20 ต.ค. 2022 เวลา 04:36 • ข่าวรอบโลก
ถอดรหัสสุนทรพจน์สีจิ้นผิง: ชี้เส้นทางจีน 5 ปี ต่อจากนี้
Blockdit Originals โดย ดร.อาร์ม ตั้งนิรันดร
เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา สีจิ้นผิงได้กล่าวรายงานต่อสมัชชาพรรคคอมมิวนิสต์จีน ในการประชุมใหญ่ครั้งสำคัญในรอบ 5 ปี นี่เป็นสุนทรพจน์ที่สำคัญที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตการเมืองของสีจิ้นผิง เพราะเป็นการประกาศศักดาแถลงผลงานในรอบ 10 ปี ที่ผ่านมา พร้อมกับปูทางการต่ออายุการเป็นผู้นำสูงสุดของจีนอีกสมัย
5
ในการกล่าวรายงานความยาวเกือบ 2 ชั่วโมงในครั้งนี้ สีจิ้นผิงเลือกที่จะเน้นความต่อเนื่องของนโยบาย และมีความพยายามที่จะรักษาสมดุลระหว่างเรื่องความมั่นคงกับเรื่องเศรษฐกิจ สีจิ้นผิงไม่ได้ดูแรงหรือดุดันขึ้นในทิศทางเรื่องความมั่นคงหรือการต่อสู้กับภายนอก
สิ่งสำคัญไม่ใช่เพียงสีจิ้นผิงพูดอะไร แต่สีจิ้นผิงเลือกที่จะไม่พูดอะไรด้วย
2
เรื่องแรกที่ไม่ได้พูด คือประโยคทอง “บ้านมีไว้อยู่ ไม่ได้มีไว้ปั่น” ซึ่งเคยปรากฎในรายงานเมื่อ 5 ปี ก่อน ปีนี้ไม่มีประโยคนี้ สะท้อนว่าเขาต้องการถอยและลดความร้อนแรงเรื่องนโยบายการจัดการภาคอสังหาริมทรัพย์ ที่หลายคนมองว่าทุบแรงเกินไปจนเศรษฐกิจจีนชะลอตัว
เรื่องที่สองที่ไม่ได้พูด คือ ประโยค “ปัญหาไต้หวันไม่สามารถปล่อยไว้โดยไม่มีที่สิ้นสุดได้” ซึ่งในรายงานในอดีตเคยมีประโยคนี้และเคยทำให้มีคนตั้งคำถามว่าสีจิ้นผิงต้องการเร่งเวลาการรวมชาติหรือไม่ คำกล่าวเกี่ยวกับไต้หวันในครั้งนี้ยังเน้นเรื่องการรวมชาติอย่างสันติ ในขณะเดียวกันก็เน้นว่าจีนจะยังสงวนการใช้กำลังในกรณีที่ไต้หวันแยกประเทศ
2
ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นคำกล่าวมาตรฐาน ไม่ได้แรงขึ้นหรือมีคำกล่าวดุดันให้หวาดกลัว สะท้อนว่าเขาต้องการลดอุณหภูมิความตึงเครียดเรื่องไต้หวันลง
1
เรื่องที่สามที่ไม่ได้พูด คือ การมองสหรัฐฯ เป็นคู่แข่งหลักเชิงยุทธศาสตร์หรือเป็นภัยคุกคาม แตกต่างอย่างชัดเจนจากสุนทรพจน์ของประธานาธิบดีไบเดนที่มักกล่าวตรงไปตรงมาว่าจีนเป็นคู่แข่งยุทธศาสตร์อันดับ 1 และเป็นภัยคุกคามต่อสหรัฐฯ ในสุนทรพจน์ของสีจิ้นผิงไม่ได้กล่าวถึงสหรัฐฯ แม้แต่น้อย แต่กล่าวในเชิงว่าโลกภายนอกผันผวน และกล่าวกระทบเปรียบเปรยว่าจีนจะไม่มีวันใช้ลัทธิครองความเป็นเจ้า ซึ่งเป็นการกระทบเสียดสีสหรัฐฯ อ้อมๆ
4
เรื่องสุดท้ายที่พูดน้อยกว่าที่หลายคนคาด คือ นโยบายรุ่งเรืองร่วมกัน (Common Prosperity) ซึ่งเป็นสโลแกนที่มักจะทำลายขวัญนักธุรกิจและภาคเอกชน ก่อนหน้านี้ บางคนนึกว่าสุนทรพจน์ครั้งนี้ธีมหลักจะเป็นการรุ่งเรืองร่วมกัน แต่แท้จริงแล้ว นโยบายนี้กลับไม่ได้รับการกล่าวเน้นมากนักในสุนทรพจน์ มีการเอ่ยถึง “รุ่งเรืองร่วมกัน” รวม 4 ครั้ง เท่านั้น โดย 3 ครั้งแรก เป็นการพูดในเชิงเป้าหมายระยะยาว อีก 1 ครั้งพูดในเชิงนโยบาย
1
ซึ่งก็ชัดเจนว่าไม่ได้ต้องการกลับไปเป็นยุคคอมมิวนิสต์และไม่ใช่รัฐสวัสดิการ แต่หมายถึงการยกระดับชนชั้นกลางให้กว้างขวาง
2
โทนที่สำคัญในสุนทรพจน์ครั้งนี้คือ การฝ่าฟันขวากหนามและมรสุม เหมือนกับสีจิ้นผิงบรรยายภาพว่าในระยะสั้น จีนจะเผชิญความท้าทายไม่น้อยจากปัจจัยภายในและภายนอก ธีมของสุนทรพจน์คือต้องสามัคคีฟันฝ่าไปด้วยกัน เหมือนเขาจะพยายามเตรียมใจประชาชนว่าช่วงระยะสั้นนี้จะไม่ใช่เวลาที่ง่ายหรือสดใส และมีการย้ำเน้นการต่อสู้ฝ่าฟัน (Struggle) ซึ่งน่าจะกินเวลายาวนานภายใต้บริบทภูมิรัฐศาสตร์โลกใหม่
1
หลายคนสนใจที่สีจิ้นผิงย้ำเน้นความสำเร็จของนโยบาย Dynamic Zero Covid ทำให้สรุปได้ว่าคงไม่มีการผ่อนคลายนโยบายทันทีหลังประชุม อย่างไรก็ตาม หากสังเกตให้ดี คำกล่าวเรื่อง Dynamic Zero Covid ดูเหมือนจะพูดถึงความสำเร็จในอดีตมากกว่าจะพูดถึงทิศทางในอนาคต หลายคนคิดว่าคำว่า “Dynamic” เปิดช่องให้นโยบายนี้ยืดหยุ่นได้
4
และช่วงที่ผ่านมาก็มีการผ่อนคลายขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการอนุญาตให้นักเรียนต่างชาติกลับไปเรียนที่จีน การลดเวลากักตัวเหลือ 7+3 การเพิ่มเที่ยวบินระหว่างประเทศ แต่กว่าจะเปิดเมืองได้เต็มที่ บางคนประเมินว่าอาจต้องรอถึงช่วงกลางหรือปลายปีหน้าเลยทีเดียว
ในสุนทรพจน์ สิ่งใหม่แตกต่างจากครั้งก่อนๆ คือ การเน้นเนื้อหาเรื่องการพัฒนาเทคโนโลยี การทุ่มสรรพกำลังในอุตสาหกรรมเชิงยุทธศาสตร์ และการมุ่งสร้างนวัตกรรมเพื่อทลายคอขวดเทคโนโลยีของสหรัฐฯ สีจิ้นผิงเน้นว่าจีนต้องการพึ่งพาตัวเองให้ได้ในทางเทคโนโลยี และจะสร้างระบบนิเวศทางเทคโนโลยีที่พร้อมสมบูรณ์
หลายคนมองว่าสอดรับกับกระแสสงครามเทคโนโลยีกับสหรัฐฯ ที่ร้อนแรงขึ้นมาก โดยเฉพาะสัปดาห์ก่อนหน้าการประชุม กระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐฯ เพิ่งออกกฎเกณฑ์จำกัดอุตสาหกรรมเซมิคอนดัคเตอร์ของจีน ซึ่งเป็นกฎเกณฑ์ที่หนักหนาสาหัสและรัดกุมที่สุดตั้งแต่ที่เคยมีมา
เกร็ดที่น่าสนใจคือ ในบรรดากรรมการสูงสุด 25 คน ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ที่เรียกว่าโปลิตบูโรชุดใหม่ที่จะเลือกในการประชุมครั้งนี้ มีการคาดหมายว่าจะมีนักวิทยาศาสตร์และวิศวกรอาชีพได้รับเลือกเข้าเป็นกรรมการถึง 6-7 คน
1
สิ่งที่หลายคนอาจไม่รู้คือในยุคสีจิ้นผิงมีการแต่งตั้งนักวิทยาศาสตร์จากภาคอุตสาหกรรมการบินขึ้นเป็นผู้นำระดับสูงของมณฑลจำนวนมาก จนเกิดเป็น “ขั้วการเมืองวิศวกรการบิน” ปัจจุบัน เบอร์ 1 ของมณฑลซินเจียง มณฑลเจ้อเจียง มณฑลหูนาน ล้วนแต่เป็นนักวิทยาศาสตร์และวิศวกรการบินชั้นนำที่ได้รับการยอมรับในวงวิชาการนานาชาติ สะท้อนความมุ่งมั่นของจีนในเรื่องการพัฒนาเทคโนโลยี
ทิศทางจีน 5 ปี ต่อจากนี้ อาจไม่ต่างจาก 10 ปี ก่อนหน้ามากนัก จะมีความต่อเนื่องทางนโยบายสูง ไม่แรงขึ้นในเรื่องความมั่นคง ขณะเดียวกันก็คงไม่กลับทิศทางแบบ 180 องศา มาเน้นเศรษฐกิจแบบยุคผู้นำก่อนๆ การพยายามรักษาสมดุลระหว่างความมั่นคงกับเศรษฐกิจจะกลายเป็นความพยายามหลักของสีจิ้นผิงในวาระที่สาม ภายใต้บริบทภายในภายนอกที่ท้าทายกว่า 10 ปี แรกอย่างมากมาย
1
โฆษณา