18 พ.ย. 2022 เวลา 07:15
ฎีกาที่ 779/2559
โจทก์กล่าวอ้างว่า จำเลยถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินเฉพาะส่วนไว้แทนโจทก์และขอให้บังคับจำเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินแก่โจทก์ อันเป็นเรื่องที่โจทก์ซึ่งเป็นตัวการฟ้องเรียกทรัพย์สินคืนจากจำเลยซึ่งเป็นตัวแทน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 810 แม้โจทก์จะนำสืบว่า จำเลยกู้ยืมเงินจากบริษัทไทยประกันชีวิต จำกัด เป็นเงิน 6,500,000 บาท แทนโจทก์เพื่อนำไปชำระค่าที่ดินส่วนหนึ่ง โดยที่การตั้งตัวแทนมิได้มีหลักฐานเป็นหนังสือย่อมสามารถฟ้องร้องให้บังคับคดีกันได้
หาเป็นการขัดต่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 798 วรรคสอง ดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 วินิจฉัยไม่ แต่ตามข้อกล่าวอ้างและทางนำสืบของโจทก์ดังกล่าว ย่อมต้องถือว่าโจทก์เป็นตัวการซึ่งมิได้ปิดเผยชื่อ ซึ่งการที่โจทก์จะกลับแสดงตนให้ปรากฏและเข้ารับเอาสัญญาใดๆที่ตัวแทนได้ทำไว้แทนตน หาอาจจะทำให้เสื่อมเสียถึงสิทธิของบุคคลภายนอกอันเขามีต่อตัวแทนและขวนขวายได้มาแต่ก่อนที่รู้ว่าเป็นตัวแทนนั้นได้ไม่ ทั้งนี้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 806
เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าบริษัทไทยประกันชีวิต จำกัด ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกได้ขวนขวายเพื่อให้ได้มาซึ่งสิทธิของเจ้าหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินและสัญญาจำนองด้วยการฟ้องร้องให้จำเลยชำระหนี้เงินกู้และบังคับจำนองจนศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดและอยู่ในระหว่างการบังคับคดีเช่นนี้ โจทก์ย่อมไม่อาจที่จะนำคดีมาฟ้องบังคับให้จำเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินคืนให้แก่โจทก์ได้ เพราะจะมีผลเท่ากับเป็นการฟ้องทำลายสัญญากู้ยืมเงิน
สัญญาจำนองและคำพิพากษาของศาลแพ่งในคดีหมายเลขแดงที่ 144634/2538 นั่นเอง อันเป็นการทำให้เสื่อมเสียเสียถึงสิทธิของบริษัทไทยประกันชีวิต จำกัด แล้ว กับยังมีผลทำให้ที่ดินไปเป็นของโจทก์โดยที่โจทก์และจำเลยไม่ต้องชำระหนี้ให้แก่บริษัทบริษัทไทยประกันชีวิต จำกัด อันเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตอีกด้วย โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา