16 พ.ย. 2022 เวลา 08:50
ฎีกาที่ 2837/2559
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 93 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า การอ้างเอกสารเป็นพยานหลักฐานให้ยอมรับฟังได้เฉพาะต้นฉบับอกสารเท่านั้น ดังนี้ ต้นฉบับเอกสารอันแท้จริง ศาลยอมรับฟังเป็นพยานหลักฐานได้ แต่ข้อความในเอกสารจะถูกต้องตรงกับความเป็นจริงหรือไม่ เป็นข้อที่ศาลจะได้วินิจฉัยจากพยานหลักฐานสำนวนอีกชั้นหนึ่ง เมื่อหนังสือมอบอำนาจช่วงเป็นเอกสารที่ถ่ายภาพมาจากต้นฉบับหนังสือมอบอำนาจช่วง ซึ่งเอกสารทั้ง 2 ฉบับ มีข้อความส่วนใหญ่เหมือนกัน
คงมีข้อความแตกต่างกันอย่างชัดเจนในข้อ 1 โดยต้นฉบับเอกสารมีข้อความเพิ่มเติมว่า “นางวรรณา ที่ 3 และหรือบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้อง” เป็นกรณีที่ข้อความในหนังสือมอบอำนาจช่วงทั้ง 2 ฉบับ มีข้อความที่แตกต่างกัน มีเหตุควรสงสัยว่าต้นฉบับหนังสือมอบอำนาจช่วงที่ยื่นต่อศาลขณะสืบพยานมีการแก้ไขเพิ่มเติมข้อความให้แตกต่างไปจากการมอบอำนาจที่แท้จริงตามสำเนาหนังสือมอบอำนาจช่วงที่โจทก์แนบท้ายคำฟ้องขณะยื่นคำฟ้องต่อศาล ซึ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพง มาตรา 125
บัญญัติให้คู่ความฝ่ายที่ถูกอีกฝ่ายหนึ่งอ้างอิงเอกสารมาเป็นพยานหลักฐานยันตน อาจคัดค้านการนำเอกสารนั้นมาสืบพยานโดยเหตุที่ว่าต้นฉบับนั้นปลอมทั้งฉบับหรือบางส่วนหรือสำเนานั้นไม่ถูกต้องกับต้นฉบับ โดยคัดค้านต่อศาลก่อนการสืบพยานเอกสารนั้นเสร็จตามบทบัญญัติดังกล่าว กรณีจึงเป็นหน้าที่ของคู่ความฝ่ายที่ถูกอีกฝ่ายหนึ่งอ้างอิงเอกสารมาเป็นพยานหลักฐานยันตนจะต้องคัดค้านการนำเอกสารนั้นมาสืบก่อนการสืบพยานเอกสารนั้นเสร็จสิ้น เมื่อปรากฏว่าโจทก์ได้ส่งสำเนาคำฟ้องพร้อมสำเนาหนังสือมอบอำนาจช่วงให้จำเลยที่ 3 แล้ว
และขณะโจทก์อ้างส่งต้นฉบับหนังสือมอบอำนาจช่วงต่อศาล จำเลยที่ 3 สามารถตรวจสอบต้นฉบับกับสำเนาเอกสารดังกล่าวก็ย่อมทราบได้ว่า ต้นฉบับกับสำเนาหนังสือมอบอำนาจช่วงมีข้อความไม่ตรงกัน และจำเลยที่ 3 ชอบที่จะโต้แย้งคัดค้านได้ในขณะนั้นก่อนสืบพยานเสร็จ เมื่อจำเลยที่ 3 มิได้คัดค้านเสียในเวลานั้นว่า ต้นฉบับกับสำเนาเอกสารไม่ถูกต้องตรงกัน
มีการเอาต้นฉบับหนังสือมอบอำนาจช่วงที่แท้จริงมาแก้ไขเพิ่มเติมข้อความสำคัญให้ผิดไปจากเดิม กรณีจึงห้ามมิให้จำเลยที่ 3 คัดค้านการมีอยู่และความแท้จริงของต้นฉบับเอกสารดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 125 วรรคสาม แต่ทั้งนี้ไม่ตัดอำนาจของศาลในอันที่จะไต่สวนและชี้ขาดในเรื่องการมีอยู่ ความแท้จริง หรือความถูกต้องเช่นว่านั้น ในเมื่อศาลเห็นสมควรตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 125 วรรคสาม ตอนท้าย และมาตรา 104 วรรคหนึ่ง
บัญญัติให้ศาลมีอำนาจเต็มที่ในอันที่จะวินิจฉัยว่าพยานหลักฐานที่คู่ความนำสืบมานั้นจะเกี่ยวกับประเด็นและเป็นอันเพียงพอให้เชื่อฟังเป็นยุติได้หรือไม่ แล้วพิพากษาไปตามนั้น เมื่อปรากฏว่าขณะสืบพยานโจทก์ประกอบสำเนาหนังสือมอบอำนาจช่วง ทนายความของจำเลยที่ 1 ได้ถามค้านนายฉัฐภูมิพยานโจทก์เกี่ยวกับสำเนาหนังสือมอบอำนาจช่วงกับต้นฉบบหนังสือมอบอำนาจช่วงและนายฉัฐภูมิพยานโจทก์ก็เบิกความรับว่าสำเนาหนังสือมอบอำนาจไม่ได้ระบุให้ฟ้องจำเลยที่ 3
แต่ต้นฉบับเอกสารที่อ้างส่งศาลระบุให้ฟ้องจำเลยที่ 3 ดังนี้ จึงเป็นกรณีที่ปรากฏต่อศาลว่า ต้นฉบับหนังสือมอบอำนาจช่วงกับสำเนาหนังสือมอบอำนาจช่วงมีข้อความไม่ตรงกัน มีการเอาต้นฉบับเอกสารที่แท้จริงมาแก้ไขเพิ่มเติมข้อความสำคัญให้ผิดไปจากเดิม ทำให้เกิดความสงสัยว่าขณะโจทก์ยื่นฟ้องคดีต่อศาลโจทก์มอบอำนาจให้ฟ้องจำเลยที่ 3 ด้วยหรือไม่ ทั้งอำนาจฟ้องเป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน
แม้จำเลยที่ 3 จะมิได้ให้การต่อสู้ไว้ ศาลอุทธรณ์ภาค 6 ก็มีอำนาจหยิบขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) ประกอบมาตรา 246 ดังนั้น แม้จำเลยที่ 3 จะมิได้คัดค้านการอ้างต้นฉบับเอกสารดังกล่าวเป็นพยานของโจทก์ภายในกำหนดเวลาตามกฎหมาย ก็ไม่ตัดอำนาจศาลในอันที่จะชี้ขาดความแท้จริงหรือถูกต้องของเอกสารเช่นว่านั้นได้ตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว ทั้งสำเนาหนังสือมอบอำนาจช่วงที่โจทก์แนบมาท้ายคำฟ้องเป็นเอกสารประกอบข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 3
จึงเป็นเอกสารที่โจทก์อ้างส่งต่อศาลเพื่อประกอบการพิจารณาในการตรวจคำฟ้องและมีการส่งสำเนาเอกสารดังกล่าวให้จำเลยที่ 3 แล้ว สำเนาหนังสือมอบอำนาจช่วงจึงเป็นเอกสารที่โจทก์อ้างส่งต่อศาล ศาลย่อมรับฟังสำเนาหนังสือมอบอำนาจช่วงดังกล่าวเพื่อประกอบดุลพินิจในการวินิจฉัยคดีได้ เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 6 ใช้ดุลพินิจรับฟังพยานหลักฐานในสำนวนแล้ววินิจฉัยว่าขณะยื่นฟ้องคดีนายไพบูลย์มิได้มอบอำนาจช่วงให้นายฉัฐภูมิฟ้องจำเลยที่ 3 นายฉัฐภูมิจึงไม่มีอำนาจแต่งตั้งทนายความยื่นฟ้องจำเลยที่ 3 แทนโจทก์
ก็โดยที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 อาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 104 วรรคหนึ่ง และมาตรา 125 วรรคสาม ดังกล่าวข้างต้น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 3 และยกฟ้องจำเลยที่ 3 มานั้นจึงชอบแล้ว
โฆษณา