22 ต.ค. 2022 เวลา 14:15 • อสังหาริมทรัพย์
Habitat group เปิดเผยแผนการลงทุนและกลยุทธ์ธุรกิจครั้งสำคัญในรอบ 10 ปี จากเดิมที่เน้น product lifestyle & Investment มาอย่างต่อเนื่อง ได้สร้างโอกาสใหม่ในตลาดแนวราบ ที่เป็น Big Real Demand Market และในช่วง 2 ปีที่ผ่าน ยังพบว่า โควิด 19 ส่งผลให้ผู้บริโภคและนักลงทุนมีมุมมองต่อการซื้อที่อยู่อาศัยเปลี่ยนไป โดยหวังว่าจะมีพื้นที่กว้างขึ้น สามารถรองรับกิจกรรมของครอบครัวและกลุ่มเพื่อน และอยู่อาศัยพร้อมท่องเที่ยวและพักผ่อน และ การทำงานยุคใหม่ จากปัจจัยดังกล่าวสู่การปรับแผนธุรกิจในครั้งนี้
จากเดิมที่เราโฟกัสการพัฒนาโรงการอสังหาฯ เพื่อลงทุน แต่วิกฤตโควิดที่ผ่านมา ทำให้บริษัทให้ความสนใจตลาดแนวราบและหวังสร้าง balance port เพื่อ risk management อีกด้วย โดยรูปแบบการลงทุนโรงการแนวราบใหม่ครั้งนี้ เป็นโมเดลที่ร่วมทุนกับ landlord รายใหญ่ ในพื้นที่ ชลบุรี-พัทยา เพื่อพัฒนาโครงการ “Highland Park Pool Villa - Pattaya” โดยโครงการนี้มีสัดส่วน ฮาบิแทท กรุ๊ป ถือหุ้น 70% และอีก 30% เป็นของนายรัฐกิจ เฮงตระกูล เจ้าของที่ดินดังกล่าว
Highland Park Pool Villa – Pattaya เป็น modern villa style ที่มีมูลค่าโครงการ 1,700 ล้านบาท บนที่ดินกว่า 51 ไร่ โดยเริ่มพัฒนา เฟสแรก จำนวน 65 หลัง ประกอบด้วยบ้าน 2 แบบ ในเลทราคา 8 -15 ล้านบาท จุดเด่นของโครงการ คือ premium location ที่มองเห็นวิวภูเขาที่สวยงาม โดยเริ่มเปิดขาย VVIP ในเดือน พ.ย.2565 นี้ เจาะ target group ในกรุงเทพ 70% ช่วงอายุ 30-50 ปี และอีก 30% คือชาวต่างชาติที่จะเข้ามาทำงานและเริ่มเกษียณในประเทศไทย ส่วนเฟสสองจะเปิดอีก 100 หลัง
รัฐกิจ เฮงตระกูล พรรทเพื่อไทย กล่าวว่า ที่ผ่านมาทางครอบครัวดำเนินธุรกิจบ้านจัดสรรมากกว่า 10 ปี ภายใต้แบรนด์ “Pattaya park hill” และ “วรรณสิริ” ราคาอยู่ที่ 2 – 3 แสนบาทต่อยูนิต ซึ่งปัจจุบันได้มาจับตลาดระดับราคา 1 – 2 ล้านบาท รวมถึงการซื้อที่ดินเพิ่ม แม้ปัจจุบนทางครอบครัวจะมีที่ดินสะสมอยู๋ในจังหวัดชลบุรี ไม่ต่ำกว่า 20 แปลง ปัจจุบันบางแปลงราคาไปถึง 100 ล้านบาท
สาเหตุที่ รัฐกิจ พูดคุยกับ habitat group เพราะมีความประทับใจในผลงานการพัฒนาโรงการในพื้นที่ที่ผ่านมา ซึ่งโครงการที่ทำมีแต่ทำเลศักยภาพ โดยแปลงที่นำมาร่วมทุน อยู่ในบริเวณ ต.ห้วยใหญ่ อ.บางละมุง ซึ่งอยู่ในพื้นที่โรงการของรัฐบาลที่จะสร้างเมืองคู่แฝด EEC ภายใต้ชื่อโครงการศูนย์ธุรกิจ EEC และ เมืองน่าอยู่อัจฉริยะ ที่รัฐได้ใช้ที่ดิน 14,619 ไร่ มาพัฒนาในมูลค่า 1.34 ล้านล้านบาท
สำหรับภาพรวมตลาดอสังหาฯในพื้นที่พัทยา มีความต้องการซื้อใน หลาย segment และโรงการในรูปแบบ วิลล่า ก็เป็นที่ต้องการสูง ทั้งการท่องเที่ยวและพักผ่อน รวมทั้งซื้อไว้เพื่อการลงทุนในระยะยาว โดยมีความสนใจจากผู้ซื้อทั้งนักธุรกิจในพื้นที่ ชาวต่างชาติที่ทำงานอยู่ในนิคม ECC ทั้งผู้บริหารต้องการซื้อแทนเช่า และ ชาวไทยในกรุงเทพฯ เพราะการเดินทางที่สะดวกและใช้เวลาในช่วงสั้น ๆ จากกรุงเทพฯ มาพัทยา สุดท้ายคือต่างชาติ ที่มีตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาแล้วยังมีแนวโมที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ
ขณะที่ฝ่ายวิจัยและการสื่อสาร คอลลิเออร์ส ประเทศไทย วิเคราะห์ตลาดพูลวิลล่า ในพื้นที่พัทยา ระดับราคาขาย 8-15 ล้านบาท นับเป็นตลาดที่เติบโตและได้รับความสนใจทั้งจากผู้พัฒนาและกำลังซื้ออย่างต่อเนื่อง โดยในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2565 มีโครงการพูลวิลล่าเปิดขาย 13 โครงการ ซึ่งในจำนวนนี้ขายไปแล้วคิดเป็น 73% ของจำนวนยูนิตที่เปิดขายทั้งหมด ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการพัฒนาโดยผู้พัฒนารายใหญ่ในพื้นที่
อ้างอิงข้อมูลจาก ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
โฆษณา