23 พ.ย. 2022 เวลา 08:29 • ความคิดเห็น
ความตาย ภาษี และการพูดในที่สาธารณะ
ผมกำลังเตรียมเนื้อหาเพื่อบรรยายอาทิตย์หน้าให้กับบริษัทแห่งหนึ่งซึ่งน่าจะมีคนฟังแบบเจอหน้ากว่าสองร้อยคนและทางออนไลน์อีกเป็นพัน ตอนเตรียมๆ พอนึกถึงจำนวนคน ความตื่นเต้นก็เริ่มมา โดยปกติ เดือนๆหนึ่งผมต้องขึ้นเวทีเล่าเรื่องเดี่ยวบ้าง เป็น Panel ถามตอบบ้าง สัมภาษณ์คนบ้าง เป็นพิธีกรบ้าง อยู่หลายงาน มีหลายคนบอกว่าอยากบรรยายได้แบบผม แต่คิดว่าคงทำไม่ได้
ผมไม่มีพรสวรรค์เหมือนพี่ ขึ้นไปก็ขาสั่นแล้วพี่ ไม่เอาหรอก
หลายคนพูดแบบนั้น...
ความกลัวเวลาต้องพูดต่อหน้าคนเยอะๆ เป็นปัญหาของผมมาตั้งแต่เด็ก ผมไม่เคยมีความมั่นใจเลยในการออกมาพูดหน้าชั้นเรียน ผมจะมีอาการมือสั่น เหงื่อออก ใจสั่น พูดติดๆ ขัดๆ ปวดท้องแล้วก็พูดไม่รู้เรื่อง ถ้าแทรกแผ่นดินหนีได้ก็คงทำไปแล้ว
ผมคงแย่มากๆ เลยทีเดียว เพราะมีงานเลี้ยงรุ่นเตรียมอุดมครั้งหนึ่ง เพื่อนมัธยมผมที่รู้จักกันมากว่ายี่สิบกว่าปียังบอกว่าจำผมได้แม่นเพราะเขาเป็นคนตัวเล็กต้องนั่งหน้าห้องแล้วผมเป็นคนที่เขาสงสารที่สุดเวลาออกมาพูดหน้าชั้น เพราะผมมือสั่น หน้าซีด พูดตะกุกตะกัก เหงื่อท่วมตัว .. เขากลัวผมเป็นลม!
จริงๆ แล้วปัญหานี้เป็นปัญหาใหญ่ของคนทั้งโลก เพราะแม้แต่ฝรั่งก็ยังมีคำกล่าวว่า ความกลัวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมนุษย์มีสามอย่าง คือ กลัวตาย กลัวภาษี และกลัวการพูดต่อสาธารณชน เรื่องภาษีนี่ถกเถียงกันได้ แต่เรื่องพูดต่อหน้าคนมากๆแม้กระทั่งฝรั่งที่เราเห็นว่าพูดกันเก่งๆ ไม่ได้ขี้อายเหมือนคนไทย ก็ยังกลัวการพูดต่อสาธารณะ
ความกลัวนี้ เป็นเรื่องที่ผมไม่คิดว่าจะหลีกเลี่ยงหรือแก้ไขมันได้ เหมือนกับความตายและภาษีที่ฝรั่งบอกอย่างไรอย่างนั้น ผมคิดว่าการพูดต่อหน้าคนเยอะๆ นั้น น่าจะต้องเป็นพรสวรรค์ ใครเกิดมาพูดได้ก็จะพูดได้ ใครเกิดมาพูดไม่ได้ก็จะพูดไม่ได้ ผมก็ใช้วิธีหลีกหนีเอาตลอดเท่าที่จะหนีได้ ตอนโตขึ้นมาก็ไม่เคยอาสาที่จะกล่าวอะไรหรือบรรยายอะไรที่มีคนเกินกว่าห้าคน ถ้าจำเป็นต้องพูดก็จะทำได้ไม่ดี อับอายขายหน้าอยู่บ่อยครั้ง
งานแต่งงานก็เป็นงานที่ผมจะหลีกเลี่ยงเสมอ แต่ด้วยความที่มีลูกน้องอยู่บ้าง บางครั้งก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ ผมก็พูดได้แย่มากๆทุกครั้ง มีครั้งหนึ่งเป็นงานของเลขาผม ผมเป็นผู้บังคับบัญชาโดยตรงของเขา จะหนียังไงเขาก็ไม่ยอม บอกว่าพูดไม่ได้เขาก็ไม่เชื่อ ผมก็เลยต้องรับพูด
พอไปถึงงานก็ปรากฏว่าเป็นโต๊ะจีนซึ่งหนักหนาสาหัสเข้าไปอีก เพราะระหว่างพูดคนก็คุยกันเสียงดัง เสียงตะเกียบกระทบกับชาม เสียงตะโกนคุยกันดังลั่นไปหมด ปกติผมก็พูดแทบไม่ได้อยู่แล้ว พอเจอโต๊ะจีนไปก็ยิ่งเละ ผมมือสั่น พูดไปก็ลงไม่ได้ เหงื่อท่วมตัว ผมจำไม่ได้ว่าพูดอะไรบ้าง รู้แต่ว่าพูดไม่ได้เนื้อความอะไรเลย พูดผิดๆ ถูกๆ ความแย่ถึงขนาดที่ว่าพอลงมาแล้ว
คนในโต๊ะไม่มีใครคุยกับผมเลย คงกลัวผมเสียใจ เจ้าสาวซึ่งเป็นเลขาของผมก็ไม่เคยเอ่ยถึงอะไรอีก เพราะคงแย่มากเกินกว่าจะขอบคุณ แต่ก็ไม่กล้าบ่นเพราะผมเตือนแล้วว่าผมพูดไม่ได้
ในช่วงที่ผมรับงาน ดูแลเรื่องการตลาดใหม่ๆ เป็นช่วงที่ทรมานมาก เพราะการทำงานการตลาดต้องมีการแถลงข่าว ผมจำได้ถึงตอนที่เปิดตัวแบรนด์แฮปปี้ ซึ่งผมต้องขึ้นเล่าเรื่องบนเวที ผมซ้อมท่องสไลด์อยู่แปดชั่วโมง จนภรรยาผมหลับแล้วตื่นขึ้นมา ผมก็ยังท่องอยู่ พยายามจะจำให้ได้ แต่ถึงเวลาจริงๆก็จำไม่ค่อยได้ พูดผิดพูดถูก อับอายขายหน้านักข่าวพอสมควร
1
นอกจากนั้นแล้ว เวลาผมจะต้องขึ้นแถลงข่าว ผมจะมีอาการทางจิตก็คือจะปวดท้องเข้าห้องน้ำ ด้วยความกังวลและคิดจินตนาการไปว่าจะทำยังไงถ้าปวดท้องตอนแถลงข่าว เพราะเราจะไม่สามารถขออนุญาตไปเข้าห้องน้ำได้ ผลก็คือจะปวดท้องทุกครั้งด้วยความวิตกจริต การแถลงข่าวทุกครั้งก็จะเป็นไปด้วยความทรมานทั้งร่างกายและจิตใจ เพราะจะหนีก็หนีไม่ได้เนื่องจากเป็นความรับผิดชอบ ทำได้ก็ไม่ดีเพราะไม่ได้มีความสามารถในการพูดต่อสาธารณชนเลย
ผมไม่รู้ว่ามีจุดเปลี่ยนจริงๆ วันไหนชัดๆ แต่พอจำได้ว่า ถึงจุดหนึ่งที่พยายามอิดออดไม่ขึ้นพูดแถลงข่าว แต่มีน้องคนนึง มาบอกว่า ผมเป็นตัวแทนของน้องๆ ถ้าผมไม่พูด งานที่เราทำก็จะดูไม่น่าเชื่อถือ จะเกิดคำถามตามมามากมาย คำพูดเล็กๆ อันนั้น ทำให้รู้สึกว่าผมมีน้องๆ หลายสิบชีวิตที่ผมเป็นตัวแทนเขาอยู่ จริงๆ แล้วจะเรียกว่าทั้งบริษัทก็ได้ เพราะผมพูดในนามบริษัท ทำให้ผมเริ่มมาคิดว่าผมไม่ควรจะหนีปัญหา และผมคงจะหนีปัญหานี้ไม่ได้นอกจากจะลาออกจากงานแล้วไปทำอาชีพอื่นที่ไม่ต้องพูด
พอใจเปิดหลังจากปิดมาสามสิบกว่าปี ผมเริ่มคิดที่จะไม่หนีมัน ผมเริ่มสังเกตคนที่พูดได้ดีทั้งนักพูดมืออาชีพอย่างคุณอุดม แต้พานิช หรือคนใกล้ตัวผมอย่างซิกเว่ เบรกเก้ เจ้านายเก่า รวมถึงคนที่พูดดีๆที่ต่างประเทศอย่างสตีฟ จ๊อบส์ ผมเริ่มสังเกตเห็นวิธีการใช้สไลด์ของซิกเว่ หรือสตีพ จ๊อบส์ ว่าไม่ได้มีตัวอักษรมากมายเลย เป็นแค่รูปบอกเรื่องราว แล้วเขาก็เล่าเหมือนเล่าเรื่องของรูปนั้นๆ ต่อๆ กัน
ผมเริ่มลองใช้สไลด์แบบรูปเยอะแทน
ซึ่งกลับกลายเป็นผลดี เพราะเวลาทำสไลด์แบบตัวอักษรเยอะๆ จะทำให้เรากังวลว่าจะพูดไม่ครบ แล้วเราก็จะพยายามอ่านทั้งหมดอีกครั้งซึ่งน่าเบื่อมากทั้งคนพูดคนฟัง พอคนฟังไม่ฟัง เรายิ่งประหม่า แต่พอใช้รูปเข้าช่วย กลับทำให้เราไม่ต้องจำเยอะ จำแค่ประเด็นหลักๆ แล้วก็เล่าได้เลย
ผมเคยฟังคุณอุดม แต้พานิช พูดถึงการเล่าเรื่องว่า รู้อะไรก็ให้เล่าแค่นั้น เช่นถ้ารู้แค่บางกะปิก็เล่าแค่บางกะปิ อย่าไปเล่ายุโรป หรืออเมริกา อย่าไปพูดเรื่องที่เราไม่รู้จริง ผมก็มาปรับใช้กับการบรรยาย พยายามพูดในหัวข้อที่เรารู้จริง ลองผิดลองถูกไปเรื่อยๆ
การออกกำลัง ด้วยการวิ่งเยอะๆ ก็ช่วยได้มาก พอหัวใจเต้นช้าลง แข็งแรงขึ้น อาการใจสั่น หรือหัวใจเต้นเร็วด้วยความตื่นเต้นก็น้อยลง พอหัวใจปกติ ความมั่นใจก็มาพอสมควร
1
ส่วนเรื่องการปวดท้องก่อนขึ้นเวที ผมก็ยังเป็นมาเรื่อยๆ แก้ยังไงก็ไม่หาย จนมีวันนึงผมทานผักเยอะมากก่อนวันพูดจริงวันนึง ปรากฏว่าวันนั้นผมไม่ปวดท้อง คิดระแวงยังไงก็ไม่ปวด มาคิดทบทวนดูก็คิดว่าเป็นเรื่องทานผัก ผมก็เลยลองใช้วิธีทานผักสองมื้อติดกันก่อนขึ้นเวที ปรากฏว่าอาการปวดท้องที่เคยมีก็หายไป พออาการทางร่างกายที่ทำให้เรากังวลทั้งใจสั่น และปวดท้องหายไป สมาธิก็ดีขึ้น
1
คุณอุดม แต้พานิช เป็นคนที่ชี้ทางในเรื่องพูดให้ผมได้มากจากบทสัมภาษณ์ของเขา เขาบอกว่า คนเราต้องหาโอกาสไปแป้กบ้าง เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้ตัวเอง เขาบอกอีกว่าการเล่าเรื่องสำคัญที่ความอยากจะเล่า ถ้าไม่มีความอยากที่จะเล่าแล้ว เรื่องนั้นก็จะเป็นเรื่องธรรมดาที่ไม่จับใจคนฟัง แม้กระทั่งระดับอุดม แต้พานิชนั้น เขาเองก่อนขึ้นเวทีใหญ่ เขาก็ไปเล่าตามเวทีเล็กๆ ขำบ้าง แป้กบ้าง เป็นสิบๆครั้ง พูดไปซ่อมไปแล้วถึงพร้อมขึ้นงานเดี่ยวได้อย่างมั่นใจ
ผมก็เลยไปเสนอตัว บรรยายตามที่ต่างๆ รวมถึงรับคำเชิญให้ไปบรรยายเท่าที่ทำได้ ผมพยายามหาเรื่องที่ผมอยากเล่าซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลง ทั้งการเปลี่ยนแปลงที่ดีแทคและการเปลี่ยนแปลงตัวเอง เอาเรื่องที่ผมเคยอ้วนและป่วยไปเล่าว่าออกจากวิกฤตตรงนั้นได้อย่างไร พูดผิดพูดถูก พูดแล้วล้มเหลวบ่อยมากในช่วงแรกๆ แต่ก็คอยสังเกตคนฟัง คนฟังกลุ่มนี้หัวเราะกับสไลด์แผ่นไหน มุกแบบไหน เรื่องไหนพูดแล้วไม่มีการตอบรับ ในช่วงสองปีที่เริ่มตั้งใจจะพูด ผมรับบรรยายเป็นร้อยครั้ง
เวลาผ่านไปสองสามปีแบบไม่รู้ตัว ผมมาสังเกตตัวเองว่าผมสามารถขึ้นเวทีได้โดยที่ไม่ปวดท้อง ใจสั่นอีกต่อไป และสามารถพูดในที่สาธารณะได้ในเรื่องที่ตัวเองถนัด แต่ก็ไม่ได้เก่งกล้าสามารถขนาดที่จะขึ้นไปเดี่ยวไมโครโฟนโดยไม่ต้องเตรียมตัวได้
เมื่อไหร่ที่ประมาท ไม่เตรียมตัว ก็จะพูดได้ไม่ดี ทุกๆครั้งที่ผมจะขึ้นพูด ผมก็จะต้องออกกำลังสม่ำเสมอ ทานผักสองมื้อก่อนพูดทุกครั้ง และต้องซ้อมทบทวนกับตัวเองก่อนเสมอด้วยเตือนตัวเองว่าเราไม่ได้มีพรสวรรค์ และถ้าเราไม่ฝึกซ้อมบ่อยๆ เราก็จะพูดได้ไม่ดี ผมเองน่าจะผ่านเวทีหลายร้อยครั้งถึงจะเริ่มมั่นใจ คนที่ไม่เริ่มจากติดลบแบบผมอาจจะน้อยกว่านั้นมาก
หลายปีที่ผ่านมา ผมเริ่มเห็นคุณค่าของการที่สามารถถ่ายทอดเรื่องราวในลักษณะการบรรยายได้มากขึ้นเรื่อยๆ นอกจากจะช่วยเรื่องงานที่ทำอยู่แล้ว ยังน่าจะมีประโยชน์กับคนหลายคนที่ได้ยินเรื่องราวต่างๆ เช่นผมไปเล่าเรื่องเคยป่วยแล้วต้องออกวิ่ง เล่าถึงเรื่องราวที่เคยชวนผู้บริหารวิ่งสิบกิโลด้วยกัน ก็ทำให้หลายองค์กรหลายคนเริ่มออกไปวิ่ง การไปรับพูดในที่ต่างๆก็ยังได้รู้จักคนเพิ่ม ได้กัลยาณมิตรเพิ่มอยู่หลายครั้งหลังจากนั้นอีกด้วย
ที่ผมเขียนเรื่องนี้ก็เพื่ออยากจะเป็นกำลังใจ ให้คนจำนวนมากที่กลัวการพูดในที่สาธารณะ ถ้าผมซึ่งเป็นคนที่ไม่น่าจะพูดในที่ชุมชนได้ที่สุดคนนึง ล้มเหลวในเรื่องนี้มาตลอดชีวิตตั้งแต่เด็ก สามารถปรับเปลี่ยนและสามารถพูดในที่สาธารณะได้ในระดับที่พอใช้ได้ ผมก็เชื่อว่าใครๆ ก็ทำได้ เพราะผมเริ่มจากติดลบมาด้วยซ้ำเมื่อเทียบกับคนอื่นๆ
จากบทเรียนที่ผมได้รับ การพูดในที่สาธารณะไม่ใช่มีในเฉพาะคนที่มีพรสวรรค์แต่เป็นทักษะที่เกิดจากการฝึกฝนและไป “แป้ก” บ่อยๆ
โดยเริ่มจากการเปิดใจเข้าหามันและเรียนผิดเรียนถูก พูดไปซ่อมไประหว่างทาง…
โฆษณา