5 พ.ย. 2022 เวลา 08:52
ฎีกาที่ 1793/2564
โจทก์เคยฟ้องจำเลยทั้งสองต่อศาลแขวงสลาตามสำเนาคำฟ้องเอกสาหมาย ล.4 และศาลแขวงสงขลาพิพากษายกฟ้องตามสำเนาคำพิพากษาเอกสารหมาย ล.1 คดีถึงที่สุดแล้วตามหนังสือรับรองคดีถึงที่สุดเอกสารหมาย ล.2 โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองในข้อหาหรือฐานความผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 โดยกล่าวอ้างในฟ้องว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันออกเช็คพิพาท...สั่งจ่ายเงิน 3,100,000 บาท
เพื่อชำระค่าที่ดินส่วนที่เหลือตามสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาท...ให้แก่โจทก์ดังที่โจทก์กล่าวอ้างในคำฟ้องคดีนี้ แต่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน ซึ่งศาลแขวงสงขลานับฟังข้อเท็จจริงเป็นยุติว่า โจทกำสัญญาซื้อขายที่ดินพาทในฐานะผู้รับมอบอำนาจของนางสุนันทา การที่โจทก์รับเช็คพิพาทจากจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้รับมอบอำนาจซึ่งเป็นตัวแทนของนางสุนันทา ไม่มีผลทำให้โจทก์มีฐานเป็นผู้ทรงเช็คพิพาทตามกฎหมายแต่อย่างใด โจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหายในความผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค
โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องและพิพากษายกฟ้อง แม้ตามคำฟ้องของโจทก์ในคดีนี้จะมิใช่เป็นการฟ้องคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาในข้อหาหรือฐานความผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 ที่โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองต่อศาลแขวงสงขลา โดยในการพิพากษาคดีส่วนแพ่ง ศาลหาจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 แต่เมื่อศาลแขวงสงขลารับฟังข้อเท็จจริงเป็นยุติว่า
โจทก์ทำสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทตามคำฟ้องในฐานะผู้รับมอบอำนาจซึ่งเป็นตัวแทนของนางสุนันทา และคดีถึงที่สุดไปแล้ว ย่อมเป็นข้อบ่งชี้ให้เห็นว่าโจทก์มิใช่เป็นเจ้าของผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทตามสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทตามคำฟ้อง คำพิพากษาของศาลแขวงสงขลาในคดีอาญาย่อมมีผลบังคับแก่โจทก์ ซึ่งเป็นคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 วรรคหนึ่ง ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15
การที่โจทก์กล่าวอ้างในคำฟ้องว่าโจทก์เป็นเจ้าของผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท ย่อมเป็นการกล่าวอ้างข้อเท็จจริงให้แตกต่างไปจากข้อเท็จจริงที่ศาลแขวงสงขลารับฟังเป็นยุติแล้วว่า โจทก์ทำสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทในฐานะผู้รับมอบอำนาจจากนางสุนันทา เพื่ออาศัยเป็นฐานที่ตั้งแห่งสิทธิเรียกร้องให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระหนี้ตามสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทตามคำฟ้องโจทก์ย่อมไม่มีอำนาจฟ้อง
ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย และด้วยเหตุผลดังได้วินิจฉัยมา ฎีกาในข้ออื่นของจำเลยทั้งสองและโจทก์จึงไม่อาจหักล้างเป็นอย่างอื่นหรือเปลี่ยนแปลงผลแห่งคดีไปได้ ไม่เป็นสาระอันควรได้รับการวินิจฉัย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 252

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา