17 พ.ย. 2022 เวลา 03:24 • ไลฟ์สไตล์
“ถ้าไม่รู้คือเผลอ
ถ้าถลำลงไปจ้องคือเพ่ง
ตัวนี้ล่ะที่ทำให้เราไม่เข้าสู่ทางสายกลางสักที”
“ … สติปัฏฐานเบื้องต้นจะได้สติ
วิธีฝึกทำอย่างไร ท่านสอนให้เรามารู้กาย
รู้เวทนาคือความรู้สึกสุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์
รู้สึกถึงจิตตสังขาร ความปรุงดีปรุงชั่วทั้งหลาย
แล้วก็รู้จักธัมมานุปัสสนา อันนี้เข้าใจยากนิดหนึ่ง
มันกว้างขวางที่สุดครอบคลุมธรรมะตั้งแต่อกุศล
ครอบคลุมธรรมะที่เป็นกุศล
ครอบคลุมถึงขันธ์ ธาตุอายตนะ
ครอบคลุมถึงกระบวนการที่จิตปรุงแต่งความทุกข์ขึ้นมา
แล้วก็ครอบคลุมถึงกระบวนการที่จิตดับความทุกข์ลงไป
มันกว้างขวาง
เบื้องต้นเรายังไม่ต้องเรียนถึงขนาดนั้น
พวกเราเรียนสติปัฏฐานที่ง่ายกว่านั้น
เรียนเรื่องกาย เรื่องเวทนา เรื่องจิต
พวกนี้ง่ายๆ ไม่มีอะไรยุ่งยากหรอก
เรียนอันใดอันหนึ่งๆ ก็พอแล้วล่ะ
อย่างเราเรียนเรื่องกาย
เบื้องต้นเราก็จะได้สติ เบื้องปลายเราก็จะได้ปัญญา
เราเรียนเรื่องเวทนา สติปัฏฐาน
เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน
เบื้องต้นเราก็ได้สติ เบื้องปลายเราก็ได้ปัญญาเหมือนกัน
เรียนเรื่องจิตตานุปัสสนา
เบื้องต้นก็ได้สติ เบื้องปลายก็ได้ปัญญา
ธัมมานุปัสสนาก็แบบเดียวกัน
เบื้องต้นก็มีสติ เบื้องปลายก็มีปัญญา
แต่ว่าไม่ว่าเราจะเริ่มต้นอย่างไร
สุดท้ายทุกคนมันจะไปลงที่ธัมมานุปัสสนาเหมือนกันหมดล่ะ
คือการรู้แจ้งในอริยสัจ
อริยสัจจะอยู่ในธัมมานุปัสสนา
บรรพสุดท้าย บทเรียนสุดท้ายเลย
ทีนี้คนทั่วไปอินทรีย์ไม่แก่กล้าพอ ท่านก็สอนลดระดับลงมาเรียนเรื่องกาย เรื่องเวทนา เรื่องจิตไปก่อน
แล้วพอถึงธัมมานุปัสสนา ไม่ใช่เรียนเรื่องกิเลสตรงๆ แล้ว เรียนสิ่งที่ซ่อนเร้นอยู่เบื้องหลังกิเลสอีกทีหนึ่งคือพวกนิวรณ์ เป็นกิเลสอย่างละเอียดที่ซ่อนเร้นอยู่ในจิตใจของเรา
พวกนี้มันเกิดเพราะอะไร มันดับเพราะอะไร
มันไม่เกิดเพราะอะไร จะเรียนลงไปอย่างนี้
กุศลในธัมมานุปัสสนา เรียนเรื่องโพชฌงค์ 7 มีสติแต่ไม่ใช่สติธรรมดา ถ้าสติธรรมดายังไม่ใช่สติสัมโพชฌงค์
สติสัมโพชฌงค์ต่างกับสติธรรมดาตรงที่ว่ามันเป็นการเจริญสติเพื่อความบริสุทธิ์หลุดพ้น ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ก็เป็นการทำวิปัสสนาเพื่อความบริสุทธิ์หลุดพ้น มีวิริยะก็ไม่ใช่ขยันหมั่นเพียรอะไรแต่มีเป้าหมายเพื่อความบริสุทธิ์หลุดพ้น
ในตัวโพชฌงค์ 7 ไม่ใช่ความดีเฉยๆ
แต่เป็นความดีที่มีเป้าหมายชัดเจนว่าทำไปเพื่อความบริสุทธิ์หลุดพ้น
มันลึกลงไปอีกชั้นหนึ่ง มันเข้าใจยาก
ถัดจากนั้นก็เรื่องขันธ์ เรื่องธาตุ เรื่องอายตนะแล้วก็เรื่องปฏิจจสมุปบาท หรืออริยสัจเป็นเรื่องสุดท้าย
แต่ไม่ว่าเริ่มต้นอย่างไร สุดท้ายทุกคนจะต้องมาลงที่อริยสัจ
ตราบใดที่ไม่แจ่มแจ้งอริยสัจ เราก็ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดไม่เลิก
แต่อยู่ๆ จะมาเรียนรู้อริยสัจบางคนมันทำไม่ไหว
พระพุทธเจ้าท่านก็มีพระปัญญามาก ท่านเป็นภควโต ท่านรู้จักจำแนกแจกธรรม จำแนกธรรมะออกมามากมายให้เหมาะกับจริตนิสัย บุญวาสนาบารมีของสัตว์โลกทั้งหลายซึ่งมันไม่เท่าเทียมกัน
ท่านแบ่งวิธีปฏิบัติออกมาเป็นกาย เวทนา จิต ธรรม
ธรรมนี่พวกที่ปัญญาเขาแก่กล้าแล้ว
การเจริญสติปัฏฐานทำอย่างไร อันแรกเลยเราต้องมีวิหารธรรม วิหารธรรมคือเครื่องอยู่ของจิต เครื่องระลึกของสติ
หลวงพ่อพุธท่านชอบพูดเรื่อยๆ “การจะปฏิบัติธรรมต้องมีเครื่องรู้ของจิต เครื่องระลึกของสติ”
อันนั้นก็คือตัววิหารธรรมนั่นเอง
วิหารคือที่อยู่ วิหาร อย่างวิหารเป็นที่ตั้งพระพุทธรูป
เป็นที่อยู่ของพระพุทธรูปอะไรอย่างนี้
วิหารธรรมก็คือธรรมะที่จะเป็นเครื่องอยู่ของจิต
อย่างเริ่มต้นง่ายๆ เลย กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน ท่านบอกให้ใช้กายในกายเป็นวิหารธรรม
คำว่ากายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม
ทำไมต้องมีในๆๆ อย่างนี้ด้วย
เราเรียนเรื่องกาย เราไม่ได้เรียนทั้งหมดของกาย
เราเรียนบางส่วนของกายเท่านั้น
พระพุทธเจ้าสอนเราไม่ได้ผิดกับงานวิจัยสักอย่างเดียวเลย ท่านถึงใช้คำว่า ธรรมวิจัย คนรุ่นหลังเอาคำว่า วิจัยมาใช้ ธรรมวิจัย
อย่างเราเรียนเรื่องกาย เราไม่ต้องเรียนกายทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ได้ต้องเรียนกายวิภาคแบบพวกหมอ กระดูกมีเท่านั้น หลอดเลือดมีเท่านี้ เซลล์โน้นเซลล์นี้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ไม่จำเป็นต้องเรียนขนาดนั้น
เรียนสุ่มตัวอย่างของกาย เช่น ท่านสอน เบื้องต้นเลยท่านสอนเรื่องอานาปนสติ อานาปนสติที่ท่านสอน ถ้าเป็นเรื่องของสมถกรรมฐาน ท่านก็สอนเต็มยศเลย 16 ขั้น ถ้าอยู่ในสติปัฏฐานท่านสอนแค่ 4 ขั้นเท่านั้นเอง
สอนเรื่องลมหายใจ ท่านไม่ได้บอกให้เราไปดูลมหายใจ ท่านบอกว่า “ภิกษุทั้งหลาย ให้เธอคู้บัลลังก์”
คู้บัลลังก์ก็คือนั่งขัดสมาธิ ทำไมต้องนั่งขัดสมาธิ
เพราะคนอินเดียยุคโน้นส่วนใหญ่ไม่ได้มีเก้าอี้นั่ง
ถ้าท่านสอนธรรมะที่เมืองจีน ท่านก็บอก ภิกษุทั้งหลายนั่งเก้าอี้ตัวตรงๆ ท่านจะต้องปรับธรรมะให้เข้ากับภูมิประเทศ บุคคล วัฒนธรรม นี่ความเก่ง ถึงจะเป็นภควโตได้
ไม่ใช่ทุกคนจะต้องนั่งขัดสมาธิ บางคนมันนั่งไม่ได้ หรือคนขาด้วนนั่งขัดสมาธิ ไม่มีขาจะขัดอย่างนี้ภาวนาไม่ได้หรือ ไม่ใช่
ท่านบอก “ภิกษุทั้งหลาย ให้เธอคู้บัลลังก์” คู้บัลลังก์คือนั่งขัดสมาธิ เพราะคนอินเดียส่วนใหญ่นักบวชเขาก็นั่งพื้น นั่งพื้นนั่งพับเพียบนั่งได้ไม่ทน นั่งที่ทนที่สุดคือนั่งขัดสมาธิ ฉะนั้นนั่งขัดสมาธิ
“ภิกษุทั้งหลาย ให้คู้บัลลังก์ ตั้งกายตรง”
ตั้งกายตรงไม่ใช่ตรงเด๊ะจนกระทั่งเกร็งไปทั้งตัว ไม่ใช่ ไม่ใช่ละครไทยโบราณ ยืดให้สง่างาม ยืดไปยืดมา ปวดหลัง ภาวนาไม่ไหว
นั่งตัวตรงๆ หมายถึงไม่คดไม่งอ ไม่ใช่เอียงซ้ายเอียงขวา ซุกไปซุกมา มันขาดสติ นั่งตัวให้มันสบายๆ ตัวตรงๆ
ดำรงสติเฉพาะหน้า คืออยู่กับปัจจุบัน
คู้บัลลังก์ ตั้งกายตรง ประโยคต่อไปสำคัญ ดำรงสติเฉพาะหน้า
บางคนก็แปลความ ดำรงสติเฉพาะหน้าคือเอาสติไว้ที่หน้า ไม่ใช่
เฉพาะหน้าคืออยู่กับปัจจุบัน
เอาสติอยู่กับปัจจุบันหมายถึง อะไรปรากฏขึ้นในปัจจุบัน สติก็ระลึกอันนั้น
ตั้งกายตรง คู้บัลลังก์ ตั้งกายตรง ดำรงสติเฉพาะหน้า
หายใจออกยาว รู้ว่าหายใจออกยาว
ท่านไม่ได้บอกว่ารู้ลมหายใจ
ท่านบอกว่าหายใจออกยาว รู้ว่าหายใจออกยาว
ใครหายใจออกยาว ร่างกายนี้หายใจออกยาว
ท่านถึงเรียกกายานุปัสสนา
เห็นร่างกายนี้ล่ะมันหายใจออกยาว เห็นร่างกายนี้หายใจเข้ายาว
ไม่ได้ให้ไปเพ่งลม ถ้าเพ่งลมจะกลายเป็นกสิณลม
มันจะไม่ได้เดินเข้าแนวของสติปัฏฐาน
สติปัฏฐานทำไปเพื่อความมีสติ ทำไปเพื่อความมีปัญญา
ถ้าลงไปเล่นกสิณลม มันจะทำไปเพื่ออัปปนาสมาธิเป็นอีกแบบหนึ่ง
คนละแบบ คนละสไตล์
ฉะนั้นเวลาเราเจริญสติปัฏฐาน
ถ้าเราใช้ลมหายใจ เราดูร่างกายหายใจ
ร่างกายหายใจออก รู้สึก ร่างกายหายใจเข้า รู้สึก
ไม่ใช่ไปเพ่งที่ลมหายใจ
ที่หลวงพ่อย้ำนักย้ำหนาตั้งแต่ก่อนจะบวช หลวงพ่อก็สอนมาตลอดเลยว่าเวลาเราจะภาวนา ไม่เผลอกับไม่เพ่ง
เผลอนี่ลืมเนื้อลืมตัว
เพ่งก็คือจิตมันถลำลงไปจมไปแช่อยู่กับอารมณ์กรรมฐาน
อย่างจะรู้ลมหายใจ จิตก็ไหลไปจมอยู่กับลมหายใจ อันนี้จิตจะไม่ตั้งมั่นขึ้นมา จิตมันจะลงไปนอนแช่นิ่งๆ อยู่ที่ลม
เพราะฉะนั้นท่านไม่ได้บอกให้ดูลม ท่านบอกว่า “ภิกษุทั้งหลาย คู้บัลลังก์ ตั้งกายตรง ดำรงสติเฉพาะหน้า หายใจออกยาว รู้ว่าหายใจออกยาว หายใจเข้ายาว รู้ว่าหายใจเข้ายาว”
อย่างเรานั่งอยู่ตรงนี้ เราไม่ได้คู้บัลลังก์ เรานั่งเก้าอี้
รู้ไหมร่างกายหายใจอยู่ รู้ไหม
ถ้าไม่รู้คือใจลอย
ถ้าเห็นลมหายใจ ถลำลงไปจ้องลมหายใจคือเพ่ง
ถ้าไม่รู้คือเผลอ
ถ้าถลำลงไปจ้องคือเพ่ง
ตัวนี้ล่ะที่ทำให้เราไม่เข้าสู่ทางสายกลางสักที
ตรงที่เราใจลอยไปเผลอไปเป็นกามสุขัลลิกานุโยค ย่อหย่อนเกินไป ตามใจกิเลส คิดอะไรเพลินๆ ไป
ตรงที่เรานั่งเพ่งนั่งจ้อง กายก็เครียด ใจก็เครียด เป็นอัตตกิลมถานุโยค
2 ตัวนี้ต่างหากที่ขัดขวางเรา ทำให้เราไม่มีจิตที่ตั้งมั่น ไม่มีสมาธิที่ถูกต้อง
ความยากของการปฏิบัติมันอยู่ตรงนี้ล่ะ ยากสุดตรงนี้เลย
คือตรงที่ทำอย่างไรใจของเราจะมีสมาธิที่ถูกต้อง
ใจของเราจะตั้งมั่น สามารถเดินปัญญาได้จริง
วิธีฝึกก็อาศัยสติเป็นเครื่องมือ
หายใจออก รู้สึกตัว หายใจเข้า รู้สึกตัวไป
เห็นร่างกายหายใจออก รู้สึก ร่างกายหายใจเข้า รู้สึก
หรือดูร่างกายยืน เดิน นั่ง นอนก็ได้
ร่างกายนั่งอยู่ก็รู้สึก ร่างกายยืน รู้สึก
ร่างกายเดิน รู้สึก ร่างกายนอน รู้สึก
เห็นไหม คำสำคัญอยู่คือรู้มัน รู้สึกมัน
รู้สึกอะไร รู้สึกกาย
รู้สึกถึงความมีอยู่ของกาย
รู้สึกถึงความเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงของกาย
ที่หลวงพ่อบอกรู้สึกๆ มี 2 อัน
รู้สึกถึงความมีอยู่ของมัน ของกายของใจ
รู้สึกถึงความเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงของกายของใจ
เรารู้สึกเรื่อยๆ พอเราขาดสติ
เราเผลอเมื่อไร มันจะหลงไปอยู่ในโลกของความคิด
มีกายลืมกาย มีจิตลืมจิต
เพราะฉะนั้นอย่างเราทำกายานุปัสสนา
เราเห็นร่างกายหายใจออก รู้สึก
ร่างกายหายใจเข้า รู้สึก
พอเราหลงไปอยู่ในโลกของความคิด เราลืมกาย
ทีนี้เราเคยหายใจจนชิน มันลืมไม่นาน
เดี๋ยวมันจะระลึกขึ้นได้ เอ๊ะ ลืมตัวไปแล้ว
เพราะฉะนั้นมันจะทำให้สติของเราเร็วขึ้น
ทีแรกลืมทีหนึ่งยาว เผลอยาว เรารู้ทัน
เผลอแล้ว เรามาหายใจต่อ
หายใจแล้วก็เผลออีก เผลออีกรู้อีกๆ
การเผลอจะสั้นลงๆ สั้นลงเรื่อยๆ
แล้วก็สติมันก็จะเกิดถี่ขึ้นๆๆ
นี่เป็นการเจริญสติปัฏฐาน
สิ่งที่เราได้คือสติที่ว่องไว แล้วสิ่งที่ควบมากับสติที่ถูกต้องว่องไวก็คือสมาธิที่ถูกต้องมันจะมาเกิดร่วมกันเลย
เพราะฉะนั้นตัวนี้เราจะต้องฝึก ต้องทำสติปัฏฐาน
ถ้าอยากพ้นทุกข์ สติพวกเรายังอ่อน เราก็ต้องทำสติปัฏฐาน
มีเครื่องอยู่ของจิต
ถ้าเป็นอย่างหลวงพ่อ หลวงพ่อแต่แรกเลยเรียนกับท่านพ่อลี หลวงพ่อหายใจเอา หายใจเข้าพุท หายใจออกโธ เป็นเครื่องอยู่ของจิต เครื่องระลึกของสติ
พอหายใจไปก็จะเห็น ทีแรกทำผิด ไปเพ่งลมหายใจ ไปดูที่ตัวลมหายใจ แล้วลมก็ค่อยสั้นๆ สั้นๆ ขึ้นมาอยู่ที่ปลายจมูก สุดท้ายลมระงับกลายเป็นแสง
ตัวลมหายใจเรียกว่าบริกรรมนิมิต
ตอนที่ลมระงับลงไปกลายเป็นแสงสว่าง เรียกว่าอุคคหนิมิต
เป็นดวงสว่างว่างๆ นิ่งๆ ขึ้นมา สว่างๆ
ถัดจากนั้นสมาธิเราชำนาญขึ้น เกิดเป็นปฏิภาคนิมิต
เรากำหนดแสงสว่างให้ใหญ่ก็ได้ ให้เล็กก็ได้
ให้มันส่องไปทางไหนก็ได้
ส่องไปอดีตก็ได้ ส่องไปอนาคตก็ได้
ส่องไปสำรวจจิตใจคนอื่นก็ได้
ส่องไปสวรรค์ก็ได้ ส่องไปนรกก็ได้
มันมาจากตรงนี้ทั้งนั้นล่ะ
แล้วถัดจากนั้นไปจิตก็จะเข้าฌาน มีปีติ มีความสุข
การที่จิตจับอยู่ที่แสงเรียกว่าวิตก
การที่จิตมันเคล้าเคลียอยู่กับแสงโดยไม่หนีไปไหน เรียกว่าวิจาร
ก็เกิดปีติ เกิดความสุข เกิดความเป็นหนึ่งขึ้น
ก็เข้าปฐมฌาน อันนั้นเป็นอีกเส้นหนึ่ง เดินเส้นนั้นก็ได้
ทำฌานก่อนแล้วออกจากฌานแล้วมาเจริญปัญญา
หรือทำฌานไป แล้วไปเจริญปัญญาในฌาน
ซึ่งพวกเรายุคนี้ทำฌานไม่ค่อยเป็นหรอก
หลวงพ่อถึงสอนอันที่สาม ใช้ปัญญานำสมาธิ
เราทำสมาธิพอสมควรที่จะเจริญปัญญาได้
เราเจริญไปเลย แล้วสมาธิมันจะค่อยแก่กล้าขึ้น
เพราะฉะนั้นเราทำกรรมฐานสักอย่างหนึ่ง
มีเครื่องรู้ของจิต เครื่องระลึกของสติ
เช่น เห็นร่างกายหายใจออก ร่างกายหายใจเข้า
เห็นร่างกายยืน เดิน นั่ง นอน
เห็นร่างกายเคลื่อนไหว เห็นร่างกายหยุดนิ่ง
เห็นไปเรื่อยๆ แล้วจิตเผลอไปก็รู้
จิตถลำลงไปเพ่งก็รู้ รู้ตรงนี้ รู้ทันจิตไว้
แล้วต่อไปมันจะรู้ได้เร็วขึ้นๆๆ
ตัวอะไรเป็นตัวที่รู้ว่าจิตหลงไป
ตัวอะไรเป็นตัวที่รู้ว่าจิตไปเพ่ง
ตัวสติ
เพราะฉะนั้นยิ่งเรารู้บ่อย สติก็เกิดบ่อย
สติเกิดบ่อยจิตใจก็ยิ่งชำนาญขึ้นๆ
สตินั้นเกิดจากจิตจำสภาวะได้แม่น
อย่างเราทำกรรมฐาน
หายใจอยู่แล้วจิตหนีไปคิด เรารู้
จิตไปเพ่ง เรารู้
ต่อไปจิตมันจำได้ว่าการหนีไปคิดเป็นอย่างนี้
การเพ่งเป็นอย่างนี้
ต่อไปพอมันหนีไปคิดปุ๊บ สติจะเกิดเองเลย
เพราะจิตมันจำได้แล้วว่า
เอ๊ย นี่หลงไปคิดแล้ว นี่หลงไปเพ่งแล้ว
แล้วสติจะเกิด
การทำสติปัฏฐานเพื่อให้เกิดสติเขาทำกันอย่างนี้
ไม่ใช่นั่งเคลิ้มๆ ซื่อบื้อไปแล้วก็อะไรต่ออะไรวุ่นวาย
สติปัฎฐานเบื้องปลายให้เกิดปัญญา
แล้วทำอย่างไรจะเกิดปัญญา บอกแล้วสติปัฏฐานมี 2 ขั้น ขั้นเบื้องต้นทำให้มีสติ ขั้นที่สองจะมีปัญญา
พอเรามีสติเนืองๆๆ ไป
ต่อไปมันจะเริ่มเห็นความจริง
เอ๊ะ จิตมันหนีไปคิดได้เอง
จิตมันถลำไปเพ่งด้วยความเคยชินได้เอง
จิตมันทำงานเอง มันไม่ใช่ตัวเรา
เห็นเข้ามาที่จิตเลยก็ได้ พอสติเรามีแล้ว ไม่จำเป็นหรอกว่าจะรู้แต่กาย สมมติว่าเริ่มต้นจากการมีสติรู้กาย ทำกายานุปัสสนา เดี๋ยวสติคล่องแคล่วขึ้นมาแล้ว ไม่ใช่ว่าต้องกายเคลื่อนไหวเท่านั้นถึงจะรู้ จิตเคลื่อนไหว มันก็รู้ได้
หรือหลวงพ่อ หลวงปู่ดูลย์ท่านสอนหลวงพ่อดูจิต หลวงพ่อดูจิตจนชำนาญ จิตขยับกริ๊กๆ เดียวนี่เห็นแล้ว พอร่างกายเคลื่อนไหวมันรู้เอง ไม่ได้ฝึกดูกาย แต่กายขยับเขยื้อนอะไรนี่รู้หมดเลย นอนหลับอยู่ พลิกซ้ายพลิกขวายังรู้เลย
เพราะฉะนั้นไม่ใช่ว่าเริ่มต้นที่กายแล้วจะรู้แต่กาย
เริ่มต้นที่จิตแล้วจะรู้แต่จิต ไม่ใช่
สติเกิดเมื่อไร
เราไม่มีปัญญาจะไปกำหนดหรอกให้สติรู้เฉพาะกาย
หรือสติรู้เฉพาะจิต
สั่งไม่ได้ สติก็เป็นอนัตตา
เราพัฒนาสติขึ้นมา ต่อไปอะไรเด่น ถ้าร่างกายเด่นขึ้นมา ความเคลื่อนไหวทางกายมันโดดเด่นขึ้นมา เราจะรู้สึก สติมันจะระลึกได้
จิตใจเรามีความเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนขึ้นมา สติมันจะระลึกได้
ฉะนั้นเบื้องต้นอะไรก็ได้ สติปัฏฐาน 4 อะไรก็ได้
มันทำให้เกิดสติเหมือนกัน
แล้วพอเกิดสติ รูปปรากฏ อะไรเด่นชัดขึ้นมาสติก็ระลึก
เวทนาเด่นชัดขึ้นมา สติก็ระลึก
สังขารคือความปรุงดีชั่วทั่งหลาย
กิเลสทั้งหลายเกิดขึ้น สติก็ระลึกได้
ไม่ใช่ว่าดูกายแล้วกิเลสเกิดแล้วมองไม่เห็น
อันนั้นเพ่งกายหรอก กิเลสเกิดแล้วถึงไม่เห็น
เพ่งอย่างเดียว ปัญญาไม่เกิด
ไม่เห็นอะไรหรอก สติก็ไม่มีจริง
ถ้าเข้าใจหลักของการปฏิบัติ เราก็ไปดูเอา
ถนัดทางไหนก็เอาทางนั้น
หลวงพ่อทำอานาปานสติ ในครั้งแรกเรียนกับท่านพ่อลีเป็นสมถะ อานาปานสติชนิดที่เป็นสมถะ พอมาเจอหลวงปู่ดูลย์ท่านสอนให้หลวงพ่อดูจิตเลย ท่านไม่ได้สอนดูกาย ท่านสอนหลวงพ่อเข้าที่จิตเลย เพราะหลวงพ่อเคยไปดูกายแล้ว
ได้ยินครูบาอาจารย์อื่นๆ ท่านพูดถึงกาย องค์นั้นกาย องค์นี้ก็กายดูแล้วมันจืด มันไม่สมใจ กายมันคับแคบ รู้สึกอย่างนี้ กายมันมีไม่มาก ดูไปแค่นี้ ใจมันรู้สึกจืดชืด
พอหลวงปู่ดูลย์ให้ดูจิต จิตทำไมมันพิสดาร ชอบดูจิต หลวงพ่อก็เลยเจริญจิตตานุปัสสนา มีจิตในจิตเป็นวิหารธรรม จิตในจิตเป็นอย่างไร
เราไม่ได้เรียนจิตทั้ง 89 ชนิด 121 ชนิด ไม่ได้เรียนอย่างนั้นหรอก เราเรียนจิตที่มันเกิดบ่อยๆ
อย่างหลวงพ่อพื้นจิตเดิมเป็นพวกขี้โมโห พวกโทสะ เพราะฉะนั้นทำอะไรรวดเร็ว ไม่มายืดๆ ยาดๆ อะไรไม่ทำหรอก แล้วก็ใครจะมาส่งการบ้าน มาพูดยาวๆ โอ๊ย น่าเบื่อๆ ไม่ฟังหรอก เสียเวลา
ขนาดไปหาครูบาอาจารย์เดินทางไปทั้งคืน กลางวันเดินทางต่อไปถึงท่านไปถามส่งการบ้านอะไร 5 นาที 10 นาที จบแล้วกลับแล้ว ไม่รอแล้ว เสียเวลา นิสัยใจคอเป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้นเป็นพวกรวดเร็ว รุนแรง พวกโทสะ
โทสะกับตัวหนึ่งที่คู่กัน มักจะอยู่ด้วยกันคือปัญญา
พวกที่ปัญญากล้ากับพวกโทสะกล้า บางทีมักจะเป็นคนเดียวกัน
พวกปัญญามีลักษณะอันเดียวกับโทสะ
รวดเร็ว รุนแรง ล้างผลาญ
โทสะนั้นล้างผลาญคุณงามความดี
แต่ปัญญาล้างผลาญกิเลส ความรุนแรง
หลวงปู่ดูลย์ท่านดูแล้ว ให้หลวงพ่อดูจิตเข้าไปเลย หลวงพ่อก็นั่งดู พื้นจิตของหลวงพ่อมันขี้โมโห มันก็เห็น เดี๋ยวก็โกรธ เดี๋ยวก็หาย เดี๋ยวก็โกรธ เดี๋ยวก็หาย
ต่อไปมันก็เห็นมากขึ้น เดี๋ยวก็โกรธ เดี๋ยวก็หาย
อ้าว เดี๋ยวโลภขึ้นมาแล้วก็หาย
ดูไปๆ เดี๋ยวก็หลง เดี๋ยวก็รู้ เดี๋ยวก็หลง เดี๋ยวก็รู้
มันเริ่มดูได้ละเอียดๆ ขึ้น
เริ่มมาตั้งแต่สิ่งที่เราชำนาญมากเลยคือโทสะ
พอเราเห็นตัวหนึ่งได้ชัด เราเห็นโทสะได้ชัด
ต่อไปราคะเกิด มันก็เห็น
ถ้าโทสะเกิด เราเห็น ราคะเกิด เราเห็น
ต่อไปโมหะเกิด เราก็เห็น
อย่างที่เราใจลอยนี่ล่ะ ตัวโมหะล่ะ ตัวฟุ้งซ่าน
หนีไปคิดเรื่องโน้นหนีไปคิดเรื่องนี้
หัดรู้ไปเรื่อยๆ มีวิธีฝึกสารพัดจะฝึก วิธีการ รายละเอียดมันเยอะแยะ จริตนิสัยคนต่างกัน พระพุทธเจ้าเลยสอนเอาไว้เยอะแยะ แต่สุดท้ายมันไปลงที่เดียวกัน
เจริญกายานุปัสสนาเบื้องต้นได้สติ เบื้องปลายได้ปัญญา
ปัญญาเกิดจากอะไร
ปัญญาจะมีได้ ต้องมีสัมมาสมาธิและสติควบกัน
เพราะฉะนั้นในอริยมรรคมีองค์ 8 องค์ที่เจ็ดคือสัมมาสติ องค์ที่แปดคือสัมมาสมาธิ องค์มรรคจะลงท้ายด้วยสติกับสมาธิ
ถ้าเราเจริญสติปัฏฐาน เราก็จะได้สติกับสมาธิที่ถูกต้องขึ้นมา
เพราะฉะนั้นที่เราทำสติปัฏฐานให้ได้สติได้สมาธิ
แล้วพอได้สมาธิแล้ว ปัญญาถึงจะเกิด
สัมมาสมาธิเป็นเหตุใกล้ให้เกิดปัญญา
สัมมาสมาธิคือสมาธิที่จิตใจตั้งมั่นอยู่กับเนื้อกับตัวโดยไม่ได้บังคับไว้
จิตใจไม่เผลอไป จิตใจไม่ถลำลงไปเพ่งไว้
นั่นล่ะคือตัวสัมมาสมาธิ
ถ้าเราฝึกสติปัฏฐาน นอกจากเราจะได้สติ ได้สัมมาสติแล้ว
เรายังได้สัมมาสมาธิควบมาด้วย
อย่างเราหายใจเข้าพุท หายใจออกโธไปแล้วจิตเราหนีไปคิด
สติระลึกได้ว่าจิตหลงไปคิด จิตจะตั้งมั่นขึ้นอัตโนมัติเลย
สมาธิอัตโนมัติจะเกิดขึ้น
หลงไป สติรู้ทัน ตรงสติรู้ทัน หลงดับแล้ว
เพราะหลงกับสติไม่เกิดด้วยกันหรอก
ทันใดที่เกิดสติ ขณะนั้นความหลงนั้นขาดสะบั้นไปแล้ว
แล้วขณะที่สติตัวแท้เกิด สมาธิก็เกิดขึ้นด้วย
พระพุทธเจ้าท่านถึงสอนบอกว่า
สัมมาสติ เมื่อเราทำให้มากเจริญให้มากจะทำให้สัมมาสมาธิบริบูรณ์
สิ่งที่เรียกว่าสัมมาสติ ท่านอธิบายชัดเจนเลยว่าคือสติปัฏฐาน 4
ฉะนั้นเราทำหมวดใดก็ได้ บรรพใดก็ได้ที่เราถนัด
ถ้าเราเจริญสติปัฏฐานได้บริบูรณ์ ได้ดีขึ้น ได้ต่อเนื่องได้มากๆ
ท่านถึงสอนสัมมาสติเมื่อทำให้มากเจริญให้มากแล้ว
จะทำให้สัมมาสมาธิบริบูรณ์
เพราะฉะนั้นจิตไหลปุ๊บ สติรู้ปั๊บ สมาธิเกิด
ไหลปุ๊บ รู้ปั๊บ สมาธิเกิด
เพ่งปุ๊บ รู้ปั๊บ สมาธิเกิด
ในที่สุดทั้งสติทั้งสมาธิจะเข้มแข็งขึ้นมา
อาศัยสติและสมาธินี่ล่ะปัญญาถึงจะเกิด
อาศัยสัมมาสติ สัมมาสมาธิจะทำให้เกิดสัมมาญาณะ
คือการหยั่งรู้ที่ถูกต้องจะเกิดขึ้น …”
.
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
6 พฤศจิกายน 2565
อ่านธรรมบรรยายฉบับเต็มได้ที่ :
Photo by : Unsplash

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา