25 พ.ย. 2022 เวลา 07:24
ฎีกาที่ 299/2560
การร้องขอให้ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินของผู้อื่นโดยการครอบครองปรปักษ์ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมาแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 นั้น เป็นการโต้แย้งเกี่ยวด้วยกรรมสิทธิ์ในที่ดินของผู้อื่น ซึ่งกรรมสิทธิ์ในที่ดินจะมีได้แต่ในที่ดินที่มีโฉนดเท่านั้น จึงจะถือว่าผู้ร้องขอมีเจตนาครอบครองอย่างเป็นเจ้าของได้ ที่ดินที่มีเอกสารสิทธิเป็นอย่างอื่น เช่น หนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3)
ที่ผู้ครอบครองมีเพียงสิทธิครอบครองนั้น ไม่สามารถร้องขอครอบครองปรปักษ์ได้ ที่โจทก์บรรยายฟ้องตอนแรกว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์และภริยาโดยนางสอดยกให้ขณะที่ดินมีเอกสารสิทธิเป็นหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) จึงเป็นการบรรยายถึงที่มาแห่งการเข้าครอบครองที่ดินพิพาทของโจทก์ว่า
โจทก์ได้สิทธิในการครอบครองที่ดินพิพาทมาอย่างไร หากเป็นการครอบครองโดยอาศัยสิทธิผู้อื่น มีการบอกกล่าวเปลี่ยนการยึดถือหรือไม่ ซึ่งในขณะนั้นยังไม่ถือว่าการครอบครองของโจทก์เป็นการปรปักษ์ต่อเจ้าของเพราะที่ดินพิพาทยังมิได้มีการออกโฉนดที่ดิน ต่อเมื่อที่ดินพิพาทมีการเปลี่ยนจากหนังสือรับรองการทำประโยชน์เป็นโฉนดที่ดินแล้ว
ผู้มีชื่อในโฉนดที่ดินย่อมมีกรรมสิทธิ์แสดงความเป็นเจ้าของในที่ดินพิพาทได้ การครอบครองปรปักษ์จึงจะต้องเริ่มต้นนับระยะเวลาตั้งแต่นั้น เมื่อคำบรรยายฟ้องได้กล่าวว่า โจทก์ครอบครองที่ดินพิพาทตั้งแต่ที่ดินมีเพียงสิทธิครอบครองจนมีการออกโฉนดที่ดินโจทก์ก็ยังครอบครองอยู่ จึงพอแปลเจตนาของโจทก์ได้ว่าประสงค์จะได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์
เมื่อที่ดินมีการออกโฉนดเป็นชื่อของนางสอด ตามคำบรรยายฟ้องส่วนหลัง ซึ่งอ้างว่าได้นับระยะเวลาการครอบครองติดต่อกันหลังจากออกโฉนดเกินกว่า 10 ปี แล้ว ตามหลักเกณฑ์ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1382 คำบรรยายฟ้องของโจทก์ทั้งสองจึงชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสอง ไม่ขัดแย้งกัน และไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง ที่ศาลชั้นต้นยกข้อกฎหมายดังกล่าวมาตัดฟ้องโจทก์นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา