21 พ.ย. 2022 เวลา 09:52 • นิยาย เรื่องสั้น
วีรสตรีไม่มีอยู่จริง - ชุรเดช
1
หอฉัน
แสงดาไม่ใช่ชาวโรฮิงญา เธออายุสิบเจ็ดตอนเราเจอกันครั้งแรกปีที่แล้ว เด็กสาวเกิดที่พะอาน และตั้งแต่จำความได้โตในมัณฑะเลย์ แม่มีเชื้อสายกะเหรี่ยง สองขวบเมื่อแม่เสียชีวิตด้วยวัณโรค พ่อก็พาเธอย้ายจากเมืองพะอานมาค้าขายอยู่ที่มัณฑะเลย์จวบจนอายุสิบหก…วัยซึ่งต้องเดินทางจากบ้านจากเมืองมาอยู่ในดินแดนแปลกหน้า ในวันซึ่ง ‘ภาพเหมือนออง ซาน ซูจี’ ถูกปลดจากที่แขวนในตัวอาคารเรียนหลักวิทยาลัยเซนต์ฮิวจ์มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด และนำเอาภาพเขียนศิลปินชาวญี่ปุ่นขึ้นแขวนแทนที่
เป็นวันเดียวกับที่แสงดานำ ‘ภาพเหมือนพลังแห่งศรัทธา’ ขึ้นแขวนบนหัวนอนและสวดมนต์บทเดิมทุกเมื่อเชื่อวันด้วยน้ำเสียงแปร่งปร่าตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ชะตากรรมของเธอไม่ต่างจากชาวต่างด้าวกลุ่มหนึ่งผู้ต้องเดินทางผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองบริเวณชายแดนมาพร้อมกับความหวังเริ่มต้นชีวิตตอนปี 2560 มีนายหน้าเป็นหญิงไทยวัยห้าสิบสี่ที่พูดและอ่านเขียนได้สองภาษา ทำเอกสารให้แล้วเสร็จ ตั้งแต่ขั้นตอนการยื่น DEMAND LETTER ส่งคำร้องไปยังตัวแทนประเทศต้นทางคัดเลือก จัดทำบัญชีรายชื่อส่งกลับ รอ… ผ่านเอเยนซี่ ค่าใบอนุญาตเอย ค่ามัดจำเอย-ความยุ่งยากเหล่านี้แก้ไขโดยง่ายด้วยวิธีหักค่าบริการรายหัวเป็นเงิน ‘มากกว่า’ ที่ภาครัฐกำหนดกับแรงงานภายหลัง อย่างที่ ‘พวกเรา’ รู้กันอยู่
ด้วยเพราะอายุยังไม่ถึงสิบแปด แสงดาและเพื่อนในวัยใกล้เคียงกันจึงถูกว่าจ้างอยู่ในโรงงานผลิตสิ่งทอซึ่งเป็นงานไม่หนักมากนักของนายใหญ่ (…เธอเรียกเช่นนั้น “แรงงานต่างด้าวแบบ Mou” พอสะกดอักษรภาษาอังกฤษ เด็กสาวมักมีสำเนียงฉะฉาน)
จะว่าเป็นเรื่องบังเอิญหรือไม่บังเอิญก็ได้ที่ผมได้มาเจอเธออีกครั้งในสถานปฏิบัติธรรมแห่งนี้ เราเคยเจอกันหลายคราแล้ว ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ต่างจดจำกันได้แม้จะใส่แมสก์
เป็นเวลาฉันเช้าของพระสงฆ์ บรรดาแม่ชี และเหล่านักบุญในหอฉัน เสียงทักใสแจ้วของแสงดาทำให้หลายคนต้องหันมามองเราเป็นตาเดียว “พี่แจ๊ค พี่จริงๆ ด้วย” แล้วนัยน์ตาที่ยิ้มได้ก็ปรากฏชัด เธอเข้าประชิดตัวผมอย่างซุกซน มุ่งเข้าประเด็นรวดเร็วเช่นเคย …ช่างประจวบเหมาะกับที่วาระการจ้างงานครบสี่ปีของเธอและเพื่อนๆ ใกล้หมดพอดี
“หนูมีเรื่องให้พี่แจ๊คช่วยค่ะ”
ทำไมผมถึงอยากเล่าเรื่องของแสงดา เธอเป็นเด็กสาวชาวเมียนมาธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น ปีนี้อายุครบสิบแปดปี เติบโตมากับพ่อค้าขายของเก่าในเมืองมัณฑะเลย์จนสามารถใช้ภาษาอังกฤษกับนักท่องเที่ยวต่างชาติได้ดี เจนจัดอยู่กับการเดินทางไป-กลับข้ามด่านชายแดน ในที่สุดก็ตัดสินใจเข้าสู่ระบบแรงงานในเมืองไทย พอรู้วิถีชีวิตและวัฒนธรรมของคนไทยอยู่บ้าง
มีเรื่องราวเด็กหญิงในรัฐขะไย่ที่ถูกข่มขืนถูกนำเสนอเป็นสารคดี มีสกู๊ปข่าวน่าสนใจเกี่ยวกับการอพยพและความน่าอดสูนานัปการ-คราวชนกลุ่มน้อยต้องถูกส่งกลับประเทศต้นทาง การลงพื้นที่ อ.แม่สอด จ.ตาก ประสบพบเห็นภาพการต่อสู้ระหว่างกองทัพกะเหรี่ยงกลุ่มติดอาวุธเคเอ็นยูตั้งแต่เดือนมีนาคม ไปจนถึงข่าวนายแบบพม่าที่ถูกจับกุมตัวในย่างกุ้ง เหตุการณ์เผ็ดร้อนอย่างคำกล่าวเรียกร้องเสรีภาพของฮาน เลย์ บนเวทีมิสแกรนด์ และการชูแผ่นป้ายของธูซาร์ วินท์ ลวิน มิสยูนิเวิร์สเมียนมา…
แสงดาไม่ได้อยู่ในสปอตไลต์เหล่านี้ เธอเป็นเด็กสาวบุคลิกสดใส กล้าคิดกล้าพูด แม้ไม่ได้เรียนจบสูง หากแต่เธอกลับเป็นคนใฝ่รู้ เป็นนักอ่าน มีความฝันทำงานส่งตัวเองเรียนในมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลกอย่างเช่นวีรสตรีของเธอเคยทำสำเร็จ
“หนูว่าพี่ช่วยได้ค่ะ พี่แจ๊คช่วยพวกเราได้” เธอว่าพลางยิ้มในใบหน้าเปื้อนริ้วรอยสิว หน้าผากนูนไม่รับกับดวงหน้าแฉล้มและร่างเล็กบาง “เพื่อนหนูอีกสองพูดไทยไม่คล่อง พี่ก็รู้ว่าหนูพออ่านได้ แต่เขียนลายมือไก่เขี่ย” แสงดาพูดไทยได้คล่องขึ้นกว่าตอนเจอกันครั้งก่อน “พี่ยังเป็นเอ็น… เอ็นจี… อะไรนะ นั่นอยู่ไหม” “ไม่แล้ว” ผมรีบส่ายหน้า “เลิกเป็นแล้ว พี่เขียนอย่างเดียว” “เท่าที่จำได้
พี่เรียนจบกฎหมายมาใช่ไหม” “ใช่” เรายังไม่ละสายตาจากกัน “แต่พี่ไม่ได้เป็นทนาย” แสงดารู้เชิง “พี่เคยบอกหนูว่าใจพี่ไม่รัก พี่รักด้านนี้มากกว่า” “ด้านไหน” ผมหยั่งเชิงซ้อน “สิทธิมนุษยชน” เธอมีแววตาเชื่อมั่นกับคำนี้
ในหอฉันมีพระสงฆ์อยู่เพียงสามรูป รวมญาติโยมที่มาปฏิบัติธรรมอยู่ไม่ถึงสิบคน พอตักข้าวในถาดหลุมใกล้หมด ผมจึงรีบกระดกน้ำ ปิดแมสก์ เดินไปกราบพระพุทธรูปกลางโถงสามครั้ง กลับมาถือถาดหลุมลุกขึ้นจะเอาไปล้าง บอกแสงดาว่าเดี๋ยวไปคุยกันข้างนอกนะ แล้วออกไปจุดบุหรี่รออยู่บริเวณม้าหินอ่อนใต้ต้นหูกวางที่ลับตาคน หายใจให้โล่งสักพักยามมีเวลาถอดแมสก์สูดอากาศบริสุทธิ์ หยิบสมาร์ตโฟนขึ้นมาเพื่อเสิร์ธหารายละเอียดที่จะต้องพูดกับเด็กสาวตามนิสัยส่วนตัวอันแก้ไม่หาย สัญญาณอินเตอร์เน็ตขึ้นสามจีเพียงขีดเดียว
การตอบสนองของกูเกิลจึงเป็นไปอย่างล่าช้า แต่สักพักก็ได้ยินเสียงฝีเท้าปลุกให้ตนต้องเงยหน้าขึ้นมอง แสงดาเดินมาหยุดอยู่ใกล้ๆ แล้วยิ้มเช่นเคย “หมดตั้งแต่เดือนพฤศจิฯ แล้วค่ะพี่” เธอเอ่ยออกมาตรงกับข้อมูลที่ผมเพิ่งอ่านในหน้าจอ …ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2563 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2564 สามารถอยู่ในราชอาณาจักรและทำงานต่อไปได้อีก 2 ปี “ข้อดีของโควิดมั้งคะ” เธอว่าพลางโน้มมาใกล้นิดๆ จีบชายผ้าซิ่นสีตุ่นนั่งลงม้านั่งตรงข้าม “ไม่ต้องกลัว” เธอชูสามนิ้วพลางหัวเราะคิก “หนูฉีดครบแล้ว” …ค่อยโล่งใจไปที
“เราออกไปหามุมกาแฟชิวๆ แล้วนั่งคุยกันดีไหม” ผมไม่ลังเลที่จะชวน และเธอไม่ลังเลที่จะรับ
2
ร้านกาแฟ
ความแตกต่างอันโดดเด่นของแสงดาคือไหวพริบและความฉลาดเป็นกรด สิ่งนี้ทำให้ผมลืมภาพจำสมัยทำงานเอ็นจีโอและงานสารคดี ซึ่งเคยลงพื้นที่จริงหลายแห่งหนอันเกี่ยวข้องกับแรงงานชาวพม่าไปหมดสิ้น เธอถูกเรียกว่า ‘ต่างด้าว’ เช่นคนอื่นๆ ไม่ต่างจากบรรดาคนไทยที่เป็น ‘ผีน้อย’ ในสายตาของคนเกาหลีใต้ หากคนไทยซึ่งถูกตราหน้าเหล่านั้นย่อมมีหลายคนที่แต่เดิมมีความรู้ความสามารถ เรียนจบถึงระดับสูงๆ บ้างก็มี
เช่นเดียวกับตอนแรกผมแทบไม่เชื่อว่า เมื่อเข้ามาในร้านกาแฟแห่งเดิมนี้ (เรารู้กันดีว่า เจ้าของและหุ้นส่วนเป็นใครภายใต้การดูแลร้านของชาวไตใหญ่และชาวไทยภูเขาอื่นๆ) แสงดาจะสั่งคาปูชิโน่ร้อนสองแก้วอย่างคล่องแคล่ว ยังไม่ได้เลือกที่นั่งก็เดินเข้าไปตรงมุมด้านในสุดบริเวณพื้นที่สีเทาไร้โต๊ะเก้าอี้กั้นขวาง มีเพียงผนังเต็มไปด้วยข้อความภาษาอังกฤษอย่าง …Pray For Myanmar ด้วยลายมือที่หลากหลายต่อพรึด และบ้างซ้อนทับกันด้วยหมึกเป็นสีๆ ปากกาเขียนฝาผนังวางไว้ในถังไม้เก่าอับชื้นมุมนั้น อีกฝั่งหนึ่งมีข้อความแปลกออกไป
แสงดาใช้เวลาเหลือบตาเพ่งเพียงครู่ก็ชี้ไปยังข้อความหนึ่งพลางอ่านออกเสียง “One is not born a woman, One becomes one… By Simone de Beauvoir” สำเนียงของเธอแปร่งปร่าเช่นเคย “เราไม่ได้เกิดมาเป็นผู้หญิง เรากลายมาเป็นผู้หญิง” ผมทำเป็นแปล “อย่างนี้ใช่ไหม” เธอพยักหน้าว่าใช่ ผมจึงพยายามทำเท่ต่อด้วยการสลับอ่านข้อความอื่น จนใจต้องแปลมันอย่างมั่วๆ
“เขาว่าประมาณนี้-ถ้าความอยุติธรรมเกิดขึ้นในบ้านเมืองเราละก็… เราต้องลุกขึ้น มีข้อความหนึ่งซึ่งผมสะดุดสู้ สมควรแล้วที่จะปล่อยให้บ้านเมืองนั้นวอดไปด้วยไฟแรงๆ ก่อนที่โลกจะมืดไปกว่าเดิม โดย แบร์ทอลท์ เบรคชท์ …ตรงกับสถานการณ์ที่บ้านเมืองแสงดาตอนนี้ดีนะ”
“เขียนมันอีกสิคะ เขียนเป็นภาษาไทยก็ได้ ไม่มีใครว่าหรอก เหมือนที่เขียนครั้งก่อนไงคะพี่” เธอก้มลงเลือกหมึกแล้วยื่นมา “ชอบที่นี่หรือ” ผมถามและส่ายหน้าไม่รับ เธอจึงวางปากกาหมึกลง “ไม่ได้หมายถึงแค่ร้านนี้นะ ที่นี่น่ะ” “ไม่รู้สิคะ คนเราควรจะอยู่ในที่ที่เราพอใจ ที่ที่เราอยู่แล้วสบายใจ แต่ไม่มีที่แบบนั้นอยู่จริงหรอกค่ะ หนูก็แค่คนธรรมดาอย่างที่พี่พูด ตอนนี้หนูและเพื่อนๆ ก็ต้องเลือกอยู่ในที่ที่ปลอดภัยไว้ก่อน อาจจะรอวันที่ท้องฟ้าผ่องอำไพอย่าที่กวีไทยเคยว่าไว้อยู่ก็ได้นะ”
“คนชอบมองว่า การไม่ต่อสู้อะไรเลยเป็นพวกคับแคบ เห็นแก่ตัว…” น้ำเสียงผมตอนนั้นอ่อนลงตามระดับความมั่นใจในอก มือชื้นเหงื่อ (ผมไม่มีความคิดอยากหักหลังใคร) “แต่บางทีลำพังชีวิตตัวเองยังไม่รอด ระหว่างกล้าได้กล้าเสียทวงคืนเสรีภาพกับนิสัยคับแคบแบบนี้ บางทีพี่ก็แยกไม่ออก” ประโยคหลังผมไม่แน่ใจนักว่าเป็นความรู้สึกของตัวเองจริงๆ หรือเปล่า
หากมิตรสหายเก่าผู้ยืนหยัดในอุดมการณ์ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันซึ่งกำลังถูกหมายศาลเรียกตัวหลายคดีอยู่ตอนนี้มาได้ยินเข้า- คงหัวเราะเยาะตนจนปวดกราม ไหล่บางของร่างเล็กประชิดเข้ามาโดนสีข้างผมที่กำลังกอดอก มือน้อยๆ คว้ากุมนิ้วมือขวาผมชี้ไปที่ข้อความสั้นๆ บนผนัง …ผมรักแม่มากกว่าความยุติธรรม – อัลแบร์ กามูส์ “ใครกันนะเป็นคนเขียนประโยคนี้ทิ้งไว้เอง
แล้วก็หายไปตั้งหลายเดือน ถ้าไม่บังเอิญก็คงไม่ได้เจอกัน คงไม่ทำกันเหมือนเดิมอีกนะคะ” “พี่มีโปรเจ็กต์ใหม่ให้ต้องคิดนิดหน่อยน่ะ” “แล้วเรื่องชาวโรฮิงญาที่พวกพี่สนใจล่ะคะ” และโดยไม่รอคำตอบก็พูดเองเออเอง “สำหรับหนูนะคะ ที่เราอยู่กันไม่ได้ก็เพราะเราไม่ยอมรับความแตกต่าง”
“ใช่…” ผมเริ่มเหม่อ แต่ตั้งสติฟังเสียงเจื้อยแจ้วต่อ “…คนส่วนใหญ่นั้นมองคนไม่เท่ากัน มองศักดิ์ศรีของความเป็นคนที่เพศ ศาสนา หรือชาติพันธุ์ ไม่ใช่มองที่ว่าเราก็เป็นคนเหมือนกัน” ผู้ชายหลายคนบนโลกใบนี้คงรู้สึกเย็นสันหลังวาบกับแนวคิดของแสงดา “แล้วเรื่องของเรา…” ผมพยายามเปลี่ยนประเด็น “ถ้าเป็นผู้หญิงไทยอายุสิบเจ็ดสิบแปด ก็เรียกว่าบรรลุนติภาวะแล้วไม่ใช่เหรอคะ” เธอตอบโต้ทันที “แล้วคนที่โน่นล่ะ” ผมถาม เธอยิ้มอย่างมีเลศนัย “พี่โอเคไหมล่ะคะ หนูโตแล้วนะ ตัวหนูเป็นของหนู”
อ่านมาถึงตรงนี้, คุณคงยังเข้าใจไม่ได้ว่าเหตุใดผมถึงสนใจนำเรื่องของเด็กสาวธรรมดาคนนี้มาเขียน แสงดาถูกเรียกว่าแรงงานต่างด้าว ทว่า เธอก็เหมือนคนไทยและคนชาติอื่นๆ ทุกประการ มีเสรีภาพที่จะร่วมรักหรือมีความสุข ผมนึกย้อนไปถึงตอนเก็บข้อมูลเรื่องการค้าประเวณีและประเด็นการค้ามนุษย์ในช่วงห้าปีให้หลัง ซึ่งพบว่ามากกว่าครึ่งของผู้หญิงต่างด้าวยินดีประกอบอาชีพนี้อย่างอิสระใจ
และโดยส่วนมากหญิงเมียนมาที่มีสามีเป็นชาวไทยส่วนใหญ่ทั้งคู่ก็ร่วมหอลงโรงกันด้วยความรัก ไม่ใช่เพราะฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งถูกบังคับและหลอกลวงแต่อย่างใด “อย่าคิดมากเลย พี่ไม่ใช่ผู้ชายคนแรกของหนูหรอกค่ะ อีกอย่างหนูก็โอเค พี่ก็โอเค มันก็แฟร์ๆ”
เมื่อรู้คำตอบชัดเจนจากเธอ ผมรู้สึกผิดจนหน้าชา ในใจยังอยากตอบแทนกลับไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
3
ห้องนอน
ทางเข้าไปสู่ห้องพักของแสงดามีต้นกระถิน หรือที่คนภาคนี้เรียกต้นผักหนอง…ระนาบซ้ายขวาประมาณสี่ร้อยเมตร ไม่มีป้ายสถานที่ มีเพียงตึกสองชั้นแปดห้องนอนเล็กๆ สีเดียวกับดินแดงของถนน ด้านหลังเป็นดงไผ่บงและป่ารกชัฏ มีม้าหินอ่อนซุกตัวอยู่อีกทีใต้มะขามเผื่อไว้ให้ผู้ที่จะมาเยือนนานหนนั่งผ่อนคลาย “ไปรอพี่ข้างบนก่อนก็ได้นะ” ผมบอกแสงดา “ค่ะ ดีเลย เดี๋ยวหนูให้เพื่อนเตรียมรอเลยนะคะ”
…ไม่เคยเจอเพื่อนอีกสองคนเธอมานานแล้ว นอกจากเสียงแมลงร้อง-แลดูเหมือนบริเวณโดยรอบไม่มีสิ่งมีชีวิตอื่นใดนอกจากผม แสงดา และแม่บ้านชาวไทใหญ่ที่กำลังชะเง้อหน้าออกมาจากห้องพักห้องแรกชั้นล่างของตนส่องลาดเลา จนมองเห็นผมและพยักหน้าจำได้ พอแสงดาเข้าห้องพักไป ผมเปิดกระเป๋าโน้ตบุ๊กอ่านข่าวย้อนหลังพลางๆ เพื่อกระตุ้นให้เกิดแรงบันดาลใจ
…หลังจากสมาชิกพวกพรรคเอ็นแอลดีถูกจับกุมหลังรัฐประหาร 1 กุมภาพันธ์ ประชาชนก็ออกมาประท้วงไม่เว้นแต่ละวัน …เอเอซีพีระบุว่า กองทัพเมียนมาสังหารประชาชนเสียชีวิตแล้วมากกว่าพันคน ยังจำภาพเหล่านั้นได้ดี ผมและมิตรสหายรีบหนีออกจากพื้นที่พรมแดนติด จ.ตาก ทันที-เมื่อ ‘สาย’ แจ้งเรื่องการสังหารหมู่คนงานสร้างสะพานยี่สิบห้าคนโดยกลุ่มเคเอ็นดีโอให้ทราบ-ก่อนจะเป็นข่าวในหนังสือพิมพ์เดอะโกลบอลนิวไลต์ออฟเมียนมา ในวันที่ 31 พฤษภาคม ด้วยซ้ำ เป็นฝ่ายรัฐกระเหรี่ยงยอมรับว่าเป็นผู้ลงมือสังหาร
อีกไม่นานมิตรสหายเอ็นจีโอสายข่าวก็รีบถอนตัวจาก อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอนโชคร้ายที่สุดคือมิตรสหายกลุ่มหนึ่งซึ่งยังติดแหง็กอยู่ในเมียนมาขาดการติดต่อ การปิดพรมแดนและตัดสัญญาณอินเตอร์เน็ตทำให้เรารู้สถานการณ์ได้เล็กน้อยจากคลิปวิดีโอที่หลุดมาจากเยาวชนที่นั่น และก็ย้อนคิดขึ้นได้ว่า ตนเคยอ่านข่าวทหารเมียนมาปะทะกองกำลังต้านรัฐประหารกลางมัณฑะเลย์ให้แสงดาฟังช่วงเดือนมิถุนายนตอนเราเจอกันครั้งก่อน ดวงตาของเธอรื้นน้ำตา ไม่มีแม้แต่คำพูด
ผมเกือบเผลอถามถึงเรื่องพ่อว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร-หลังจากตัดขาดกันเมื่อสามกว่าปีตอนเด็กสาวตัดสินใจเข้ามาเป็นแรงงานในไทย และไม่คิดกลับบ้านอีกเลย เธอยังคุยกับพ่ออยู่ไหม… ไม่เคยได้ถามข่าวอะไรอีกนี่
