5 พ.ย. 2022 เวลา 03:00 • ประวัติศาสตร์
Jonestown "โจนส์ทาวน์" เมืองลัทธิฆ่าตัวตายหมู่
ในประวัติศาสตร์ของประเทศอเมริกา มีคนที่มีแนวคิดเรื่องสังคมยูโทเปียและเชื่อมั่นว่าสามารถสร้างขึ้นมาได้จริงอยู่คนหนึ่ง แต่ใครจะไปคิดว่าท้ายที่สุดแล้ว ดินแดนแสนสวยงามที่เขาที่สร้างขึ้นมานี้สุดท้ายจะกลายเป็น "ดินแดนฆ่าตัวตายหมู่" ที่โด่งดังที่สุดในประวัติศาตร์โลกขึ้นมา นามว่า โจนส์ทาวน์ Jonestown นั่นเอง
โจนส์ทาวน์นั้นถูกสร้างโดนอิงตามชื่อของผู้นำลัทธิ "จิม โจนส์" (Jim Jones) หรือชื่อเต็มว่า "เจมส์ วอร์เรน โจนส์" (James Warren Jones) ชายที่เกิดขึ้นในครอบครัวยากจนจากรัฐอินเดียน่า สหรัฐอเมริกา พ่อของเขาทิ้งครอบครัวไปตั้งแต่เขาอายุเพียง 12 ปี แต่การที่ครอบครัวไม่สมบูรณ์นั้นก็ไม่ได้ทำให้ชีวิตของเขาต้องเศร้าโศกสักเท่าไหร่นัก เพราะจิมนั้นเกิดมาพร้อมกับพรสวรรค์อย่าง วาทศิลป์ อันเป็นเลิศ ประกอบกับการเติบโตในชุมชนเคร่งศาสนา ทำให้เขาสามารถท่องจำ และเทศน์สั่งสอนไบเบิลได้ตั้งแต่อายุเพียง 12 ปี
จิมเริ่มทำการเผยแพร่คำสอนโดยเน้นเป้าหมายหลักเป็นกลุ่มคนผิวดำ ซึ่ง ณ ตอนนั้นสหรัฐอเมริกาก็อยู่ในช่วงที่เริ่มมีการรณรงค์ด้านความเท่าเทียม และการมีส่วนร่วมในการปกครองของคนผิวดำอยู่พอดี การมาได้อย่างถูกจังหวะเวลาประกอบกับเสน่ห์ในการเทศน์ของจิม จึงทำให้มีผู้ศรัทธาในตัวเขาเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมากอย่างรวดเร็ว จิมจึงได้ทำการก่อตั้ง โบสถ์มวลชน (Peoples Temple) ขึ้นมาในปี 1957
โบสถ์มวลชนของจิมนั้น ให้ความสำคัญในเรื่องของความเท่าเทียม ต่อต้านการเหยียดสีผิว และยังให้ความช่วยเหลือคนผิวดำอย่างเต็มที่ไม่ว่าจะเรื่องอาหาร ที่พัก และหางานให้ทำ แม้จิมจะถูกต่อต้านจากกลุ่มคนเหยียดสีผิวอย่างหนักหนาขนาดไหน เขาก็ไม่เคยยอมแพ้ และออกรณรงค์เพื่อการต่อต้านการแบ่งแยกผิวสี ทั้งเดินขบวน ออกรายการโทรทัศน์ ให้ความช่วยเหลือคนยากจน คนตกงาน คนมีคดีติดตัว ผู้ติดยาเสพติด ฯลฯ
โครงการหนึ่งที่จิม โจนส์ สร้างศรัทธาต่อสาวกมากที่สุด คือโครงการต่อต้านการฆ่าตัวตายในปี 1977 จิม โจนส์ และสาวกผู้ติดตามกว่า 500 เดินทางไปสะพานโกลเด้นเกท (Golden Gate) ที่เมืองซานฟรานซิสโก เพื่อต่อต้านการฆ่าตัวตาย ซึ่งสะพานแห่งนี้เป็นที่ที่ชาวอเมริกันนิยมมาฆ่าตัวตายมากที่สุด (ปัจจุบันทางการได้ทำการล้อมรั้วเพื่อป้องกันแล้ว) ทำให้จิมได้รับถ้วยรางวัล และเหรียญเชิดชูเกียรติต่อการทำงานรับใช้สังคมมากมาย
2
จุดเปลี่ยนของจิม โจนส์
แน่นอนว่าพอเป็นที่รู้จักมากขึ้น กลุ่มคนที่ต่อต้านเขาก็มีจำนวนมากขึ้นตามไปด้วย โดยเฉพาะกลุ่มคนเหยียดสีผิว จิมเริ่มจัดให้มีคนคุ้มกันอยู่ข้างตัวเกือบตลอด 24 ชั่วโมง
ปี 1962 ที่อเมริกาเกิดเหตุการณ์ The Cuban Missile Crisis เป็นช่วงเวลาที่สงครามเย็นอยู่ในช่วงตึงเครียดจนเกือบจะกลายเป็นสงครามปรมาณู จิมได้แสดงท่าทีหวาดกลัวต่อปรมาณูอย่างมาก และเริ่มอ้างว่าเขาได้รับคำบัญชาจากพระเจ้า ว่าไม่ช้าโลกจะล่มสลายจากนิวเคลียร์ มีเพียงผู้อยู่ในในบราซิล และแคลิฟอร์เนียเท่านั้นที่จะรอดชีวิต เขาจึงย้ายโบสถ์มาอยู่ที่แคลิฟอร์เนียแทน และต่อมาก็ย้ายไปยังซานฟรานซิสโกในปี 1967
จากตรงนี้เองที่จิมเริ่มมีท่าทีที่เปลี่ยนแปลงไป เริ่มปฎิเสธพระเจ้า มีอารมณ์รุนแรง และต้องใช้ยาระงับประสาท เริ่มการรักษาโรคด้วยปาฏิหาริย์ เช่นการรักษามะเร็งหรือรักษาคนตาบอด เริ่มชักชวนสาวกให้บริจาคสมบัติทั้งหมดแก่โบสถ์ และมาใช้ชีวิตในโบสถ์แทน สั่งให้สาวกเรียกเขาว่า "บิดาผู้ศักดิ์สิทธิ์"
แต่สิ่งที่ร้ายแรงที่สุดก็คือการเริ่มสร้างความศรัทธาในการฆ่าตัวตายหมู่ โดยการจัดกิจกรรมที่เรียกว่า "White Night" ซึ่งเป็นการซ้อมฆ่าตัวตายก่อนจะถึงวันจริง จิมจะคอยบอกประชาชนของเขาอยู่เสมอว่าผู้คนในสหรัฐอเมริกาจะจับตัวพวกเรา (คนผิวสี) ไปฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ใครที่แตกต่างจะต้องถูกฆ่า ดังนั้นเราจะต้องไม่โดนอย่างนั้นด้วยการชิงฆ่าตัวตายไปเสียก่อน
หลังจากมีผู้ศรัทธาเข้าร่วมกับลัทธิมากขึ้นเรื่อยๆ เริ่มมีเส้นสายกับบุคคลสำคัญ และนักการเมืองมากขึ้น จิมจึงริเริ่มการสร้าง "ยูโทเปีย" หรือโลกในอุดมคติที่เขาใฝ่ฝันขึ้น โดยตั้งชื่อว่าโจนส์ทาวน์ โดยเข้าไปซื้อที่ดินในประเทศกายอานา (Guyana) เนื้อที่กว่า 300 เอเคอร์ ด้วยเงินนับล้านดอลล่าห์ และย้ายสาวกทุกคนมาอยู่ที่นี่ด้วยกัน
ประชาชนของโจนส์ทาวน์นั้นส่วนมากเป็นคนผิวสี มีพื้นเพที่แตกต่างกันแต่ทุกคนล้วนมาเพราะคำสอนของจิมทั้งนั้น ที่นี่มีกฎเข้มงวดหลายๆ อย่างที่จิมตั้งขึ้นมา อาทิเช่น
1. สาวกชายหญิงถูกแยกออกไปอยู่คนละเขต เด็กถูกกันไปอยู่อีกที่หนึ่ง
2. ห้ามคนรักกัน ห้ามมีเพศสัมพันธ์กัน
3. สมาชิกทุกคนถูกใช้ให้ทำงานหนักกลางทุ่ง ใครที่อู้งานหรือไม่ทำงานก็จะได้รับ การลงโทษ
4. มีการประกาศเสียงตามสายซ้ำไปซ้ำมาอยู่ทุกวัน ซึ่งก็มักเป็นการเทศน์ของจิมเอง รวมไปถึงการเรียกให้ทุกคนมาซักซ้อมการ "ฆ่าตัวตายหมู่" ว่ากันว่ามีการซ้อมกันมากกว่า 43 ครั้งเลยทีเดียว
แน่นอนว่าการปกครองที่ไม่ต่างจากระบอบเผด็จการเช่นนี้ จะทำให้มีอดีตสาวกมากมายหลบหนีออกมาขอความช่วยเหลือจากทางสถานฑูต และออกมาแฉเบื้องหลังของลัทธินี้มากขึ้น จึงเป็นเหตุให้ สส.ลีโอ ไรอัน ( Leo Ryan) จากรัฐแคลิฟอร์เนียยื่นจดหมายขอไปทำการตรวจโจนส์ทาวน์แก่จิมในปี 1978 เนื่องจากได้รับคำร้องเรียนจากอดีตสาวก และครอบครัวของสาวกที่ยังอยู่ที่นั่น
สส.ลีโอ ไรอัน ( Leo Ryan)
วันที่ 14 พฤศจิกายน 1978 สส.ไรอันพร้อมกับนักข่าว อดีตสาวก และครอบครัวของสาวกจำนวน 19 คนเดินทางไปยังประเทศกายอานาเพื่อเข้าตรวจโจนส์ทาวน์ ในช่วงวันแรกๆ การตรวจสอบเป็นไปอย่างราบรื่น ไม่พบว่ามีใครถูกบังคับให้ทำงาน เด็กๆ วิ่งเล่นกันอย่างร่าเริง ตอนเย็นก็มีการจัดเลี้ยงสังสรรค์โดยใช้วัตถุดิบจากไร่ ทางเจ้าหน้าที่เกือบจะเชื่อว่าที่นี่ไม่มีอะไรจริงๆ
จนกระทั่งวันที่ 4 มีนักข่าวคนหนึ่งไปพบคนแก่ และคนเจ็บถูกจับนอนเรียงกันบนเตียงเก่าๆ จนแน่นในบ้านหลังหนึ่ง ในห้องเต็มไปด้วยกลิ่นเหม็น และแมลงวัน เมื่อพยายามจะถ่ายรูปก็ถูกสาวกมาห้ามปรามไว้
จนกระทั่งวันที่ 18 พฤศจิกายน ไรอันเดินทางออกจากโจนส์ทาวน์ตามกำหนดการ และพาสาวกจำนวน 16 คนซึ่งต้องการถอนตัวกลับไปด้วย แต่เมื่อทั้งหมดกำลังจะขึ้นเครื่องบิน ได้ถูกกลุ่มสาวกติดอาวุธเข้าโจมตีสังหาร เป็นผลให้ สส.ไรอัน และผู้ติดตามรวม 5 คนเสียชีวิต แต่ทว่ามีนักบินผู้หนึ่งได้พบเห็นเหตุการณ์จึงรีบแจ้งไปยังวิทยุการบินทำให้รัฐบาลสหรัฐรับรู้ และส่งกองกำลังไปยังโจนส์ทาวน์เพื่อปราบปรามลัทธินอกรีตของจิม โจนส์
เวลา 5 โมงเย็นวันเดียวกันนั้น 40 นาทีหลังการสังหารสส. และผู้ติดตาม จิมจึงประกาศเรียกรวมสาวกทั้งหมด มาทำสิ่งที่ซักซ้อมเอาไว้ให้เป็นจริงเสียที
สาวกทั้งหมดกว่า 1100 คน เข้าร่วมในพิธีกรรม "ไวท์ไนท์" โดยนำเอาสารพิษไซยาไนด์ออกมาผสมกับน้ำผลไม้เพื่อจะได้ดื่มง่าย และเรียงลำดับโดยเริ่มจากเด็กเล็กก่อน เพื่อไม่ให้เกิดการร้องไห้จนเสียพิธีการ และให้ผู้ปกครองเป็นผู้ป้อนยาพิษด้วยตนเอง จากนั้นก็ให้กลุ่มผู้ใหญ่เดินต่อแถวดื่มยา ไล่เรียงต่อๆ กันไป แน่นอนว่าใครที่ไม่เห็นด้วยก็จะถูกยัดเยียดความตายให้ด้วยกระสุนปืนอยู่ดี
4
แน่นอนว่ากว่าความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่จะมาถึง ก็สายไปเสียแล้ว ทั่วทั้งโจนส์ทาวน์เต็มไปด้วยร่างไร้วิญญาณกว่า 900 ศพทั้งใน และนอกอาคาร มีเพียง 167 คนที่รอดชีวิตมาได้ 1 ใน 3 ของร่างทั้งหมด หรือประมาณ 300 ศพเป็นเด็กที่อายุต่ำกว่า 18 ปี บางร่างสวมกอดกัน และจับมือกันเอาไว้ในวาระสุดท้าย เป็นภาพที่ชวนให้สังเวชใจเป็นอย่างยิ่ง
ส่วนร่างของจิม โจนส์นั้นถูกพบบนแท่นเวที ที่ศีรษะด้านขวามีรอยกระสุนเจาะทะลุกระโหลก ซึ่งไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นการฆ่าตัวตาย หรือถูกยิงโดยฝีมือสาวก และผลการชันสูตรก็พบว่าในตัวเขามีสารเสพติดอยู่เป็นจำนวนมากเช่นกัน
ภายหลังมีการนำเทปซึ่งบันทึกคืนสุดท้ายของโบสถ์มวลชนมาออกอากาศ "การฆ่าตัวตายนี้ไม่ใช่ความพ่ายแพ้ นี่คือการต่อต้านอำนาจรัฐ เป็นการฆ่าตัวตายเพื่อการปฏิวัติ"
แทบไม่น่าเชื่อว่าด้วยแรงศรัทธาอันแรงกล้าที่มีต่อบุคคลเดียว จะทำให้คนนับพันพร้อมใจกันปลิดชีวิตตัวเองได้ขนาดนี้ จากลัทธิแห่งความหวังกลับตาลปัตรสู่ลัทธิแห่งความตาย กลายเป็นการฆ่าตัวตายหมู่ครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ยุคปัจจุบัน ที่บ้างก็ว่าหากจะเรียกให้ถูกแล้ว นี่น่าจะเป็น "การฆาตกรรมหมู่" เสียมากกว่า
ขอบคุณมากครับที่อ่านจบ :)
ขอบคุณข้อมูลจาก : https://travel.trueid.net/detail/p7gMwwzkM4ev
โฆษณา