27 พ.ย. 2022 เวลา 03:38 • หนังสือ
เรื่องที่ 1 ผู้นํากลางทะเลทราย
1
บทที่ 1
1.1 ในเมืองพาราณสี แคว้นกาสี มีพระเจ้าพรหมทัต (พระองใหม่) เป็นพระราชา พระองค์ทรงส่งเสริมการค้าขายต่างแดน ชาตินั้นพระพุทธของเราเสวยพระชาติ (เกิด) เป็นพ่อค้านํากองเกวียน 500 เล่ม บรรทุกสินค้าไปขายต่างเมืองเป็นประจํา ทุกปี ปีหนึ่ง พ่อค้าหนุ่มคิดจะนําสินค้าไปขายยังแดนไกล ซึ่งที่ที่จะไปนั้นต้องเดินทางผ่านทะเลทารยที่กว้างยาวถึง 60 โยชน์ (960 กิโลเมตร) ในทะเลทรายนั้น มีทารยละเอียดเต็มไปหมด ทรายละเอียดดังกล่าวนั้น ละเอียดมากถึงขั้นที่ว่าเมื่อกอบขึ้นมาแล้ว ก็จะไหลลงหมดไม่ค้างอยู่ในมือ
1
1.2 สภาพบรรยากาศทั่วไปตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้นจะร้อนและร้อนมากขึ้นตามลําดับจนกระทั่งไม่สามารถเดินทางข้ามไปได้ คนหรือกองเกวียนจะเดินทางผ่านทะเลทรายนั้น จะไปได้เฉพาะตอนกลางคืนเท่านั้น พอรุ่งเช้าก็ต้องหยุดเดินทางนำเกวียนมาล้อม เป็นวงแล้วทำปะรำขึ้นบังกองเกวียน จากนั้นก็จะรีบปรุงอาหารบริโภค เสร็จแล้วก็จะนั่งรอให้หมดวันอยู่ใต้ปะรำ ครั้นเวลาเย็นพอพระอาทิตย์ ตกดิน ทะเลทรายเริ่มเย็น ก็จะรีบปรุงอาหารบริโภค และเมื่อทราย เย็นดีแล้วก็จะเริ่มขับเกวียนออกเดินทาง เป็น การเดินทางในทะเลทราย
1.3เหมือนกับการเดินทางทางทะเล คือ ต้องการผู้นำทางและผู้นำทางทางทะเลทรายนั้นจะอาศัยดวงดาว เป็นตัวกำหนดนำในการเดินทาง พ่อค้าหนุ่มคิดถึงปัญหาดังกล่าว จึงหาคนที่มีความรู้เรื่อง การเดินทางในทะเลทรายมาเป็นผู้นำทาง ทั้งพ่อค้าหนุ่มและผู้นำทาง ต่างปรึกษากันอยู่ตลอดเวลาตลอดระยะทาง และเมื่อมาถึงทะเลทราย ก็ออกเดินทางตามแผนที่กำหนดไว้ คือ ออกเดินทางในเวลากลางคืน และหยุดพักในเวลากลางวัน พ่อค้าหนุ่มและผู้นำทางพากองเกวียน ๕๐๐ เล่ม เดินทางไปได้ไกลถึง ๕๐ โยชน์แล้ว เหลืออีกเพียงระยะทางเหลืออีก ๑ โยชน์
1.4เราจะใช้เวลาเดินทางนาน เท่าไร” พ่อค้าหนุ่มถาม “คืนนี้คืนเดียวก็คงจะพ้นแล้ว” ผู้นำทางตอบ “ไม่ต้องรีบร้อนหรอก พวกเราเหนื่อยกันมามากแล้ว คืนนี้ ขอให้เดินทางกันแบบสบาย ๆ” เมื่อตกลงกันได้ดังนั้น ครั้นถึงเวลาเย็น หลังจากปรุงอาหาร เย็นบริโภคแล้ว พ่อค้าหนุ่มก็สั่งให้ทิ้งสัมภาระที่พอจะทิ้งได้ซึ่งไม่มี ความจําเป็นต้องใช้อีกต่อไป เช่น น้ำและฟื้น เพราะอีกไม่กี่ชั่วโมง ก็จะพ้นจากทะเลทรายแล้ว พวกบริวารก็ดีใจทั้งพื้นและน้ำตามคำสั่ง เนื่องจากจะทำให้เกวียนเบาและเดินทางได้เร็วขึ้น
1.5 ผู้นำทางซึ่งประจำอยู่ที่เกวียนเล่มหน้า รู้สึกสบายใจที่อีกไม่ นานเกวียนก็จะพ้นจากทะเลทรายแล้ว ตนก็จะได้พ้นจากภาระหนัก คือ การนั่งดูดวงดาวแล้วกำหนดเส้นทาง ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา นั้นคนขับเกวียนเล่มหลัง ๆ ยังหลับได้บ้าง แต่ผู้นำทางหลับไม่ได้ เลย เขาต้องคอยดูดวงดาวและบังคับเกวียนให้เดินไปตามทาง เพราะ หากผิดเส้นทางแล้วเกวียนก็จะวนกลับมาที่เก่าหรือไม่กี่วนเวียนอยู่ใน ทะเลทรายนั่นเองด้วยความสบายใจที่จะพ้นภาระหนัก ผู้นำทางจึงขับเกวียน นําไปอย่างไม่รีบร้อน เขานั่งสักพักหนึ่ง
1.6รู้สึกเมื่อยจึงล้มตัวลงนอน มองดูดวงดาวพลางร้องบอกให้เกวียนเล่มหลัง ๆ ขับตามมา เขา เหนื่อยอ่อนมาหลายคืน ดังนั้น เมื่อล้มตัวลงนอนเขาจึงหลับไปโดย ไม่รู้ตัว “เอ๊ะ ทำไมเสียงเงียบหายไป” คนขับเกวียนเล่มหลังๆสงสัย แต่ก็ไม่มีใครคิดอะไรมาก คงขับเกวียนไปตามเกวียนเล่มแรก วัวลากเกวียนไปเรื่อย ๆ แต่ไม่ได้ไปตามทางที่ผู้นำทางกำหนด แต่กลับลากเกวียนออกนอกเส้นทาง วกกลับหลังไปตามทางที่เพิ่ง ผ่านมา “เอ๊ะ....ทำไมมันนานนักเล่า” คนขับเกวียนเล่มหลังชักสงสัย เพราะใกล้สว่างแล้ว แต่ยังไม่เห็นจุดหมายปลายทางนอกจากทะเล
1.7ทรายที่เวิ้งว้าง “หรือมาผิดทาง” พ่อค้าหนุ่มก็สงสัยเช่นเดียวกัน - วัวยังลากเกวียนไปเรื่อย ๆ ผู้นำทางหลังจากหลับเต็มที่แล้ว มาสะดุ้งตื่นเอาเวลาเช้า แสงเงินแสงทองเริ่มจับขอบฟ้า เขาแหงนดู ดวงดาวก็รู้ได้ทันทีว่ามาผิดทาง “กลับเกวียน....กลับเกวียน” เขาลุกขึ้นยืนร้องบอกเสียงดัง พร้อมโบกมือให้สัญญาณกลับเกวียนฝ่ายพ่อค้าหนุ่มและคนขับเกวียน ต่างก็ลุกขึ้นร้องบอกและ โบกมือให้สัญญาณเกวียนฝ่ายพ่อค้าหนุ่มและคนขับเกวียน ต่างก็ลุกขึ้นร้องบอกและ โบกมือให้สัญญาณเกวียนเล่มหลัง ๆ เช่นเดียวกัน ขบวนเกวียน
1.8ย้อนกลับหลังอีก แต่ก็ไปไม่พ้นทะเลทรายเสียแล้ว เพราะพระอาทิตย์ โผล่พ้นขอบฟ้าเสียก่อน ทะเลทรายเริ่มร้อน พ่อค้าหนุ่มจึงสั่งให้ หยุดเกวียน แล้วนำมาล้อมเป็นวงเหมือนเช่นทุกครั้ง แต่ครั้งนี้ หลังจากทำปะรำบังแสงแดดแล้ว ทุกคนก็หลบเข้ามานั่งละห้อยอยู่ ใต้ท้องเกวียนโดยมิได้กินอาหารเช้า เนื่องจากทิ้งน้ำและฟื้นไปหมด แล้ว ไม่มีอะไรใช้ปรุงอาหาร “ตายแน่พวกเราคราวนี้” ทุกคนคร่ำครวญอย่างท้อแท้ พ่อค้าหนุ่มเห็นบริวารคร่ำครวญแล้วให้รู้สึกสงสาร แต่ก็ไม่ได้ ช่วยเหลือ พูดอะไร เพราะเกรงว่าจะไปกระทบผู้นำทางเข้า
1.9 จึงได้แต่คิดหาวิธี “ทุกคนท้อแท้กันหมดแล้ว หากเราท้อแท้อีกคนหนึ่งก็จะพา กันตายหมด” เช้านั้นเอง ขณะที่ยังไม่ร้อนจัด พ่อค้าหนุ่มก็ออกเดินทางหา แหล่งน้ำจนกระทั่งไปพบกอหญ้าคากอใหญ่กอหนึ่ง จึงคิดได้ว่า “ในทะเลทรายที่แห้งแล้งเช่นนี้มีหญ้างอกขึ้นได้ แสดงว่าข้าง ให้หญ้าคาลงไปจะต้องมีน้ำหล่อเลี้ยง”
1.10ครั้นแล้วเขาจึงสั่งให้คนเอาจอบมาขุดที่ตรงนั้นลึกลงไป ๖๐ ศอก ขณะที่ขุดลึกลงไปได้ขนาดนั้นปรากฏว่าจอบกระทบถูกหิน ข้างใต้ ทุกคนเริ่มท้อถอยเพราะแผ่นหินแข็งมากจนในที่สุดก็ถึงกับ จอบยืนมองหน้ากัน “เวรกรรมแท้ ๆ” มีเสียงบ่นดังขึ้น พ่อค้าหนุ่มกลับไม่ท้อแท้เหมือนคนอื่น ๆ เขาเชื่อมั่นว่าใต้หิน แผ่นนี้จะต้องมีน้ำ จึงค่อย ๆ ไต่ลงไปยืนอยู่บนหิน แล้วคุกเข่าแนบหู ลงฟังเสียง ผลปรากฏว่าเขาได้ยินเสียงน้ำไหลอยู่ข้างใต้ ด้วยความ ดีใจ จึงรีบขึ้นมาบอกคนใช้ให้เอาฆ้อนเหล็กไปทุบแผ่นหิน “จะได้ผลหรือนาย”
1.11คนใช้ถามด้วยความไม่เชื่อมั่น “เอาเถอะ...ทำไปก่อน” พ่อค้าหนุ่มตัดบท “เห็นไหมทุกคน ท้อถอยกันหมดแล้ว หากเจ้าท้อถอยอีกคนหนึ่ง พวกเราก็จะพากัน ตายหมด เชื่อข้าเถอะ ข้างใต้แผ่นดินมีน้ำ เมื่อทำลายแผ่นหินได้เรา ก็จะได้น้ำกินน้ำใช้” “ตกลงนาย” คนใช้ตอบตกลงพลางถือฆ้อนเหล็กลงไปในหลุม เขาทุบอยู่ ๒-๓ เปรี้ยง แผ่นหินแตกกลาง ทันใดนั้นเองสายน้ำใหญ่ เท่าลำตาลที่พุ่งขึ้น ทุกคนดีใจรีบมาดื่มมาอาบกันอย่างสดชื่น จากนั้น ที่ปรุงอาหารบริโภคกันอย่างมีความสุข รวมทั้งตัวก็อิ่มหมีพี่มันไปด้วย
1.12ครั้นถึงเวลาพระอาทิตย์ตกดินบรรยากาศทั่วไปเริ่มเยือกเย็น พื้นทรายไม่ร้อน พ่อค้าหนุ่มก็นำกองเกวียนออกเดินทางไปตามทางที่ผู้นำทาง กําหนด ผู้นำทางไม่ยอมเผลอหลับอีก ในที่สุดกองเกวียนทั้ง ๕๐๐ เล่ม ก็ข้ามพ้นทะเลทราย และไปถึงที่ขายสินค้าตามที่พ่อค้าหนุ่ม กำหนดไว้เป็นจุดหมายปลายทาง พ่อค้าหนุ่มเดินทางไปค้าขายครั้งนี้ ประสบผลสำเร็จเกินคาด ขายสินค้าได้กำไรถึง ๓-๔ เท่า ซึ่งนับว่าเป็นรางวัลที่คุ้มค่าความ เหนื่อยยาก จากนั้นก็นำกองเกวียนกลับบ้านเกิด โดยเดินทางผ่าน ทะเลทรายนั้นอีกครั้งหนึ่ง
สรุปจบ
ชาดกเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ความท้อแท้เป็นภัยใหญ่สำหรับผู้ที่ต้องการความสำเร็จ เมื่อไม่ท้อแท้ ความสำเร็จย่อมเกิดขึ้นได้เสมอดังเช่นพ่อค้า หนุ่มคนนี้
โฆษณา