้องสักเท่าไหร่ แต่โชคดีที่มีนายหน้าคอยจัดการทุกอย่างให้จนผ่านไปได้ด้วยดี จุดหมายปลายทางของผมคือประเทศอังกฤษนั่นเอง
ที่ทำงานของผมเป็นฟาร์มปศุสัตว์ขนาดใหญ่ซึ่งอยู่ในพื้นที่อันห่างจากตัวเมือง เป็นสถานที่อันสวยงามอากาศเย็นสบายตลอดทั้งวัน สำหรับผมในฐานะที่ไม่เคยเดินทางไปต่างประเทศมาก่อนนี่เป็นประสบการณ์แปลกใหม่ที่น่าตื่นเต้นเป็นอย่างมาก วันแรกที่เริ่มงานผมได้รู้จักกับแรงงานชาวกัมพูชาสองคนคุยไปคุยมาจึงได้พบว่าทั้งสองคนเคยอาศัยอยู่ที่ประเทศไทยมาก่อนเลยทำให้พูดคุยภาษาไทยกันได้อย่างสบายใจ
คนแรกมีชื่อว่าอินเยงชายวัยกลางคนรูปร่างสูงใหญ่เขาอยู่ที่นี่มาหลายปีจึงทำให้สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษกับคนในท้องถิ่นได้เป็นอย่างดี ส่วนอีกคนมีชื่อว่าเชียงไดชายหนุ่มลูกครึ่งไทย-กัมพูชา อายุน่าจะรุ่นเดียวกับผมเขาเพิ่งมาทำงานได้ประมาณสองปีเป็นคนร่าเริงรักความสนุกสนาน
ทั้งสองคนเองเดินทางเข้ามาทำงานอย่างไม่ถูกต้องเหมือนตัวผมเช่นกัน ด้วยความที่สื่อสารกันง่ายที่สุดเลยทำให้นับตั้งแต่วันที่ได้รู้จักกันเวลาไปไหนพวกเราจะไปด้วยกันสามคนตลอด ลุงอินเยงจะคอยให้คำแนะนำสอนผมถึงภาระหน้าที่ทำงานต่างๆในฟาร์ม ส่วนเชียงไดเขามีความเชี่ยวชาญเรื่องการดูแลสัตว์จึงคอยสอนผมให้รู้จักการให้อาหารและการเก็บมูลสัตว์เป็นต้น พวกเราสนิทกันมากเรียกได้ว่าเป็นเพื่อนรักกันเลยทีเดียว
ผ่านมาหลายวันแล้ว การทำงานทุกอย่างดูเหมือนว่าจะผ่านไปได้ด้วยดี ใช้เวลาไม่นานผมก็เริ่มเรียนรู้ลักษณะงานได้ดีมากขึ้น อันที่จริงมีเรื่องแปลกอยู่หนึ่งอย่างที่ผมสงสัยนั่นคือทุกเช้าจะมีคนงานคนอื่นนำขนมปังและนมใส่ถาดวางไว้ที่บริเวณหน้าคอกวัวทุกวัน ทีแรกผมเข้าใจว่าคงเตรียมเอามาทานกันเองรึเปล่า แต่ของกินพวกนั้นถูกวางตั้งทิ้งไวจนถึงตอนเย็นก่อนที่จะถูกนำมาเปลี่ยนของกินชุดใหม่ในเช้าวันถัดมาซึ่งมันเป็นแบบนี้อยู่เกือบทุกวันเท่าที่ผมเห็น
ผมเองนั้นอดสงสัยไม่ได้ว่าคนงานพวกนี้จะเขาของกินมาตั้งทิ้งแบบนี้ทำไมทุกวันแต่ก็ได้แต่เก็บความสงสัยนั้นเอาไว้ในใจ ยามว่างจากงานตอนเย็นทุกวันพวกเราสามคนชอบมานั่งล้อมวงกินข้าวด้วยกันพูดคุยเรื่องราวต่างๆอย่างสนุกสนาน อยู่ดีๆผมก็นึกถึงเรื่องถาดของกินขึ้นมาได้จึงได้ถามลุงอินเยงด้วยความสงสัย
“ลุง.. ผมสงสัยหนะ เห็นพวกคนงานชอบนำของกินไปวางที่หน้าคอกวัวทุกเช้าเลย เขาเอาไปให้ใครกินหรอ”
“เฮ้ย ไอ้น้อย อย่าบอกนะว่ามึงแอบไปขโมยกินของในถาดนั้นมาแล้ว” ลุงอินเยงตะโกนถามผมด้วยท่าทางตกใจนิดหน่อย
“ปล่าวนะ ผมยังไม่ได้กินของในถาด แค่สงสัยเฉยๆ เห็นเอาไปวางทิ้งไวแบบนั้นเสียดายกลัวว่าของกินจะเน่าบูดไปก่อนนะสิลุง” ผมรีบปฏิเสธทันที
“เออ ดีแล้ว เอาเป็นว่ามึงอย่าไปยุงกับของกินพวกนั้นแล้วกัน กูขอเตือนไว้แค่นี้แหละ” ลุงอินเยงถอดหายใจโล่งเมื่อเห็นว่าผมไม่ได้เข้าไปยุงกับของกินในถาดนั้น
“แต่ผมว่า... เขาน่าจะเอาไว้คนอื่นกินรึเปล่านะลุง ตอนมาทำงานใหม่ๆ ผมเคยออกมาเอาของที่ลืมไว้ที่คอกวัวในตอนดึกๆ เห็นเหมือนมีเด็กกำลังกินขนมปังในและยกเหยือกใส่นมซดทีเดียวหมดเหยือกเลย แต่ผมไม่ได้สนใจอะไรหรอกนะ เลยรีบเดินกลับออกมาก่อน” เชียงไดพูดขึ้นมากลางวงสนทนา
“เฮ้ย จริงหรอ เด็กที่ไหนจะออกมากินขนมปังตอนดึกวะ” ผมถามเชียงไดต่อด้วยความสนใจ
“ผมไม่แน่ใจนะ อาจจะเป็นลูกของคนงาน หรือบางทีคงเป็นเด็กจรจัดแถวนี้รึเปล่า ตอนนั้นมันมืดมากผมเห็นแค่ครั้งเดียวเอง” เชียงไดอธิบายให้ผมฟัง
“พอๆแยกย้ายเว้ย นอนได้แล้วพรุ้งนี้ต้องทำงานต่ออีก” ลุงอินเยงรีบพูดตัดบทไล่พวกเราให้ไปนอน ทั้งทีตอนนี้ก็เพิ่งจะหัวค่ำเองเท่านั้น
โดนไล่มาแบบนั้นก็ช่วยไม่ได้คงต้องกลับที่พักไปนอนอย่างเดียว ห้องพักในที่นี้หมายถึงบ้านหลังเล็กที่พวกเรานอนรวมกันสามคน คืนนั้นทุกคนนอนหลับกันไปหมดแล้วมีผมคนเดียวที่นอนไม่หลับนึกถึงเรื่องที่เชียงไดเล่าให้ฟังมันอดสงสัยไม่ได้จริง คงเป็นนิสัยเดิมตั้งแต่เด็กจนโตที่ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านของผมนี่แหละที่ทำให้เป็นแบบนี้ ลองออกไปดูตอนดึกสักหน่อยดีมั้ย
แต่ใจนึงก็รู้สึกไม่กล้าเหมือนกัน เกิดเป็นลูกหลานของคนงานอื่นขึ้นมาจริงเดี๋ยวจะมีเรื่องกันเปล่าๆยิ่งภาษาแย่แบบนี้อยู่ด้วยเกิดมีปัญหาคงคุยกันไม่รู้เรื่องแน่ ผมนอนคิดด้วยความสับสนทั้งคืนดึกแล้วก็ยังไม่รู้สึกง่วงสักที สุดท้ายแล้วความอยากรู้ของผมมันมีมากเกินไป เลยรีบลุกออกจากผ้าห่มแอบย่องออกจากห้องไปเงียบๆแล้วตรงไปที่คอกวัวทันที
คอกวัวเวลานี้มืดสนิทไฟทุกดวงถูกปิดดับหมดมีแค่เพียงความสว่างจากแสงจันทร์อย่างเดียวเท่านั้น ตอนที่ผมเดินไปถึงพบว่าถาดอาหารนั้นยังตั้งอยู่เหมือนเดิมแต่คราวนี้มีใครบางคนกำลังกินอาหารด้วยท่าทางที่รีบร้อน ผมเห็นแบบนั้นจึงแอบดูอยู่เงียบๆพยายามมองร่างนั้นให้แน่ใจว่ามันคืออะไร
ผมมองเห็นรูปร่างเล็กที่เหมือนเด็กท่อนบนไม่สวมเสื้อมีเพียงกางเกงสีน้ำตาลที่สวมใส่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ผมเห็นแค่จากข้างหลังอย่างเดียวมันดูเหมือนเด็กที่มีท้องโตผิดปกติ แขนและขาดูป้อมๆ หัวล้านแทบไม่มีเส้นผม ดูจากลักษณะแล้วน่าจะเป็นเด็กผู้ชาย ร่างที่เหมือนเด็กกำลังกินขนมอย่างมูมมามสลับกับการกระดกดื่มนมเป็นครั่งคราว ผมได้แต่คิดในใจว่าเด็กที่ไหนวะมากินตอนดึกแบบนี้...
“ไอ้น้อย ไอ้น้อย” เสียงกระซิปเบาๆดังมาจากข้างหลังผมจนทำให้ต้องรีบหันกลับไปดู ซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นเสียงของลุงอินเยงนั่นเอง
“กูบอกว่าให้รีบนอน แล้วนี่มึงออกมาทำไม เดี๋ยวก็ได้ซวยกันหมดหรอก” ลุงอินเยงกระซิบต่อว่าผมที่แอบออกมาข้างนอก
ผมตกใจที่ลุงแกออกมาตามจนเผลอตัวเดินออกมาจากที่ซ่อน มีแว็บนึงที่ผมหันไปมองร่างเด็กคนนั้นที่หน้าคอกวัว ร่างนั้นมันหันมามองจ้องผมกลับเหมือนกันเป็นการจ้องตาอยู่สักครู่หนึ่ง และนี่คือเหตุการณ์ที่ทำให้ผมได้เห็นใบหน้าของร่างนั้นชัดขึ้น มันไม่ใช่ใบหน้าของเด็ก แต่หน้าของมันเหี่ยวย่นเหมือนคนแก่ มีขนอ่อนหรือเคราขึ้นอยู่รอบๆแก้ม
ร่างนั้นมันยืนตัวตรงจ้องมองผม ตาของมันกลมโตเรืองแสงสีขาวเหมือนดวงตาของสัตว์ที่สะท้อนกับแสงจันทร์ในตอนกลางคืน มันยิ้มโชว์ฟันดำที่เคี้ยวขนมปังอยู่ในปาก ประเมินด้วยสายตาในตอนนั้นตัวของมันน่าจะสูงประมาณเลยเอวของผมมาได้นิดหน่อย การถูกจ้องแบบนั้นทำให้ผมรู้สึกกลัวเป็นอย่างมาก
“ลุงๆ มันหันมาจ้องผมแล้ว” ผมหันไปเรียกลุงอินเยงจนลืมความรู้สึกก่อนหน้าไปหมดทุกอย่าง
ลุงอินเยงค่อยๆชะเง้อเอียงตัวไปดูที่ด้านหน้าคอกวัว แต่ตอนนี้ไม่มีอะไรอยู่ตรงนั้นแล้ว แกยังคงจ้องมองให้ทั่วแบบนั้นอยู่อีกสักพักหนึ่ง เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรจึงหันกลับมาคุยกับผมต่อ
“เดี๋ยวนะ ไอ้น้อย มึงบอกว่าอะไรนะ มันจ้องมึง งั้นมันก็เห็นหน้ามึงแล้วสิวะ ซวยแล้วมึงเอ้ย” ลุงอินเยนมีสีหน้าที่เครียดและกังวลเอามากๆ
“นั่นมันตัวอะไรเหรอลุง เด็กเหรอ.. แต่ทำไมหน้ามันเหี่ยวแบบนั้นละ แล้วนี่มันหายไปไหนแล้ว” ผมทั้งกลัวทั้งอยากรู้ในเวลาเดียวกัน
“กลับก่อนเถอะ... ท่าไม่ดีแล้ว ถึงห้องพักแล้วค่อยว่ากัน” ลุงอินเยงรีบดึงแขนผมจูงให้กลับโดยเร็วทันที
เมื่อกลับมาถึงที่ห้องซึ่งตอนนี้มีเชียงไดนั่งเปิดไฟสว่างรออยู่ พวกเราเข้ามานั่งรวมกันแล้วเริ่มพูดคุยถึงสิ่งที่เกิดขึ้น ผมยังคงอยู่ในอาการผวาไม่หวดไม่รู้ว่าสิ่งที่เจอมันคือตัวอะไรกันแน่ เริ่มมีอาการมือสั่นปากสั่นร่างกายหนาวเย็นคล้ายกำลังจะเป็นไข้ อาการอื่นๆเริ่มตามมาปวดหัวปวดตามตัวเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมร่างการถึงได้อ่อนแออย่างรวดเร็วได้ขนาดนี้
“ไอ้น้อย มึงไหวมั้ย เอานี่กินยาแล้วนอนพักซะ พรุ้งนี้ไม่ต้องออกไปทำงานแล้วนะปิดประตูล็อคให้แน่นด้วยหละ” หลังพูดเสร็จ ลุงอินเยงหยิบยาลดไข้พร้อมขวดน้ำส่งมาให้ผม
“ลุง ตกลงไอ้ที่ผมเจอตรงคอกวัวมันคืออะไร แล้วทำไมผมถึงได้มีไข้ขึ้นไวแบบนี้หละ” ผมถามด้วยอาการหนาวปากสั่น
“นี่! น้อย มันไปเห็นเด็กที่คอกวัวแบบที่ผมเล่าให้ฟังแล้วเหรอลุง” เชียงไดพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่ตกใจ
“เออสิวะ กูอุส่าเตือนแล้วว่าอย่าไปยุ่งกับถาดใส่อาหารหน้าคอกวัวในตอนดึก ไม่ฟังกันก็เลยโดนดีแบบนี้นั้นแหละ” ลุงอินเยงส่ายหน้าด้วยความหัวเสีย
“เอ้า! พวกมึงฟังให้ดีละกัน กูก็ไม่รู้หรอกนะว่ามันคือตัวอะไร กูเคยเห็นไอ้เตี้ยนั้นเดินไปเดินมาในฟาร์มของเราอยู่สองสามครั้งเมื่อประมาณสองปีที่แล้ว หลังจากนั้นก็ไม่เคยพบเจอมันอีกเลยนะสิ แต่พอจะเคยได้ยินเรื่องที่พวกคนงานผิวดำเล่าให้ฟังอีกที”...
เรื่องมีอยู่ว่าช่วงเริ่มก่อตั้งที่นี่เจ้าของฟาร์มแห่งนี้เคยพบเจอประสบปัญหาเกิดโรคระบาดในฟาร์ม สัตว์ที่เลี้ยงไม่ยอมให้ผลผลิตแถมยังเจ็บป่วยล้มตายกันไปมากมายหลายตัว ไม่ว่าจะหาทางรักษายังไงก็ไม่สามารถยับยั่งโรคระบาดในครั้งนี้ให้หายไปได้ เรียกว่าเกือบจะต้องปิดกิจการกันเลยทีเดียว
วันหนึ่งมีหญิงชราแต่งตัวท่าทางสกปรกเดินเข้ามาที่ฟาร์มและได้พูดคุยกับเจ้าของกิจการ เธอได้บอกกับเขาว่าเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติแต่เป็นคำสาปชั่วร้ายที่มีมาตั้งแต่ครั้งโบราณ พื้นที่แห่งนี้มีความเกี่ยวข้องกับพิธีกรรมนอกรีตจากในอดีต
วิธีแก้คำสาปนั้นจะต้องจัดทำขึ้นด้วยการเตรียมอาหารและน้ำวางตั้งไว้ในจุดที่แสงแดดส่องไปไม่ถึง และต้องเปลี่ยนใหม่แบบนี้ทุกวันไปเรื่อยๆจนกว่าจะถึงฤดูหนาว และมีกฎว่าหากพบเจออะไรก็ตามที่ออกมากินอาหารห้ามไม่ให้สิ่งนั้นเห็นหน้าเป็นอันขาด เพราะอาจจะทำให้เกิดเรื่องเลวร้ายที่น่ากลัวขึ้นกับตัวเองตามมาได้
อย่างไรก็ตามเจ้าของฟาร์มได้เลือกที่จะทำตามคำแนะนำตามที่หญิงชราบอกโดยที่เธอได้ขออาหารและกระดูกสัตว์จำนวนหนึ่งเพื่อเป็นข้อแลกเปลี่ยน เจ้าของฟาร์มได้สั่งให้คนงานนำขนมและน้ำไปตั้งไว้ที่เสาใกล้ๆคอกวัวตรงนั้นเป็นจุดที่แสงแดดส่องไม่ถึง หลังจากที่นั้นไม่นานเริ่มมีข่าวลือแปลกๆนั่นก็คือเริ่มมีการพบเห็นคนตัวเล็กเดินเพ่นพ่านอยู่ในฟาร์มช่วงกลางดึก
คนงานหลายคนที่เห็นมักพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า มันมีรูปร่างเหมือนเด็กไม่ใส่เสื้อผ้ามีใบหน้าเหมือนคนแก่ท่าทางน่ากลัว ตาโตฟันดำมีกลิ่นตัวเหม็นรุนแรง บางครั้งเห็นมันกำลังกินอาหารที่วางไว้ บางทีก็เห็นมันกำลังเดินลูบหัวพวกวัวในคอกคล้ายกับว่ากำลังพูดคุยกับพวกสัตว์ในฟาร์ม หลังจากนั้นไม่นานสัตว์หลายตัวเริ่มมีอาการดีขึ้น กินอาหารและให้ผลผลิตได้เหมือนเดิม
แต่ไม่ใช่ว่าจะมีแต่เรื่องดีๆ เรื่องที่ไม่ค่อยดีก็มีเช่นกัน เริ่มมีข่าวลือการหายตัวไปของคนงานบางคน เชื่อกันน่าจะเกิดจากฝีมือของเจ้าคนตัวเล็กอย่างแน่นอน อาจจะไปได้ว่าไปเห็นใบหน้ามันเข้า หรือไม่ก็คงไปยุ่งกับถาดอาหารจนทำให้มันโกรธก็ได้ หากโชคดีหน่อยก็พบว่าแค่เป็นลมไข้ขึ้นไปหลายวันเท่านั้นเอง
“เรื่องมันก็ประมาณนี้แหละ มึงมันหาเรื่องแท้ๆไอ้น้อย ดีแค่ไหนแล้วที่มึงไม่หายไปอีกคน” ลุงอินเยงได้สรุปเรื่องเล่าทั้งหมดให้พวกเราได้ฟัง
“ลุง แล้วคิดว่ามันเป็นตัวอะไร ใช่ผีรึเปล่า ของกินที่คนงานพวกนั้นเอาไปวางมันคือเครื่องเส้นใช่มั้ย” ผมยังอยากรู้เลยถามเซ้าซี้ลุงอินเยงเพื่อเอาคำตอบให้ได้
“กูก็ไม่รู้เหมือนกัน คงเป็นเจ้าที่ของฟาร์มนี้มั้ง ก็ตอนกูเจอไอ้เตี้ยนั่นนะ กูวิ่งหนีอย่างเดียวไม่ได้สนใจหรอก” ลุงอินเยงพูดไปพลางถอนหายใจอย่างแรง
พวกเราคุยกันอีกสักพักหนึ่งก่อนที่จะแยกย้ายกันไปนอน ผมเองได้เผลอหลับไปด้วยความอ่อนเพลียจากไข้หวัดที่เกิดขึ้นอย่างเฉียบพลัน ในคืนนั้นผมได้ฝันแปลกประหลาด ในความฝันนั้นตัวผมกำลังทำความสะอาดคอกวัวในตอนกลางวัน ภายในคอก มีวัวตัวหนึ่งมันนอนทรุดอยู่ที่พื้นมันร้องส่งเสียงครวญครางฟังดูเหมือนกำลังบาดเจ็บ
ผมจึงเดินเข้าไปดูวัวตัวนั้นใกล้ๆ จึงได้พบว่ามันมีคราบเลือดไหลออกจากด้านหลัง ช่วงที่ผมกำลังนั่งก้มดูวัวอยู่อย่างนั้นได้มีเสียงดังมาจากข้างหลังผม มันเป็นเสียงเล็กแหบคล้ายกับการกระซิบซึ่งผมเองก็ฟังไม่รู้เรื่องเหมือนกัน ผมลองหันไปดูตามเสียง ชัดเลยมันคือไอ้เตี้ย ในมือมันอุ้มลูกวัวมาด้วย ซึ่งถ้าดูดีๆแล้วน่าจะเป็นลูกวัวที่เพิ่งคลอดออกมาได้ไม่นาน
มันใช้มือควักไปที่ลูกตาของลูกวันตัวนั้นออกมาจากเบ้าแล้วนำมาเคี้ยวกินในปาก ฟันดำของมันบดเคี้ยวลูกตาบีบจนแตกมีคราบน้ำใสๆไหลออกมาจากปากจนชวนให้รู้สึกคลื่นไส้ มันยังไม่หยุดแค่นั้นมันควักลูกตาอีกข้างออกมาลูกวัวส่งเสียงร้องดิ้นไปมาท่าทางเจ็บปวดอย่างหนัก
ไอเตี้ยมันยื่นมือส่งลูกตาให้ผมเหมือนบังคับให้ผมต้องกินตามไปด้วย แน่นอนว่าผมถอยออกมาเตรียมจะวิ่งหนีทันที ผมวิ่งออกมาจากคอกจนถึงที่บ้านพักเปิดประตูเข้าข้างใน แต่สิ่งที่น่าตกใจกว่าผมเห็นว่าภายในห้องมีหัวของลุงอินเยงและเชียงไดถูกปักเสียบไม้ตั้งเอาไว้กลางห้อง ผมตกใจกลัวสุดขีดจนทำให้สะดุ้งตื่นขึ้นมาจากความฝัน
ผมค่อยๆมองไปรอบห้อง ทั้งสองคนยังคงนอนหลับอยู่ตามปกติ อย่างน้อยตอนนี้ผมก็รู้สึกโล่งใจที่ทุกคนยังปลอดภัยดี แต่คงนอนไม่หลับแล้วมันทั้งหลอนทั้งกลัว ผมอยู่ในสภาพหลับๆตื่นๆจนถึงเช้า ก่อนที่ลุงอินเยงและเชียงไดจะเตรียมตัวออกไปทำงาน
“กูไปก่อนนะไอน้อย เอานี่ยากับขนมปัง มึงทนๆกินไปก่อนนะ เดี๋ยวตอนเย็นกูจะเอาอาหารดีๆมาให้” ลุงอินเยงปิดประตูแล้วเดินออกไปพร้อมเชียงไดเพื่อไปทำงาน
ผมยังคงเพลียอยู่จึงขอนอนต่อ คราวนี้หลับสนิทแบบเต็มที่จนถึงช่วงเที่ยง ก่อนที่ตื่นขึ้นอีกครั้งด้วยแสงแดดที่ส่องเข้ามาในห้อง ผมลืมตาหันไปมองที่หน้าต่างด้วยความงัวเงีย แต่ต้องถึงกับตกใจลุกขึ้นจากที่นอนทันที ที่หน้าต่างตรงข้างนอกผมเห็นสิ่งที่ดูเหมือนหน้าผากหัวล้านเหี่ยวแห้งดำคล้ำ มันมีแค่หน้าผากเท่านั้นที่ผมเห็น ใช่อย่างแน่นอนมันคือไอ้เตี้ยแน่ๆ ตัวมันคงยืนสูงโผล่ได้แค่หน้าผาก แถมยังมาตอนกลางวันแสกๆอีกด้วย
ผมปากสั่นหลับตายกมือไหวพูดออกไปโดยที่ไม่รู้ว่ามันจะฟังภาษาไทยรู้เรื่องมั้ย ผมกล่าวขอโทษที่ไปแอบดูมันกินอาหาร ร้องขอชีวิตต่างๆนาๆ ก่อนที่จะลืมตาดูที่หน้าต่างอีกครั้ง คราวนี้พบหน้าผากนั้นได้หายไปแล้ว เพื่อให้แน่ใจผมเดินไปดูใกล้ๆอีกด้วยความตื่นเต้น ตอนนี้ไม่มีอะไรอยู่ข้างนอกแล้ว อย่างน้อยก็ได้รู้สึกปลอดภัยมากขึ้นในตอนนี้ นั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อยได้สักพักรู้สึกหิวจึงกินขนมปังกับยาที่ลุงอินเยงทิ้งไว้ให้ และนอนพักเอาแรงไปอีกรอบ
มารู้สึกตัวอีกครั้งในตอนเย็น เสียงเชียงไดปลุกเรียกผมให้ตื่นมากินข้าว ตอนนี้รู้สึกได้ว่าร่างกายหายอ่อนเพลียไม่ปวดหัวแล้ว ผมมานั่งกินข้าวเย็นกับเชียงไดและลุงอินเยง สำหรับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อตอนกลางวันผมตัดสินใจที่จะไม่เล่าให้ทั้งสองคนฟังเพราะคิดว่าพวกเราควรจะอยู่เงียบๆกับเรื่องพวกนี้ได้แล้ว ผมเองก็ไม่อยากทำให้ทุกคนต้องเป็นห่วงแค่ขาดงานไปวันนึงก็รู้สึกไม่ดีมากแล้ว
หลังจากวันนั้นผมกลับมาทำงานได้ตามปกติ ผมเลือกที่จะไม่ยุ่งและไม่สงสัยกับถาดอาหารนั้นอีก พวกเราแทบไม่พูดถึงเรื่องไอ้เตี้ยอีกเลย ในตอนกลางวันลุงอินเยงนำอาหารและคุกกี้มาให้พวกเราทานกัน ระหว่างที่กำลังทานกันอยู่ไม่รู้ว่าผมนึกอะไรขึ้นมา หยิบคุกกี้ขึ้นมาสามชิ้นแล้วขอตัวแยกออกมา ผมเดินไปที่คอกวัววางคุกกี้ใส่ลงบนถาดอาหารที่มีคนงานนำมาตั้งไว้พร้อมกับยกมือไหว้ก่อนที่จะเดินกลับมาทานอาหารกันต่อ
“ไอน้อย มึงไปไหนมาวะ” ลุงอินเยงถามขึ้นมาขณะทานอาหาร
“ไปที่หน้าคอกวัวมานะลุง ผมเอาคุกกี้ไปให้ไอเตี้ยมาด้วยนะ” ผมพูดขึ้นอย่างติดตลก
“อะไรนะ ไอ้ชิบหาย กูบอกแล้วว่าอย่าไปยุ่ง เดี๋ยวมันก็ตามมาเล่นงานมึงอีกหรอก” ลุงแกตะคอกใส่ผมทั้งที่ยังเคี้ยวอาหารอยู่ในปาก
“ไม่มีอะไรหรอกลุง แค่รู้สึกอยากให้อะไรบ้าง อย่างน้อยก็เป็นการขอโทษมันที่เคยไปแอบดูตอนนั้นไง” ผมตอบลุงอินเยงกลับไป
“เออๆเอาเถอะ แล้วแต่มึงนะ ถ้ามันเข้าใจที่มึงสื่อก็ดี แต่ถ้ามาหลอกอีกบอกเลยคราวนี้กูไม่ออกไปตามแล้วนะเว้ย” ลุงอินเยงแกบ่นไปปากก็เคี้ยวอาหารไป
“ผมถามหน่อยนะลุง ที่เล่าให้พวกผมฟังหนะ ลุงเชื่อจริงๆรึเปล่าว่าคนงานที่หายไปเป็นฝีมือของไอเตี้ย” นี่เป็นคำถามคาใจที่ตัวผมอยากลองฟังในมุมมองของลุงอินเยงดูบ้าง
“ถ้าจากที่เคยฟังข่าวลือมามันก็น่าจะเป็นแบบนั้น คนที่หายไปไม่เคยถูกพบเจออีกเลย และเป็นช่วงเวลาที่เจ้าของฟาร์มเริ่มให้คนงานเอาถาดอาหารมาตั้งไว้พอดี มันเป็นเรื่องเก่าแก่ที่เกิดขึ้นมาก่อนที่กูจะมาอยู่ที่นี่อีก แต่มาช่วงหลังนี้กูไม่ได้ยินข่าวคนหายแล้วนะ คงประมาณนี้แหละ” ลุงอินเยงพูดในสิ่งที่แกคิดให้พวกเราฟัง
หลังจากที่ทุกคนทานอาหารกลางวันเสร็จแล้ว พวกเราได้แยกย้ายกันทำงานต่อ เวลาผ่านไปจนถึงช่วงหัวค่ำหลังทำธุระส่วนตัวต่างๆกันเรียบร้อยผมจึงเตรียมตัวเข้านอนตามปกติ ผมนอนหลับสนิทอย่างมีความสุข คืนนี้ผ่านไปได้ด้วยดีตามปกติ ด้วยความที่ผมได้นอนพักอย่างเต็มที่ทำให้เช้าวันนี้ผมตื่นขึ้นเป็นคนแรกในขณะที่อีกสองคนที่เหลือค่อยๆตื่นตามมาทีหลัง
ผมเปิดประตูออกมาข้างนอกเพื่อจะเตรียมดูดยาเส้นก่อนเตรียมตัวไปทำงาน ก็ต้องแปลกใจเล็กน้อยเพราะที่พื้นหน้าประตูมีกองเห็ดเล็กๆวางทิ้งไว้อยู่ น่าแปลกมากใครกันเอาเห็ดมาวางไว้ตรงนี้ จะว่าเป็นลุงอินเยงหรือเชียงดงก็คงไม่ใช่แน่นอน อยู่ก็มีสิ่งหนึ่งที่แล่นเข้ามาในหัวผม หรือว่า... จะเป็นไอ้เตี้ยวะ
ผมนำเห็ดที่ได้ไปให้ทุกคนดู ไม่มีใครรู้เหมือนกันว่าใครเอามาวางหน้าห้อง แต่ลุงอินเยงแกเก็บเห็ดกองนั้นเอาไว้และบอกว่าเดี๋ยวเย็นนี้จะมาทำเห็ดย่างให้กินกัน ทีแรกผมกลัวที่จะกิน อาจจะมีพิษรึเปล่า กินได้แน่หรือ ยิ่งพอมานึกว่าเห็ดนี้ใช่ฝีมือไอ้เตี้ยเอามาให้จริงรึเปล่ายิ่งคิดก็ยิ่งไม่กล้ากิน แต่พอเอาเข้าจริงๆถึงช่วงเย็นลุงอินเยงนำเห็ดมาย่างกลิ่นมั่นช่างหอมมาก แกลองกินเป็นคนแรกแถมยังบอกอีกว่าเป็นเห็ดที่อร่อยมากๆ ก่อนที่เชียงไดจะตามมากินทีหลัง
ฟังลุงแกพูดแบบนั้นไหนจะยังกลิ่นเห็ดย่างที่หอมติดจมูกอีก สุดท้ายความหิวชนะความกลัว เย็นวันนี้พวกเรากินเห็ดย่างกันอย่างเอร็ดอร่อยก่อนที่จะกลับถึงที่พักเข้านอนกันแต่หัวค่ำ
เวลาผ่านไปนานแค่ไหนผมเองก็จำไม่ค่อยได้เหมือนกัน ผมทำงานจนมาถึงช่วงที่เปลี่ยนเจ้าของกิจการคนใหม่ เรื่องราวของไอเตี้ยเริ่มค่อยๆห่างหายไป ไม่มีใครพูดถึงอีกเลย แม้แต่ถาดอาหารที่เคยวางไว้หน้าคอกวัวก็ไม่มีอีกแล้ว คงเป็นเพราะเจ้าของคนใหม่อาจจะไม่เชื่อตำนานอะไรพวกนี้เลยไม่ได้สนใจ ทุกอย่างดำเนินไปตามปกติอย่างที่มันควรจะเป็น เรื่องของไอ้เตี้ยได้เงียบหายไป
ผมเองหรือลุงรวมทั้งเชียงไดไม่เคยพบเจอมันอีกเลย ผมได้แต่คิดในใจว่ามันคงไปอยู่ที่อื่นแล้วรึเปล่า ทุกอย่างผ่านไปผมทำงานจนครบกำหนดการว่าจ้างก่อนที่จะได้กลับมาอยู่ที่ประเทศไทยตามเดิม จนถึงทุกวันนี้ผมยังคงไม่รู้ว่าไอ้เตี้ยมันคือตัวอะไรเป็นผีหรือเป็นคน ผมเล่าเรื่องนี้ให้ลูกชายคนโตฟังเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกัน ได้แต่เดากันไปเรื่อยๆ อาจจะเป็น ผีป่า เจ้าที่ หรือตัวประหลาด ตามความเชื่อของคนแถวนั้น...
โฆษณา