23 ต.ค. 2022 เวลา 15:51 • ท่องเที่ยว
สก๊อตแลนด์วันที่ 3 (ตอนที่ 3) น้องหมาน้อยบ๊อบบี้ ผู้เป็นตำนาน
ออกจากพิพิธภัณฑ์ไปเดินเล่นกลางลมฤดูใบไม้ร่วง จนมาถึงโบสถ์แห่งหนึ่งที่ชื่อว่า Greyfriars Kirk ซึ่งบังเอิญอยู่ในเส้นทางพอดี
ดีแล้วละที่มาตรงนี้เพราะที่นี่สวยงามมากทีเดียว เฉพาะข้างนอกโบสถ์มีสุสานที่มีแท่งหินรูปทรงสวยๆตั้งอยู่เต็ม ไม่แน่ใจว่ามีใครที่เรารู้จักถูกฝังอยู่แถวนี้รึเปล่า แต่อากาศนั้น ต้นไม้ กองหิน ใบไม่ร่วงหล่นดูงดงาม นั่งบนมานั่งดูสิ่งเหล่านี้
สักพักเห็นลมหมุนตีปลิวเอาใบไม้ฤดู Autumn หมุนวนไปมาเป็นวงกลม ลอยขึ้นเป็นเกลียวเหมือนทอร์นาโดน้อย ๆ แล้วก็ตกลงมาต่อหน้าเรา เป็นอย่างนี้สองครั้ง ดูแล้วแปลกที่ศูนย์กลางพายุหมุนอยู่ตรงหน้าเรานี้เอง
สิ่งหนึ่งที่จะให้นักท่องเที่ยวมาโบสถ์นี้ก็คือเพื่อนผู้ซื่อสัตย์ของบุคคลที่ถูกฝังที่นี่ และเป็นเรื่องราวประทับใจเล็กๆในวันนี้
สุสาน kirk เป็นที่ฝังศพของชายผู้หนึ่งซึ่งชื่อว่า จอห์น เกรย์ ซึ่งเคยใช้ชีวิตอยู่ในเมืองเอดินบะระเมื่อร้อยกว่าปีมาแล้ว คุณเกรย์ได้รับหน้าที่คอยตรวจตราเมืองเอดินบะระยามราตรีดังนั้นระหว่างปฏิบัติงานแกคงรู้สึกเหงาเหมือนกันเพราะไม่ได้เจอใคร แต่แล้วก็ได้รู้จักกับเพื่อนรักผู้หนึ่งซึ่งได้มาเป็นเพื่อนซี้คลายเหงา ซึ่งก็คือสุนัขพันธุ์ สกายเทอเรีย ตัวหนึ่งชื่อบ๊อบบี้ ทั้งคู่เป็นเพื่อนรักเพื่อนซี้กันมานาน ไปไหนไปด้วยกันไม่มีห่าง
แต่แล้วโชคชะตาก็พลิกผัน จอห์น ได้เป็นวัณโรคและได้เสียชีวิตในเวลาต่อมา ทิ้งให้เจ้าเพื่อนรักบ๊อบบี้คอยอยู่อย่างเหงาเดียวดาย และได้ถูกฝังร่างไว้ที่สุสานของโบสถ์แห่งนี้นี่เอง
และแล้ว เช้าวันต่อมาผู้คนก็ได้เห็นหมาตัวหนึ่งเข้ามานอนตรงหลุมศพของจอห์น เกรย์ และได้ทำการไล่ออกไป ทว่าในเวลาต่อมาเจ้าสุนัขนั้นก็ได้กลับมาอีก ไม่ว่าจะไล่ไปอย่างไร มันก็ยังคงวนเวียนกลับมา
ใช้แล้ว สุนัขตัวนั้นคือบ๊อบบี้ เพื่อนรักของจอห์นนั่นเอง บ๊อบบี้นั้นยังคงกลับเข้ามาบนหลุมศพนั้นทุกวัน คอยเฝ้าไม่ห่าง แม้ในช่วงอากาศหนาวเย็น แม้จะเนิ่นนานเพียงไร เพื่อรอคอยเพื่อนรักของมันกลับมา รอแล้วรอเล่า รอจนเวลาผ่านไปนับเดือน นับปี จนเป็นเวลาหลายปีที่ผู้คนเห็นบ๊อบบี้อยู่ตรงนั้น
https://en.wikipedia.org/wiki/Greyfriars_Bobby
แต่โชคร้ายนั้นยังไม่ได้ผ่านพ้นไป ในปีหนี่งทางเมืองเอดินบะระได้รับนโยบายให้มีการกำจัดสุนัขจรจัด ซี่งบอบบี้เองก็อยู่ในฐานะนั้นด้วย เนื่องจากเจ้าของมันได้ตายไปเสียแล้ว โชคชะตาที่อาภัพกำลังจะมาถึงเจ้าหมาน้อย
แต่แล้วบ๊อบบี้ยังมีโชคดี เพราะผู้คนในแห่งเมืองนี้ต่างรู้จักมัน จึงได้มีผู้เอ็นดูรับอุปการะ นั่นคือ Lord Provost of Edinburgh, Sir William Chambers, ผู้ซึ่งเป็นผู้อำนวยการสมาคมป้องกันการทารุณสัตว์ของสก๊อตแลนด์ (director of the Scottish Society for the Prevention of Cruelty to Animals) ทำให้มันกลายเป็นหมามีเจ้าของและได้รับปลอกคอมาสวมใส่เป็นสัญลักษณ์
ถ้าหากใครได้ไปที่พิพิธภัณฑ์แห่งเมืองเอดินบะระ คุณจะได้พบกับอนุสรณ์ของบ๊อบบี้ นั่นคือชามอาหาร และปลอกคอเส้นนี้ ที่ยังคงถูกเก็บรักษาไว้ที่นั่น
ปลอกคอบ๊อบบี้ https://en.wikipedia.org/wiki/Greyfriars_Bobby
ในที่สุดแล้ว หลังจากการเฝ้าคอนเจ้านายของมันเป็นเวลานาน 14 ปี บ๊อบบี้ก็ได้จากชาวเมืองเอดินบะระไป และคงจะได้อยู่กับเจ้านายที่รักตลอดกาล
ผู้คนที่เอดินบะระรู้สึกเศร้าและปลาบปลื้มกับวีรกรรมของมัน จึงได้นำมันมาฝังไว้ที่ไม่ไกลกับเจ้านายเก่า และก็ได้มีการสร่างอนุสาวรีย์ของเจ้าเพื่อนรัก 4 ขา ขนาดเท่าของจริงนี้ไว้บนน้ำพุด้านหน้าโบสถ
เรื่องราวสุดประทับใจนี้ได้ทำให้ผมมาเดินหาอนุสาวรีย์หมาน้อยในบริเวณโบสถ์ kirk ให้ได้ แต่แล้วเดินไปเดินมา หาทางมองไปที่แห่งใดทำไมหาไม่เจอสักที ดูจากในรูปแล้วก็น่าจะเห็นได้ชัดเจน หมาน้อยอยู่บนแท่นเสาสูง ไม่น่าจะหายาก ในใจก็นึกถึงอนุสาวรีย์ย่าเหลของรัชกาลที่ 6 นึกว่าจะทำนองเดียวกัน เดินวนไปมาจนหมดหนทางจนต้องพึ่งหาคนช่วย พอดีไปพบบาทหลวงท่านหนึ่งเดินมา ท่านจึงบอกว่า เจ้า Bobby ไม่ได้อยู่ในสุสานนี้ แต่ต้องออกไปข้างนอกตรงข้ามถนน
เอ๊ะ...ก็ผมเดินมาจากข้างนอกทำไมไม่เห็นเลย เดินไปหาอีก 2-3 ครั้ง แหงนคอมองแล้วก็ไม่มีเสาสูงรูปหมาขนยาวแบบในรูปแต่อย่างไร
คิดว่าเลิกหาไปแล้ว ช่างมันเถอะ กะว่าจะเริ่มไปเดินหาร้านกาแฟเล็กๆนั่งเล่นแทน
แต่พอแค่คิดว่าจะไปแล้วฉับพลันก็เจอจนได้
เจ้า Bobby อยู่ตรงหน้าจนเกือบจะเดินชนพอดี ราวกับว่าจู่ๆพอคิดถึงก็ลอยลงมา เลยได้รู้ว่าที่เราหาไม่เจอ เพราะมัวแต่มองแท่งเสาสูงที่คิดว่าจะเป็นอนุสาวรีย์ของมัน แต่อันที่จริงอนุสาวรีย์บ๊อบบี้น่ะทำไว้เล็กนิดเดียว (ก็จริงแหละเพราะหมาน้อยตัวนี้ก็ขนาดเล็กนิดเดียว และในหนังสือเขาก็บอกมาว่าสร้างไว้ขนาดเท่าตัวจริงอีกด้วย) และแท่นรางก็เตี้ย ๆ อยู่ต่ำกว่าระดับสายตาเราเสียอีก แต่ทว่าในใจเราคิดถึงย่าเหลไปเสี่ยแล้ว ก็เลยนึกภาพหมาตัวเบ้อเริ่มอยู่บนเสาสูง
ในขณะนี้ บ๊อบบี้ตั้งอยู่ในที่สวยงาม ด้านหลังมีร้านบาร์ที่ตั้งชื่อไว้ว่า Bobby ซี่งได้นำเอารูป Bobby ไปเป็นโลโก้ด้วย เป็นจุดขายที่ดีมากราวกับว่ามันเป็นนางกวักเรียกแขก อีกอย่างมีเรื่องเล่าว่าตอนแรก bobby หันหน้าให้ร้าน แต่แล้วก็มีการย้ายให้กลับหลังหันหน้าออกเพื่อที่ว่าเวลาถ่ายรูปก็จะได้ติดรูปร้านไปด้วย (ไม่รู้ว่าอีตาเจ้าของร้านมาแอบทำรึเปล่า)
เราก็พยายามจะถ่ายรูปคู่กับ Bobby แต่ด้วยท่าทางที่ทุลักทุเล คุณยายท่านหนึ่งมาเห็นเข้าก็เลยอาสาบอกว่าถ้าหลานอยากถ่ายรูปตัวเองคู่กับหมาไหมยายจะช่วยถ่ายให้ เราเองก็อยากได้รูปนี้เหมือนกันก็เลยขอบพระคุณ แล้วก็วิ่งโลดไปโพสต์ท่ากับเจ้าเพื่อนรักนั่นทันที แต่แล้วก็สงสารคุณยายมาก เพราะจัดหามุมแล้วยังย้อนแสง แล้วกล้องก็มีอาการรวน ๆ อยู่หลายครั้ง
อย่างไรก็ตามก็สามารถถ่ายได้ในที่สุด คุณยายยกนิ้วโป้งให้ บอกว่ารูปนี้สวยมากจริงๆหน้าตาดูดีไม่ย้อนแสงแล้ว เราเองก็ขอบพระคุณที่อุตส่าห์ฝ่าฟันอุปสรรค ได้รูปที่เราต้องการแล้ว
เดินไปสักพัก ก็เอารูปมาดูพบว่าก็สวยงามดี รูปถ่ายไม่ย้อนแสงแล้ว แต่รูปบ๊อบบี้ตัวหายไปครึ่งตัว โธ่ๆๆๆก็คุณยายมัวแต่สนใจเราจนลืมเจ้าบ๊อบบี้ไป จะเรียกมาถ่ายอีกรอบก็ไม่ทัน แต่ก็ช่างมันเถอะ
ทุกวันนี้ bobby เป็นผู้โด่งดังของโลกไปแล้ว มีการนำเรื่องราวไปทำเป็นหนังสือ เป็นภาพยนตร์ แต่ก็ต้องมีต้องมีการแต่งเติมเสริมเรื่องเป็นธรรมดา แถมมีเรื่องการผจญภัยของบ๊อบบี้ด้วย (ยังไม่ได้อ่านว่าจะผจญภัยแค่ไหนกับอะไร) ใครอยากจะได้อะไรเกี่ยวกับหมาน้อยนี้เป็นที่ระลึกก็ขอเชิญตามสะดวกเพราะมีของที่ระลึกเกี่ยวกับเพื่อนรักตัวน้อยนี้เต็มไปหมด เรียกว่าบ๊อบบี้ช่วยโปรโมตการท่องเที่ยวได้ดี ทำให้เศรษฐกิจของชาวเอดินบะระเติบโตไปพอควรทีเดียว
ขอบใจนะเจ้าหมาน้อย
โฆษณา