23 พ.ย. 2022 เวลา 03:25
ฎีกาที่ 4212/2564
คดีหมายเลขแดงที่ 218/2556 ของศาลแพ่งกรุงเทพใต้ เป็นคดีที่จำเลยที่ 1 เป็นโจทก์ฟ้องโจทก์เป็นจำเลย ขอให้ขับไล่โจทก์ออกจากที่ดิน 84 แปลง ซึ่งไม่มีที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ 3689 ที่มีชื่อจำเลยที่ 2 เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์แต่ผู้เดียวรวมอยู่ด้วย แม้จำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นภริยาสามีกันโดยชอบด้วยกฎหมายอันถือได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของรวมกับจำเลยที่ 2 ด้วยก็ตาม แต่เมื่อที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ 3689 มิใช่ที่ดินพิพาทกันในคดีดังกล่าว
เป็นเพียงที่ดินที่จำเลยที่ 1 เสนอขายให้แก่โจทก์รวมไปกับที่ดิน 84 แปลง ที่พิพาทกันเพื่อเป็นการระงับข้อพิพาทในคดีด้วยการทำสัญญาประนีประนอมยอมความเท่านั้น เมื่อโจทก์ผิดนัดไม่สามารถชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ จำเลยที่ 1 ก็บังคับคดีได้เพียงที่ดินพิพาท 84 แปลง ตามฟ้องในคดีหมายเลขแดงที่ 218/2556 ไม่อาจบังคับคดีเกี่ยวกับที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ 3689 ได้
เพราะมิใช่ส่วนหนึ่งของฟ้องในคดีดังกล่าว ดังนั้นฟ้องแย้งของจำเลยที่ 2 เกี่ยวกับที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ 3689 ที่ขอให้ขับไล่โจทก์และบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกไปจึงไม่เป็นการรื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ อันจะต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 และโจทก์มิได้ให้การต่อสู้คดีว่า มิได้อยู่ในที่ดินหรือมีสิทธิอยู่ในที่ดินอย่างไร
จึงต้องฟังว่า โจทก์อยู่ในที่ดินโดยไม่มีสิทธิเป็นละเมิดต่อจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 จึงมีอำนาจฟ้องแย้งขับไล่โจทก์และบริวารขนย้ายทรัพย์สินรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ 3689 ได้
โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนสัญญาซื้อขายที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ 3689 ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 โดยอ้างว่าทำเพื่ออำพรางการกู้เงินโดยมีที่ดินแปลงดังกล่าวเป็นประกันการชำระหนี้ จำเลยที่ 2 ให้การต่อสู้ว่า เป็นการทำสัญญาซื้อขายที่สมบูรณ์
โจทก์ขายที่ดินให้โดยสมัครใจ และฟ้องแย้งขอให้ขับไล่โจทก์และบริวารออกไปจากที่ดิน โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งโดยยืนยันตามฟ้องเดิม จึงเป็นการโต้แย้งกันเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์เหนือที่ดินดังกล่าวว่าใครมีสิทธิดีกว่ากัน หากผลของคดีเป็นไปตามข้ออ้างของฝ่ายใด ฝ่ายนั้นย่อมได้ไปซึ่งกรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าว คดีในส่วนนี้จึงเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 150 วรรคหนึ่ง
ซึ่งตามสำเนาหนังสือสัญญาขายที่ดินตกลงซื้อขายในราคาเป็นเงิน 145,000,000 บาท จึงถือว่าทุนทรัพย์ที่พิพาทในที่ดินแปลงนี้เท่ากับจำนวนเงินที่ตกลงซื้อขายกัน มิใช่ราคาประเมิน 18,400,000 บาท ตามที่จำเลยที่ 2 ให้การและฟ้องแย้ง เมื่อคดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องของโจทก์และยกฟ้องแย้งของจำเลยที่ 2 เกี่ยวกับที่ดินแปลงนี้ โจทก์และจำเลยที่ 2 ต่างอุทธรณ์ขอให้บังคับตามคำขอของแต่ละฝ่ายเช่นเดียวกันกับคำขอในศาลชั้นต้น ราคาทรัพย์สินที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์จึงเป็นอย่างเดียวกับในศาลชั้นต้น
แม้ต่อมาโจทก์จะขอถอนอุทธรณ์และศาลอุทธรณ์ภาค 1 มีคำสั่งอนุญาต ก็ไม่ทำให้ทุนทรัพย์ในชั้นอุทธรณ์เปลี่ยนแปลงไป จำเลยที่ 2 ต้องชำระค่าขึ้นศาลตามตาราง 1 (1) (ก) ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง เป็นเงิน 295,000 บาท ตามคำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค 1 ชอบแล้ว
อนึ่ง ในชั้นฎีกาจำเลยที่ 2 ฎีกาฝ่ายเดียว โจทก์มิได้ฎีกาต่อมา ปัญหาเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ในที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ 3689 จึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ว่า จำเลยที่ 2 เป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงนี้ คงมีปัญหาตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ว่า ฟ้องแย้งของจำเลยที่ 2 เกี่ยวกับที่ดินแปลงนี้ เป็นฟ้องซ้ำหรือไม่
และจำเลยที่ 2 จะขอให้บังคับโจทก์และบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินได้หรือไม่ คดีของจำเลยที่ 2 ในชั้นฎีกาจึงเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ ต้องชำระค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาตามตาราง 1 (2) (ก) ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 150 วรรคสอง เป็นเงิน 200 บาท แต่จำเลยที่ 2 ชำระมาเป็นเงิน 295,000 บาท เกินมา 294,800 บาท จึงคืนให้แก่จำเลยที่ 2

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา