23 พ.ย. 2022 เวลา 12:15 • หุ้น & เศรษฐกิจ
📌📌 สรุปคลิป ‘ เจาะลึกโมเดลหุ้น ไม่ติดดอย ’ จาก พี่โจ ลูกอีสาน ✅✅recommended ต้องฟังงง‼️
🙏 Money Chat สำหรับคลิปดีๆ ตัวเต็มอยู่ใน Comment นะครับ 🔥
วันนี้แอดอยากจะแชร์คลิปดีๆจากพี่โจ ลูกอีสาน ในรายการ Money Chat มาให้ได้ฟังกัน จากที่ฟังมาแล้วถึงกับต้องร้องว้าว เพราะพี่โจพูดไว้ดีมากๆ อาจจะเป็นข้อคิดให้กับนักลงทุนได้ไม่มากก็น้อย
ซึ่งพี่โจบอกว่า เจ้ามือในตลาดหุ้น >> ไม่ใช่ใคร แต่เป็นผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน
และมองว่า ถ้าจะซื้อหุ้นที่ผ่านพ้นวิกฤตมาแล้ว และคิดว่าเค้าจะได้ประโยชน์ จะต้องดูให้ดี เพราะหุ้นหลายตัวราคามันได้ตอบสนองขึ้นมาระดับหนึ่งแล้ว
ถ้าไปดูย้อนหลัง หุ้นที่ได้รับผลกระทบจากโควิดมากๆ ราคา และ market cap.วันนี้ สูงกว่าเกิดโควิดอีก
ถ้าใครที่คิดว่าจะไปซื้อหุ้นเก็งกำไร แนวทางเปิดเมือง อาจจะต้องคิดนิดนึง ว่า valuation มันแพงไปหรือยัง?
2
แต่ในทางตรงกันข้าม ก็มีหุ้นอีกกลุ่มหนึ่งที่ให้ระมัดระวัง คือ หุ้นที่ได้รับประโยชน์จากโควิด หุ้นเหล่านี้พอโควิดระบาด กำไรระเบิดระเบ้อ กระฉูดเลย เราเลยไปคิดว่าสิ่งเหล่านั้นจะยั่งยืนถาวร
แต่สุดท้าย..ตอนนี้พอโควิดหายไป หุ้นเหล่านี้เหนื่อยนะ หลายตัว อย่างหุ้น ถุงมือยาง ราคาลดลงประมาณ 70-80% จากตอนพีคๆ เนี่ย! คือความโหดร้าย ความน่ากลัว ทำให้นักลงทุนเจ็บตัวเยอะ
พวกหุ้นสายการเดินเรือ shipping เริ่มเละเทะละ โรงพยาบาลบางแห่งกำไรลดลงมากกว่า50% เพราะไตรมาสก่อนหน้าได้รับประโยชน์จากโรคระบาด
พี่โจยังบอกอีกว่า “ การเป็นนักลงทุนมารมันเยอะ ถ้าเราพลาดอาจจะไม่ตาย แต่มันเหนื่อย ” เพราะฉะนั้นอย่าพลาดตั้งแต่ต้นดีที่สุด
และหุ้นที่ทำให้นักลงทุนแนวพื้นฐานพลาดมากที่สุด ก็คือ..หุ้นวัฏจักร หุ้นที่กำไรผันผวนขึ้นๆลงๆ
1
หลายๆเหตุการณ์ หลายๆวิกฤต ที่ผ่านมาไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดขึ้น พี่โจบอกว่า เรามีหน้าที่ลงทุนในบริษัทที่เรารู้ พยายามลดความเสี่ยง balance ถ้าเกิดเหตุการณ์วิกฤตซ้อนวิกฤตขึ้นมา อย่างน้อยเราก็จะตายเป็นคนสุดท้าย
หุ้นแปลกอย่างหนึ่ง คือ ยิ่งมันลงเยอะขึ้นมากเท่าไหร่ ยิ่งทำให้นักลงทุนหวาดกลัวมากขึ้นเท่าไหร่ จริงๆมันจะทำให้ราคาความคุ้มค่าของหุ้นมากขึ้นเท่านั้น
1
พูดง่ายๆคือ “ ยิ่งลง ยิ่งปลอดภัย ” “ ยิ่งขึ้น ยิ่งอันตราย ” สำหรับคนที่เข้าไปซื้อ
1
พี่โจมองว่า ปีหน้าราคาหุ้น จะปลอดภัยกับคนที่เข้าไปซื้อมากกว่าคนที่ซื้อก่อนหน้าค่อนข้างเยอะ ปี22 นี่เละแทบทุกประเทศ
นักลงทุนคนไหน ที่กำลังท้อแท้ ให้มองลงข้างล่าง คนที่ขาดทุนมากกว่าเรา ใครที่ขาดทุน 20% อย่าเพิ่งท้อเเท้ ให้มองคนที่ขาดทุน 70% อันนี้เป็นเทคนิคเวลาที่หุ้นลงจะได้มีกำลังใจ
📌พี่โจปรับพอร์ทยังไง? ในช่วงปีนี้
โลกทุกวันนี้เต็มไปด้วยความคลุมเครือ ความซับซ้อน เหตุการณ์หนึ่งๆ มันส่งผลต่อเนื่อง ความแน่นอนมีน้อยเหลือเกิน
พี่โจเลยใช้วิธี back to basic กลับมาสู่รากฐานของ VI ดั้งเดิมเพิ่มขึ้น พยายามเน้นหุ้นที่ราคาถูก ราคาต่ำๆ มีความแน่นอน มีปันผลระดับนึง หุ้นgrowthมีบ้างแต่ก็ลดๆลง
ในตลาดต่างประเทศถ้าเค้าจ่ายปันผล จะไม่ซื้อหุ้นเพิ่ม แต่จะโยกมาซื้อหุ้นในประเทศอื่นที่ความเสี่ยงต่ำและvaluationค่อนข้างน่าสนใจ อย่างช่วงนี้จะมีไทย เวียดนาม
ตอนนี้น้ำหนักพอร์ทของพี่โจ มีหุ้นไทยเกินครึ่งนิดหน่อย อีก40%เป็นหุ้นต่างประเทศ แต่ถ้าประเทศไหนที่ไม่มั่นใจก็จะโยกเงินไปประเทศที่มั่นใจมากขึ้น อย่างได้ปันผลจากจีนเยอะ ก็จะโยกไปที่เวียดนาม
ข้อคิดสำหรับปีนี้ ที่เราอาจจะมองหุ้นบางตัวผิดไป หลายๆเหตุการณ์ที่ไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นมันไม่มีใครรู้ล่วงหน้า พี่โจบอกว่าเราต้องให้อภัยตัวเอง จดบันทึกไว้ เรียนรู้ว่าเพราะอะไรทำไมถึงผิดพลาด มองไปข้างหน้าเพราะตลาดหุ้นก็เปิดอยู่ทุกวัน อย่าไปจมมาก ผิดพลาดคือเรื่องปกติ
พี่โจเป็นคนหนึ่งที่รู้เรื่องเกี่ยวกับหุ้นโภคภัณฑ์เยอะมาก แต่ปีนี้ก็ยังประเมินผิดพลาด เพราะเชื่อผู้บริหารมากเกินไป และไม่คิดว่าตลาดจะลงแรงมากกว่าที่คาดการณ์ สิ่งที่ขับเคลื่อนตลาดคือคนส่วนใหญ่ไม่ใช่เราคนเดียว ถ้าเราละเมิดกฎ VI ก็สมควรขาดทุน แต่ก็รอโอกาสเอาคืนใหม่
หลักใหญ่ๆ VI “ ต้องยึดที่พื้นฐาน และ Valuation การประเมินมูลค่า ” เป็นหลัก 🌟🌟
ถ้าเกิดเราไม่มีหลักยึดเหนี่ยวเราจะอยู่ไม่ได้ ไม่ว่านักลงทุนแนวไหนจะต้องมีที่ยึดเหนี่ยว ถ้าเราเผชิญความผันผวน เราจะไม่หลุดออกจากหลักการ
ปีนี้พี่โจปรับพอร์ทน้อยที่สุดตั้งแต่ลงทุนมา เพราะไม่มีไอเดียใหม่ๆในการซื้อหุ้น ให้เวลาเยียวยา หุ้นมันกลับมาได้แน่นอนพี่โจบอกว่าเราต้องอดทน ไม่ต้องไปซื้อขาย ว่างมากขึ้นก็ปลีกเวลาไปทำอย่างอื่นแทน
ปกติพี่โจจะซื้อ 10-20 ตัว 30-50 ตัวก็เคย แต่ก็พยายามปรับให้โฟกัสมากขึ้น เฉลี่ยแล้วก็ 30-50 ตัวเหมือนเดิม ที่เวียดนาม 50 ตัว จีน 10 กว่าตัว ประเทศอื่นเล็กน้อย หุ้นไทย 20 ตัว เป็นการลงทุน comfortableของพี่โจ ถ้าน้อยเกินไปไม่สามารถทนได้ถ้าหุ้นไม่เป็นไปตามคาด แต่ให้มากกว่านี้ก็เหนื่อยเกินไป เพราะไม่ได้เน้นผลประกอบการเป็นหลัก แต่ก็เอาความสมดุลด้วย
หุ้นขนาดเล็กถือเป็นโอกาส หุ้นขนาดใหญ่มีความแน่นอนสูงขึ้นแต่ในขณะเดียวกันผลตอบแทนก็สู้หุ้นขนาดเล็กไม่ได้ ยังไงเราก็ต้องประเมินไปด้วย
“ ทุกข์ของนักลงทุน เราอยากจะได้กำไรทุกปี นี่คือทุกข์ที่สุด บางปีมันต้องย่อบ้าง เพราะการย่อมันทำให้เรากระโดดได้สูง ” เราก็ย่ออย่างเต็มใจ พอมันมาเมื่อไหร่ เราก็กระโดดพุ่งเลย
บางคนเงินทุนน้อย ย่อนานๆก็อาจจะลุกไม่ขึ้น ต้องหาเงินมาเพิ่ม นี่คือเหตุผลที่คนทุนน้อยอย่าเพิ่งลาออก
 
“ หุ้นลงเราต้องซื้อ อย่าเพิ่งลังเล ถึงแม้มันจะลงอีกก็ตาม แล้วมันก็ไม่ได้ลงทุกวัน เดี๋ยวมันก็ขึ้น ”
พี่โจเชียร์ให้ซื้อตลาดหุ้นจีน ฮ่องกง ตอนนี้ สำหรับคนที่มีความสามารถมีความรู้ โอกาสขาดทุนน้อยกว่าพี่โจเยอะมาก ไม่ได้การันตีว่าเค้าจะไม่ลงอีก แต่ดัชนีตอนที่พี่โจลง 29,000 จุด ตอนนี้ลงมา 16,000 จุด จึงเป็นจุดที่น่าซื้อ โอกาสเด้งมีมากกว่าลงจากหลายปัจจัยโดยเฉพาะ zero covid และในอนาคตจีนอาจเป็นประเทศมหาอำนาจใหม่ ส่วนตัวพี่โจมีการเตรียมตัวอยู่บ้าง ถ้าชัดเจนก็จะเตรียมตัวเพิ่มมากขึ้น
การขึ้นดอกเบี้ยของ Fed มีผลต่อพื้นฐานบริษัทและการดึงดูดของนักลงทุนในตลาดหุ้น แต่พี่โจไม่ได้กังวลมาก เพราะเชื่อว่าดอกเบี้ยเป็นเรื่องชั่วคราว ถึงมันขึ้นได้เเต่เดี๋ยวมันก็ลงได้ มันขึ้นเพราะว่าสงคราม เดี๋ยวสงครามสงบมันก็ลง
เราต้องดูว่าบริษัทที่เราลงทุนถ้าแบกหนี้ไว้อ่วมเลย และการแข่งขันมันสูง มันก็อาจจะกระทบ แล้วยิ่งบริษัทเป็นดอกเบี้ยลอยตัวอาจจะซวย
การลงทุนในตลาดต่างประเทศช่วงเศรษฐกิจถดถอย พี่โจบอกว่าต้องดูตลาดหุ้นว่าซึมซับเศรษฐกิจถดถอยแล้วหรือยัง? ถ้าเศรษฐกิจยังไม่ได้ถดถอยมากแต่ตลาดหุ้นถอยไปแล้ว 20-30% พอเกิดเศรษฐกิจถดถอยจริงๆFedจะลดดอกเบี้ย พอFedลดดอกเบี้ย เศรษฐกิจยังไม่ดีขึ้นเลย แต่ตลาดหุ้นตอบรับไปแล้ว
อย่าลืมว่า ตลาดหุ้นเป็นดัชนีชี้นำ จะนำไปก่อนเศรษฐกิจจริงก่อนเสมอ
แปลว่า เศรษฐกิจถ้าตรงนี้เป็นจุดพีคของดอกเบี้ยแล้ว ตลาดหุ้นอาจจะซึมซับข่าวไปหมดแล้วก็ได้
ปัจจุบันไทยเข้าสู่สังคมสูงวัย เป็นปัญหาที่แก้ไม่ได้ นักลงทุนหลายคนเลยต้องไปบุกเบิกตลาดต่างประเทศที่มีวัยแรงงานอย่าง เวียดนาม จีน ภาพระยะยาวน่าจะโตกว่าไทย แต่ภาพย่อยยังมีบางบริษัทในไทยที่กำไรเติบโตได้ในสภาวะที่GDPเติบโต 3-4% ซึ่งเราต้องหาให้เจอ ใครทำการบ้านก็จะได้รางวัลไป
ในอดีตพี่โจมีวิธีในการค้นหา คือดูทุกบริษัท โดยอ่าน 56-1 แล้วจดไว้ ติดตามข่าวสาร สุดท้ายจะเข้าใจทุกบริษัทในตลาดหุ้นว่ามีจุดตายยังไง อันไหนกำลังจะแย่ก็ขายหุ้น อันนี้คือข้อได้เปรียบที่สุดมากกว่าเจ้าของบริษัท
ปีหน้าเป็นปีที่เศรษฐกิจเริ่มฟื้น ทั้งนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น มีการเลือกตั้ง พี่โจมองว่ารายใหญ่จะยิ่งใหญ่ขึ้น ส่วนหุ้นเล็ก กลาง ที่ไม่มีความสามารถในการแข่งขันที่โดดเด่นจริงๆจะอยู่ยาก เริ่มนิ่งๆ ต้องระวัง ถ้ามันลงอาจจะลงได้อีก ต้องเลือกที่มีปันผล ความแน่นอนเยอะหน่อย เพราะหุ้นพวกนี้ต่อให้ตลาดลงมันก็ไม่ลง
เรื่อง Business Model พี่โจให้ความสำคัญมาก แล้วให้น้ำหนัก Valuation รองลงมา
Business Model เหมือนจุดเริ่มต้น ถ้าจุดเริ่มต้นไม่ดี สุดท้ายผลลัพท์ก็จะไม่ดี
ส่วนตัวพี่โจชอบ Business Model ที่รายได้เดิมจากลูกค้าคนเดิมยังอยู่ และยังสามารถเพิ่มลูกค้าขึ้นได้เรื่อยๆ สามารถทบลูกค้าใหม่ได้เรื่อยๆ จะทำให้รายได้เพิ่มได้เรื่อยๆ กำไร ปันผล ก็จะเพิ่ม
เรียบเรียง by แอดมินสานฝัน.
ผู้สนับสนุน
สนใจเปิดบัญชี ค่าคอมหุ้น 0.05%
TFEX สัญญาละ 18-20
กับโบรคเกอร์ ASL
แนะนำหุ้นโดยที่ผู้แนะนำการลงทุนที่มีใบอนุญาต
แจ้งชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทรทาง INBOX ได้เลยครับ
โฆษณา