…รัฐบาลเมียนมาทั้งจับ ทั้งปล่อย และก็จับนักโทษการเมืองซ้ำอีกจนทำให้ทั่วโลกงุนงง …ยูเอ็นและสหรัฐประณามซ้ำหลังมีรายงานจากซีเอ็นเอ็นว่า กองกำลังรักษาความปลอดภัยของกองทัพขับรถชนม็อบเสียชีวิตห้าราย เป็นวันเดียวกันกับที่ศาลเมียนมาสั่งจำคุกออง ซาน ซูจี เป็นเวลาสี่ปีข้อหายุยงปลุกปั่นฝ่าฝืนมาตรการโควิด และคนที่ลดโทษให้เหลือสองปีหรือครึ่งหนึ่งก็คือคนรัฐประหารเธอเอง
ไม่กี่วันก่อนหน้านี้ ผมพยายามเรียบเรียงปฏิกิริยาของคำพูดคนสำคัญทั่วโลกที่มีต่อข่าวล่าสุดให้ทัน กะจะเขียนเป็นบทความส่ง บก.สักเรื่อง ทว่า วันที่ 10 ธันวาคม ซึ่งผ่านมาสดๆ ร้อนๆ กลุ่มเอ็มเอพีก็ยกร้องศาลไอซีซี เพื่อเปิดการไต่สวนนายพลมิน อ่อง ลาย ให้เป็นผู้ก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ กลบประเด็นร้อนที่ผมกำลังเขียนอยู่จนมิด …ตามแถลงการณ์ของเอ็มเอพี ที่ติดตามการเสียชีวิตและการจับกุมผู้ชุมนุมประท้วงทางการเมืองนับตั้งแต่เกิดรัฐประหารในเมียนมา
มีผู้ชุมนุมประท้วงถูกสังหารระหว่างทหารเข้าปราบปรามสลายการชุมนุมอย่างน้อย 1,305 คน ในจำนวนนี้ รวมถึงเด็กกว่า 75 คน และยังมีผู้ชุมนุมถูกจับกุมอย่างน้อย 10,756 คน ผมอ่านข้อความหลังนี้ด้วยความรู้สึกขุ่นเคือง อุดมการณ์ที่ยังพอมีตะกอนเหลืออยู่ข้างในทำให้นึกถึงความหลังครั้งเก่า-หากเหล่ามิตรสหายยังอยู่รวมกัน ไม่กระจัดกระจายอย่างทุกวันนี้ เราจะพ่นลมหายใจออกจมูกและสบถว่า ‘แ-ง! หวยผีชัดๆ’
ใช้เวลาไม่นานจัดการคุยกับแม่บ้านชาวไทใหญ่ วางเงินค่าเช่าห้องสามห้องบริเวณชั้นสองไว้สามพันบาท บวกกับค่ากินใช้ของทั้งสามคนรวมกันเป็นอีกพันห้าร้อยบาท ก่อนจะตามเธอขึ้นไปห้องพักมุมสุดชั้นสอง ซึ่งเป็นห้องพักห้องเดียวที่มีระเบียง แสงดาบอกเพื่อนอีกสองคนเตรียม SMART CARD และเตรียมบัตรประชาชน ทะเบียนบ้าน ใบเกิด พาสปอร์ต ใบอนุญาตทำงานไว้พร้อมสรรพแล้ว
หลังจากนั้นผมจึงออกไปจุดบุหรี่สูบที่ระเบียงสูดกลิ่นไผ่ดงหวีดหวิวผ่อนคลาย พยายามโทร.หามิตรเก่าที่ยังหลงเหลืออยู่และไม่ตั้งป้อมรังเกียจตนเหมือนกลุ่มมิตรสหายสายซึ่งมีคดีอยู่ในชั้นศาลทั้งในสายเอ็นจีโอและหน่วยงานเอกชนอีกสอง-สามที่ ทว่า กลับได้รับคำปฏิเสธอ้อมๆ ว่าพวกเขาเลิกทำงานพวกนี้แล้ว ต้องทำมาหากินเลี้ยงปากท้องจึงตุหรัดตุเหร่หางานอย่างอื่นทำ บางคนไปขับแกร็บ บางคนทำแพลตฟอร์มออนไลน์ในช่องยูทูบ หรือแม้แต่ขายสมบัติกินบ้างก็มี สุดท้ายจึงจนปัญญา-ตัดสินใจกดโทร.หาสองคนที่ตัวเองอยากติดต่อน้อยที่สุด
คนแรกได้แก่พี่กริชซึ่งเป็นคนมักพูดจาสั้นห้วน กระโชกโฮกฮาก ทว่า เป็นคนง่ายๆ และโผงผางไปแบบอย่างนั้นเอง “ว่าไงแจ๊ค” ผมเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่มั่นคงนัก “พี่พอจะมีเงินสัก…” “หึๆ กูว่าแล้ว” พี่กริชว่ากึ่งๆ หัวเราะในลำคอ “คราวนี้จะเอาเท่าไหร่ ห้าพันหรือหมื่น กูมีให้แค่นี้แหละ” “สักหมื่นหนึ่งก็ดีพี่” ผมพูดเสียงอ่อน เพราะรู้แก่ใจว่ามันน้อยไป “ผมบังเอิญเจอน้องๆ ผู้หญิงพวกนั้น ก็เลยจ่ายค่ากินค่าอยู่ให้ไปห้าพัน ไม่เหลือสักบาทเลยพี่ในบัญชีตอนนี้”
…จริงๆ ผมจ่ายไปแค่สี่พันห้าร้อยบาท และโกหกให้เป็นตัวเลขกลมๆ น่าจะดีกว่าเมื่อต้องสนทนากับคนตรงเผงอย่างพี่กริช “เลขบัญชีเดิมใช่ไหม” พี่กริชเข้าประเด็น “รีบรึเปล่า” “จะว่ารีบก็รีบอยู่หน่อยครับ” ผมมั่นใจขึ้นในน้ำเสียงตนเล็กน้อย “ผมอยากเดินทางออกจากที่นี่ไปกบดานอยู่ที่อื่น คนแถวนี้เริ่มรู้จักผมแล้ว” “เออนั่น!” กริชอุทาน “มึงเอาไปเลยสองหมื่น แล้วหายไปสักสามเดือนค่อยโทร.มาใหม่” น้ำตาผมคลอ หากสะกดกั้นมันเอาไว้ไม่ให้สะอื้น
“ขอบคุณมากๆ เลยพี่” “จะว่าไปแล้ว สถานะของมึงก็ไม่ได้เ-ยเท่าคนอื่น คะดงคดีอะไรก็ยังไม่มี แต่หนีได้ก็ควรหนี ทีนี้ก็อย่าไปเสือกสงสารใครโดยไม่เข้าเรื่องอีก” “พี่จะโอนให้ผมเลยไหมครับ” ผมเร่ง เนื่องด้วยความกลัวประหลาดเข้าเคลือบแคลงสรรพางค์กาย “แถวนี้ไม่ค่อยมีสัญญาณโทรศัพท์ ผมจะได้เช่ารถเข้าตัวเมืองไปกดเงิน แล้วย้ายถิ่นทันที” พี่กริชเป็นคนไม่ชอบพูดพร่ำทำเพลง คงเพียงพยักหน้าจากปลายสาย แล้วเอ่ยว่า “อืมๆ ได้ๆ”
อากาศราวดีขึ้นทันตาเห็น เสียงลมพัดหวีดหวิวต้นไผ่ให้บรรยากาศอันสดชื่น ผมจุดบุหรี่สูบอีกมวน แล้วโทร.หาใครอีกคนที่ไม่อยากพูดคุยด้วยที่สุด หากก็ยังมีรักมีห่วงกันอยู่เสมอ อย่างน้อยเธอก็คงสามารถนอนหลับยามค่ำคืนได้เมื่อรู้ว่าผมยังมีชีวิตอยู่ ผมกดโทร. “…ว่า?” สั้นห้วนเหมือนเดิม “หายไปเป็นชาติ มีเรื่องเดือดร้อนอีกล่ะสิถึงโทร.หา” “คือผมมีเรื่องจะให้แม่ช่วย” “กูว่าแล้ว เรื่องใครอีกล่ะ”
“ผมบังเอิญเจอแสงดากับ…” “ฮะ ไปบังเอิญเจอมันที่ไหน แล้วอีสองตัวที่หนีไปกับมันล่ะ บอกมานะ” จากนั้นก็มีทั้งเหมียนๆ… อโลม่าๆ… สารพัดคำหวานร่วงหล่นออกมาจากหญิงวัยห้าสิบสี่ผู้พูดและอ่านเขียนได้สองภาษา “พ่อมึงน่ะตามตัวพวกมันอยู่ ไม่ทนทำงานแล้วสำออย เสือกเผ่นหนีไปพึ่งบุญ แกเองถ้าอยากกลับบ้านก็ให้ริบของพวกมันมาทั้งหมดเดี๋ยวนี้” ผมเงียบฟัง พยายามปล่อยวางไม่ให้ความคุกรุ่นในใจระเบิด “แม่ครับ แม่ยังไม่เลิก…”
“นี่แกกลับไปคบกับพวกเพื่อนเอ็นจี… เอ็นจี… อะไรนั่นอีกแล้วใช่ไหม ไอ้พวกที่พาพวกมันหนีน่ะ” “เปล่าครับ ผมแค่อยากให้แม่ช่วย” “กลับมา! แล้วเอาตัวพวก…” ผมกดวาง จุดบุหรี่ขึ้นสูบอีกมวน ทุกอย่างว่างเปล่าไปหมด หากผมกล้าหาญได้เท่านายแบบอย่างไป่ ทาคน เชื่อมั่นและมีโชคเท่าฮาน เลย์ และธูซาร์ วินท์ ลวิน ก็คงดี ทำไมกันนะ- ทำไมผมไม่อยู่ในสปอตไลต์!
ทำไมผมยังไม่ปล่อยแสงดาไป เธอเป็นเด็กสาวบุคลิกสดใส กล้าคิดกล้าพูด แม้ไม่ได้เรียนจบสูง แต่เธอเป็นคนใฝ่รู้ เป็นนักอ่าน มีความฝันทำงานส่งตัวเองเรียนในมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลกเฉกเช่นวีรสตรีของเธอเคยทำสำเร็จมาแล้ว-จริงๆ หรือ?
แสงดาไม่เคยรู้ถึงการมีอยู่ของ ‘ภาพเหมือนออง ซาน ซูจี’ ในออกซ์ฟอร์ด- ถ้าผมไม่บอก และคงไม่รู้เช่นกันว่ามีภาพเขียนของศิลปินชาวญี่ปุ่นแขวนแทนที่ภาพของ ‘ด่อ ซุ’ แล้ว-ถ้าผมไม่บอกอีกเช่นกัน เธอปลด ‘ภาพเหมือนพลังแห่งศรัทธา’ หนีหัวซุกหัวซุนออกมาจากที่โรงงานสิ่งทอสารเคมีของนายใหญ่เมื่อปีที่แล้วพร้อมกับเพื่อนผู้หญิงอีกสองคน
เชื่อคำแนะนำของผมและมิตรสหายหัวก้าวหน้ายินยอมตั้งหลัก ณ ที่แห่งนี้ พร้อมกับนำรูปเหมือนเดียวที่หลงเหลือเป็นสมบัติตัวติดในผืนแผ่นดินแปลกหน้าขึ้นแขวนบนหัวนอน ไหล่ผมลู่ คอผมตก ดับบุหรี่ กลับจากระเบียงเข้ามาในห้องด้วยสีหน้าที่รู้แน่แก่ใจว่าไม่สู้ดี ลืมใส่แมสก์ระหว่างอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่ร้านกาแฟแล้ว-แ-งจะถ้าติดคงไม่มีชีวิตรอดมาจนถึงทุกวันนี้ ในใจเผลอสบถยาว
“คนเราเคยทำผิดพลาดมาด้วยกันทั้งนั้นแหละค่ะ” แสงดานั่งขัดสมาธิบนพื้นปูเสื่อน้ำมัน หันหน้ามาพูดทางนี้เหมือนอ่านใจผมออก “จะเป็นหญิงหรือเป็นชายก็ล้วนมีเรื่องที่น่ายกย่องและเรื่องไม่ดีทางโลกปะปนกันนั่นแหละ” นี่เป็นสิ่งเดียวที่เธอตระหนักรู้ด้วยตนเอง-ผมไม่เคยบอก และหลังจากนั้นทั้งคำพูดและกิริยาท่าทางของแสงดาก็ไม่เหมือนแสงดาอีกต่อไป
“นางงามที่ออกมาเรียกร้องฟรีด้อมสองคนก็เป็นไอดอลของหนู เหมือนที่ด่อ ซุ เคยเป็น เหมือนที่แม่โบวัวร์ก็เป็นแม่โบวัวร์ เหมือนแม่จริงๆ ของหนูเป็น จะมีชีวิตอยู่หรือเป็นผีไปแล้ว แม่ก็ได้สร้างหนูขึ้นมาจากเลือดเนื้อเชื้อไขของท่าน แม่ก็คือแม่” พูดจบเธอจึงหันกลับอย่างสงบนิ่ง เงยหน้าทอดตามองตรงไปยังภาพแขวนผนังพลางพึมพำบทสวด สำเนียงของเธอไม่ได้แปร่งปร่าอีกแล้ว
จากบริเวณที่เธอนั่งอยู่และผมยืนมองตัวแข็ง ทันใดนั้นราวปรากฏแสงขาวนวลค่อยๆ เปล่งประกายล้อมรอบตัวเด็กสาววัยสิบแปดผู้นี้ พลันสว่างไสวไปทั่วทุกสารทิศ แผ่พลังรัศมีไพศาลเกินประมาณมิได้ ผมเชื่อ ณ บัดดลนั้นเองว่า นี่คือแสงแห่งความโอบอ้อมอารีแด่มวลมนุษยชาติที่แท้จริง เป็นแสงอันมีอยู่ที่นี่ ณ ขณะนี้
เป็นครั้งแรกที่ผมเห็น ‘ภาพเหมือนพลังแห่งศรัทธา’ ตรงหน้าเด็กสาว…เป็นดาราผู้หญิงตามปกนิตยสารที่เธอตัดมันมาใส่กรอบแขวนไว้บริเวณหัวนอนเท่านั้นเอง •
โฆษณา