25 ต.ค. 2022 เวลา 18:03 • ข่าวรอบโลก
การปฏิเสธของทั้งจีนและสหรัฐอเมริกาต่อสถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างทั้งคู่ ทั้งสองฝ่ายย่อมมีเหตุผลของตน ฝ่ายสหรัฐฯ เองก็ไม่อยากให้คนมองว่าตนกำลังแบ่งพรรคแบ่งพวก (สร้างขั้วอำนาจในโลกหลังสงครามเย็น)
ทางฝั่งจีนเองก็เห็นได้ชัดว่าท่าทีต่อสหรัฐฯ กำลังพัฒนาไปในทิศทางของ ‘สงครามเย็น 2.0’ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การที่นายสี สามารถต่ออายุผู้นำของเขาในสมัยที่สามได้
ความร้าวฉานระหว่างความสัมพันธ์ของทั้งสองที่ทวีความรุนแรงขึ้นในช่วงที่ผ่านมา (Shutterstock)
แม้ทั้งสองฝ่ายจะยืนยันว่า ‘ไม่มีความพยายาม’ ในการเริ่มต้นสงครามเย็น 2.0 ทว่าความตึงเครียดระหว่างทั้งคู่นั้นได้ทวีความรุนแรงขึ้นมาโดยตลอด นับตั้งแต่การเริ่มต้นเปิดฉากรุกรานยูเครนของรัสเซียเมื่อเดือนกุมภาพันธ์
สี จิ้นผิง ผู้นำจีน ประณาม ‘ความคิดเรื่องสงครามเย็น’ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาในการประชุมใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีนครั้งที่ 20 ซึ่งโดยปกติแล้ว จีนมักแสดงท่าทีนี้เพื่อกล่าวหาสหรัฐฯ ในข้อกล่าวหาที่ว่าสหรัฐฯ กำลังพยายามรักษาสถานะความเป็น ‘มหาอำนาจ’ ของตน
มาดูทางฝั่งสหรัฐอเมริกา ในช่วงที่ผ่านมาเช่นกัน โจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐฯ ได้เปิดเผยถึงแผนความมั่นคงแห่งชาติ (National Security Strategy) ซึ่งในแผนการนั้นได้อธิบายว่าจีนเป็น ‘ความท้าทายที่ใหญ่หลวงทางภูมิรัฐศาสตร์’ อย่างไรก็ตามสหรัฐฯ ยังยืนยันว่าตนไม่มีท่าทีในการริเริ่มสงครามเย็น 2.0 หรือความขัดแย้งอื่น ๆ แต่อย่างใด
แผนความมั่นคงแห่งชาติฉบับล่าสุดซึ่งแสดงถึงท่าทีในการ ‘เผชิญหน้า’ กับจีน ดูไปดูมา ก็มีลักษณะคล้ายกับนโยบายการปิดล้อมของสหรัฐฯ ในช่วงสงครามเย็น (containment policy) ที่สหรัฐฯ มีต่อสหภาพโซเวียต จะแตกต่างก็เพียงว่า สหรัฐฯ ในครั้งนี้ ไม่ได้พยายามที่จะเปลี่ยนแปลงระบบการเมืองของจีนก็เท่านั้น
Jake Sullivan ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติแห่งทำเนียบขาว ขึ้นกล่าวเมื่อเดือนกันยายน (Reuters)
การที่สหรัฐฯ ไม่ยอมรับอย่างเต็มอก ว่าสงครามเย็น 2.0 กำลังจะเกิดขึ้นหรือเกิดขึ้นแล้ว อาจเป็นเพราะความกังวลว่าการยอมรับอย่างตรงไปตรงมา จะทำให้ตนถูกมองว่า ‘บังคับ’ ให้พันธมิตรและหุ้นส่วนต้องเลือกข้าง
ท่ามกลางความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่ทั้งคู่ต่างมีต่อกันอย่างเหนียวแน่น จีนเองก็มีท่าทีในการเตรียมความพร้อมเข้าสู่ ‘สงครามเย็น 2.0’ ซึ่งครั้งนี้จะเปลี่ยนผู้เล่นจากโซเวียตเป็นจีน โดยมีสหรัฐฯ เป็นผู้เล่นเก่า
การเตรียมความพร้อมของจีน สามารถสังเกตได้จากท่าทีของนายสี ผู้ซึ่งสามารถทำลายกรอบประเพณีเดิมด้วยการดำรงตำแหน่งผู้นำจีนต่อเนื่องถึงสมัยที่สามได้สำเร็จ โดยนายสีกล่าวกับคนของเขา (บรรดาเจ้าหน้าที่ระดับสูงของพรรคและผู้ใต้บังคับบัญชา) ว่าให้เพิ่มความพยายามเป็นสองเท่าสำหรับการ ‘สร้างจิตวิญญาณของนักสู้’ ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก เพื่อรับมือกับ ‘มรสุมระยะยาว’
หลังจากเหตุการณ์ 911 ซึ่งสหรัฐฯ เองก็วุ่นวายอยู่กับการต่อสู้กับขบวนการก่อการร้าย สหรัฐฯ ก็ไม่ได้ให้ความสนใจกับการเผชิญหน้ากับจีนเท่าไรนัก จนกระทั่งนโยบายที่เปลี่ยนไปในยุคของ โดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งส่งผลให้การเผชิญหน้ามีพลังมากขึ้น
ปัจจัยทั้งหมดนี้ชี้ไปที่การที่ตีตัวออกห่างจากสายสัมพันธ์ที่เป็นมิตรระหว่างทั้งสอง และพุ่งเป้าไปที่การเริ่มต้น ‘สงครามเย็น 2.0’ จะเหลือก็เพียงชื่อเรียกเหตุการณ์นี้อย่างเป็นทางการก็เท่านั้น ว่าจะใช้คำว่า ‘สงคราม’ หรือไม่
🔵🔴🟥🟦
<<< References >>>
โฆษณา