16 พ.ย. 2022 เวลา 01:07 • ไลฟ์สไตล์
“ไม่ได้ปฏิบัติเพื่อจะรู้ เพื่อจะเห็น
เพื่อจะเป็นอย่างนั้น เพื่อจะได้อย่างนี้
แต่ปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์”
“ … ตลอดเวลาที่ผ่านมา มันจะมี บางทีก็มีครูบาอาจารย์บางองค์ บางวัด ส่งลูกศิษย์มาให้หลวงพ่อแก้ให้ ภาวนาแล้วผิดมันแก้ยาก บางคนไม่ใช่จะแก้ง่ายๆ ภาวนาเพี้ยนๆ แบบผิดปกติมาเลย ครูบาอาจารย์เอาไม่ไหวก็ส่งต่อ หลวงพ่อก็อยากส่งต่อให้จิตแพทย์
พวกที่เราเรียนโดยตรงกับหลวงพ่อ ไม่ค่อยมี ไม่เคยเห็นที่ว่าภาวนาแล้วเพี้ยน
ที่ภาวนาแล้วเพี้ยน เพราะมันภาวนาไม่ถูก เริ่มตั้งแต่วัตถุประสงค์ที่มาภาวนา ถ้าเราภาวนาโดยมุ่งลดละกิเลส อันนี้วัตถุประสงค์เราถูก
เพื่อความบริสุทธิ์หลุดพ้น ลดละกิเลสได้
เราก็จิตใจเราก็บริสุทธิ์มากขึ้นๆ
ในที่สุดก็หลุดพ้นจากกองทุกข์
ฉะนั้นถ้าเราไม่อยากภาวนาผิด ไม่อยากภาวนาจนเพี้ยน เป็นโรคจิต เราต้องถูกมาตั้งแต่วัตถุประสงค์ หรือเป้าหมายของการปฏิบัติเสียก่อน
ไม่ได้ปฏิบัติเพื่อจะรู้ เพื่อจะเห็น
เพื่อจะเป็นอย่างนั้น เพื่อจะได้อย่างนี้
แต่ปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์
พ้นทุกข์ได้ก็ต้องลดละกิเลสได้
ตัวที่ทำให้จิตใจเราเป็นทุกข์ ก็คือตัวกิเลสนั่นเอง
ถ้าตั้งเป้าผิด เช่น อยากมีฤทธิ์ อยากมีฤทธิ์อย่างโน้นอย่างนี้ อยากแตกฉานมากๆ มันไม่ใช่ทาง ไม่ใช่สิ่งที่พระพุทธเจ้าต้องการ ทั้งพระ ทั้งโยม ก็ต้องรู้ว่าเราปฏิบัติธรรมเพื่อความพ้นทุกข์
มีตั้งแต่ครั้งพุทธกาลแล้ว
ปฏิบัติธรรมโดยไม่รู้วัตถุประสงค์ที่แท้จริง
พระพุทธเจ้าท่านก็มีคำเตือนออกมา อย่างมาบวชเป็นพระ ท่านบอกว่ามาบวชเป็นพระ ไม่ใช่เพื่อลาภสักการะ ไม่ใช่บวชเป็นอาชีพ มาบวชเป็นพระไม่ใช่เพื่อความมีชื่อเสียง อยากเด่น อยากดัง ไม่ใช่วัตถุประสงค์ มาบวชไม่ใช่เพื่อว่าจะมีฤทธิ์มีเดช
มาบวชไม่ใช่เพื่อว่าจะถือศีลได้ดี
ศีลต้องถืออยู่แล้ว ต้องรักษาอยู่แล้ว
แต่มันไม่ใช่เป้าหมาย ไม่ใช่วัตถุประสงค์
มันเป็นเป้าหมายแรก ต้องมีศีล
มาบวชก็ไม่ใช่เพื่อจะทำสมาธิ สมาธิมันก็จำเป็น
เป็นเป้าหมายที่สอง
แล้วท่านก็บอกมาบวชไม่ใช่เพื่อความมีปัญญา
ปัญญามันก็เป็นของจำเป็น เป็นเป้าหมายที่สาม
แต่ตัววัตถุประสงค์สุดท้ายจริงๆ
ตัว Objective คือความพ้นทุกข์
จะพ้นทุกข์ได้ก็ต้องพัฒนาศีล สมาธิ ปัญญา ขึ้นมา
เป็นเป้าหมาย เป็นหมุดหมาย
เรียกว่าเป็น Goal ที่จะก้าวไปแต่ละจุดๆ
ต้องเห็นสภาวะถึงจะพัฒนาจิตใจได้
บางคนอยากภาวนาแต่ไม่รู้ภาวนาเพื่ออะไร มันก็เลอะเทอะไป อย่างบางคนไม่ทำสมาธิเลย คิดพิจารณาธรรมะทั้งวันทั้งคืน โดยจิตไม่เคยมีสมาธิ ไม่เคยได้หยุดพัก จิตจะฟุ้งซ่านในธรรมะ
อย่างเมื่อวันจันทร์ วันอังคารอะไรนี้ มีผู้ชายคนหนึ่งมา บอกครูบาอาจารย์ส่งมาจากทางเหนือ หลวงพ่อไม่รู้จักสำนักท่านหรอก แต่ท่านบอกให้มาเรียนกับหลวงพ่อปราโมทย์
หลวงพ่อปราโมทย์เห็นก็ตะลึงเหมือนกันว่า โอ้ เป็นหนัก คือใจมันพลุ่งพล่าน มันอยากพูดธรรมะตลอดเวลา มันฟุ้งๆๆ ไป เบรกอย่างไรก็ไม่หยุด
บอกฟังธรรมะ อ่านธรรมะทั้งวันทั้งคืนเลย ทุ่มเทชีวิตกับการศึกษาธรรมะ
อย่างพอมาเจอ YouTube ที่หลวงพ่อเทศน์ ก็ฟังทั้งวันทั้งคืน ฟังแล้วก็พิจารณา
พิจารณาของแกก็คือเอามาคิดนั่นล่ะ แล้วก็สับสนไปหมดเลย จิตอะไรเป็นดวงๆ ทำไมจิตไหลไปไหลมาอะไรนี่ คิดเอาทั้งหมดเลย ฟังแล้วคิดเอา ไม่ได้เห็นสภาวะ ยิ่งคิดก็ยิ่งสับสนวุ่นวาย
หลวงพ่อถึงบอกแกว่า “ธรรมะเรียนไม่ได้ด้วยการคิดเอา เรียนไม่ได้ด้วยการอ่าน ด้วยการฟัง”
วิธีที่จะเรียนธรรมะได้อย่างแท้จริง ก็ด้วยการเห็นเท่านั้น ต้องเห็นสภาวะให้ได้
สิ่งที่เรียกว่าสภาวะก็มี 2 อัน คือรูปธรรมกับนามธรรม
ที่จริงสภาวธรรมยังมีอีกอย่างหนึ่งคือนิพพาน แต่พวกเราเป็นปุถุชน ไม่เห็น
สิ่งที่พวกเราเห็นได้คือรูปธรรมกับนามธรรม ต้องเห็นเอา ไม่ใช่คิดเอา คิดว่าจิตมันเป็นอย่างนั้น จิตมันเป็นอย่างนี้ จิตทำงานอย่างนั้นอย่างนี้
บางคนก็เรียนตำรามามาก เรียนตำรับตำรา ตำราสอนไว้เยอะแยะ จิตมี 89 ดวง อย่างละเอียดแยกได้ 121 ดวง เจตสิกมี 52 ประกอบด้วยเวทนา 1 สัญญา 1 อีก 50 เป็นตัวสังขาร รูปมี 28 รูป
โอ๊ย ท่องได้หมด เอาไปสอบก็สอบได้ แต่ถ้าไม่ได้เห็นสภาวะ ยังไม่ใช่การปฏิบัติจริง มันเป็นสุตตมยปัญญา หรือจินตามยปัญญา ปัญญาที่เกิดจากการอ่าน การฟัง แล้วก็สำคัญมั่นหมายว่ารู้แล้วๆ
ธรรมะถ้าไม่เห็นสภาวะมันรู้ไม่ได้
ต้องเห็นสภาวะถึงจะพัฒนาจิตใจได้
เพราะฉะนั้นอ่านเท่าไร มันก็เป็นปัญญาของพระพุทธเจ้า
เป็นปัญญาของพระสาวกรุ่นในพระไตรปิฎก
หรือเป็นปัญญาของสาวกรุ่นหลังๆ ลงมา
ยิ่งรุ่นท้ายๆ เท่าไร ยิ่งต้องฟังหูไว้หู
เราไม่รู้ว่าคำสอนไหนถูก คำสอนไหนผิด
บางทีเรียนตำราเยอะๆ ก็คิดอะไรต่ออะไรขึ้นมา ซับซ้อนมากขึ้นๆ เอาไว้เป็นอภิปรัชญาได้ เป็น Metaphysics เอาไว้ถกเถียงอะไรอย่างนี้ ก็ดี แต่ไม่ล้างกิเลสเพราะไม่ได้เห็นสภาวะ หรือจินตามยปัญญา คือการคิดเอาๆ
คิดธรรมะก็ไม่ได้เห็นสภาวะ ก็ไม่ล้างกิเลสได้จริงหรอก
อย่างมากการคิดพิจารณาธรรมะ สิ่งที่เราจะได้คือสมาธิ
เวลาจิตใจเราวุ่นวาย บางทีเรายกหัวข้อธรรมะขึ้นมาสักอันหนึ่ง มาคิดพิจารณาลงไป พอมันเข้าใจ จิตมันมีความสุขขึ้นมา มีความสงบ ได้สมาธิขึ้นมา แต่มันเป็นสมาธิธรรมดาๆ
หลวงพ่อบอกแล้วว่า ถ้าจะทำให้เราเข้าใจธรรมะได้อย่างแท้จริง ก้าวไปสู่ความบริสุทธิ์หลุดพ้นได้จริง พัฒนาศีล สมาธิ ปัญญา ได้จริง ต้องเห็นสภาวะเอา
สิ่งที่เรียกว่าสภาวะ มีรูปธรรมกับนามธรรม อันนี้ที่เราเห็นได้
สภาวะของนิพพานนั้นปุถุชนไม่เห็น
เพราะฉะนั้นอย่างปุถุชนอย่ามาพยากรณ์ว่า
องค์นี้หรือคนนี้ได้ธรรมะขั้นนั้นขั้นนี้
ฟังเล่นๆ สนุกๆ มันเป็นไปไม่ได้
ปุถุชนมาพยากรณ์พระอริยะ มันเป็นไปไม่ได้ …”
.
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
12 พฤศจิกายน 2565
อ่านธรรมบรรยายฉบับเต็มได้ที่ :
Photo by : Unsplash

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา