28 พ.ย. 2022 เวลา 01:19 • ไลฟ์สไตล์
เรื่องของกายอารมณ์จิต..มันมีเรื่องอารมณ์ความคิด..อะไรต่าง ที่ไหลออกมาเป็นกิริยา เคลื่อนไหว ความรู้สึก ร้อน หนาว มันมีอยู่สิ่งหนึ่ง ที่ยากจะเรียนรู้ ..สิ่งต่างๆที่อยู่ห้อมล้อมจิต ..จิตเราเหมือนอยู่ในคอกสี่เหลี่ยม มีอารมณ์โลภโกรธหลง ห้อมล้อมอยู่ ..
เรื่องราวที่เราใช้กายวิญญาณทั้งหกไปยึดสิ่งของวัตถุ..อะไรต่างๆ ไปยึดเข้ามา ด้วยอารมณ์ จิตนั้นตามอารมณ์ไปยึดเข้า..จดจำ.ทั้งดีไม่ดี ตาบันทึกภาพ หูบันทึกเสียง ..จิตมันยึดอยู่ ก็เอามาเก็บไว้ในห้องสี่เหลี่ยม..นี้มากมาย ..เก็บบันทึกไว้จนจดจำไม่ได้ว่าเก็บอะไรมาบ้าง ..เป็นเหมือนบ้านที่เราเอาของเข้ามา แต่ไม่เคยนำของสิ่งเหล่านั้นออกไปเลย ..แล้วจะเกิดเป็นสัญญา..เกิด..เกิดที่ไหนไม่รู้ เหมือนเราไม่รู้ว่าเราสะสมอะไรมาบ้าง เก็บไว้ในห้องนี้
ในสิ่งของต่างๆ ที่อยู่ภายในห้อง..เมื่อสะสมมากขึ้น มันก็ล้นออกมา ..วุ่นวาย สับสน จึงทำให้เราไม่สามารถ ทำความรู้จัก จิตของเราได้เลย ..จิตของเราจึงยึดอารมณ์นั้น เป็นจิต ..ทำอะไรไปตามอารมณ์นึกคิด ..อารมณ์ที่ขอบใจไม่ชอบใจ ..อุปสรรคต่างๆ ที่เกิดขึ้น ..โศกเศร้า ซึมเศร้า ..วิปริตเกิดขึ้น ก็เนื่องจากสิ่งต่างๆที่เก็บไว้ในห้องนี้ มีทั้งดีและไม่ดี
..เมื่อมีสิ่งไม่ดีมากอยู่ภายใน ..ห้อมล้อมจิต ..มันก็กดดัน ดึงจิตให้ไหล ไปในทางที่ไม่ดี เมื่อห้องนี้ สะสมสิ่งดีเป็นคุณ ..สิ่งที่อยู่ในห้องนี้ ก็หนุนนำไปทางที่ดี อารมณ์นึกคิดที่ดีๆ เรื่องห้องสี่เหลี่ยมนี้ ..ก็เป็นนิมิตรอันหนึ่ง ที่แสดงให้ดูเป็นตัวอย่าง ในสิ่งต่างที่เราใช้วิญญาณทั้งหก ไปเก็บสะสมเข้ามา ..ทั้งชีวิต..แล้วไม่เคยนำออกไปทิ้งเลย จิตมันก็เลยหนัก ..แก่เฒ่าชรา.ก็ไม่รู้จักอารมณ์..ใช้อารมณ์ไปจนตาย ..เรียนรู้จักอารมณ์ว่ามาจากไหน..หยุดเหตุที่มาของอารมณ์ไม่ได้เลย .ก็หมดเวลาหยุดลมหายใจ
เรื่องราวของการที่จะไปเอาสิ่งต่างๆในห้องสี่เหลี่ยมนี้ออกไป ..มีทางเอก ทางเดียว ทางแคบๆเล็กๆ นำกายวาจาใจ เหมือนพายเรือทวนน้ำ ทวนกระแสอารมณ์ที่ไหลเชี่ยว..ด้วยสร้างบุญกุศลบารมี เดินไปตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ท่านสร้างบุญกุศลมา จนมาถึง รอยทั้งสี่ ยืนเดินนั่งนอนในป่า ..รอยขององค์พระสัมมาสัมพุทเจ้า
มีใครจะเอาไปทำบ้าง เพื่อขนสิ่งต่างๆในกายในจิตนั่นทิ้ง ทิ้งความโลภโกรธหลง ..ทิ้งให้ได้ก่อนหมดลม..ไม่เช่นนั้น ก็มีแต่สะสม..เก็บเข้ามาในห้องสี่เหลี่ยมนี้ ..มากมาย จิตก็เลยไปไหนไม่ได้ ติดอยู่ในห้องหรือคอกสี่เหลี่ยมนี้ ยาวนาน..หนีเวรกรรมไม่ได้เลย
เพราะเรามัวแต่เอาธาตุทั้งสองของบิดามารดา ใช้ไปตามอารมณ์ที่ไหลออกมา เรายินดีในอารมณ์..หลงใหลอารมณ์ ..ธาตุทั้งสองของคุณบิดามารดา ก็เป็นมลทิน เลอะเทอะด้วยกรรม กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ที่ตนใช้ไปตามอารมณ์ ก็เกิดเป็นธาตุของกรรม กายของผู้มีกรรม ทำไมไม่เอามาทำให้เกิดเป็นกายบุญเกิดขึ้น
ถึงเวลานั่น ..ก็ไม่มีใครช่วยใครได้ .มาคนเดียว ..ไปคนเดียว ..ไม่เตรียมตัวบ้างหรือ เมื่ต้องไปแต่จิตดวงเดียว ไปหาสถานที่อยู่ใหม่..ไปดีไปร้าย..ห้องสี่เหลี่ยมนี้.เป็นหลักฐาน..เป็นสักขีพยานให้ ..ให้จิตนี้..ไปอยู่ในสิ่งที่สะสมมา
ถ้าห้องนี้สะอาดสะอ้าน ..ก็ได้สถานที่..ที่ดีให้แก่จิตอาศัย .. ..ชีวิตนี้ได้อะไรจากการมาอาศัยรูป รูปเกิด รูปเด็ก รูปหนุ่มสาว รูปแก่ รูปเจ็บ รูปตาย รูปสูญสลายหายไปจากโลก เรามาอาศัยในเส้นทางของรูปไม่เที่ยงไม่คงที่ เมื่อไม่มีรูปให้เกาะเกี่ยว..จิตของเราได้อะไร..ไปอยู่ที่ไหน..ไม่เมตตาจิตตัวเองบ้างหรือ..ถึงเวลานั้นมันหมดโอกาสแก้ไข ..เราแก้ไขได้..ตอนที่มีกายที่แข็งแรง..พร้อมสร้างบุญกุศลบารมี ร่างกายไม่ดีเจ็บป่วยแก่เฒ่า กระทำไม่ได้แล้ว ..ในรอยทั้งสี่..หมดโอกาสที่จะกระทำ ..พายเรือทวนน้ำ ทิ้งของที่สะสมออกไป
กายนี้เหมือนลำเรือ..ให้จิตเรามานั่งพายเรือทวนน้ำ ไปท่าของบุญกุศลบารมี ท่าพระนิพพาน .กายนี้ต้องต่อมาด้วยบุญกุศลบารมี ..ต่อด้วยไม้ที่ดี ..ไม้ไม่ดี ..มาต่อเรือ ..ถูกคลื่นลม กระแสน้ำเชี่ยว พายเรือต่อสู้อุปสรรค..ต่อเรือมาไม่ดี ไม้ไม่ดี เรือก็แตกหัก ..จิตก็จมลงไป ..ลงไปใต้ท้องน้ำ หรือ ใต้ท้องทะเล..ยากนักที่..ที่จะได้มีกายมีเรือมาพายเรือทวนน้ำ ..นั่นก็คือ หมดโอกาสมีกายเป็นมนุษย์ จิตตกลงไปสู่คำว่า อบายภูมิเป็นที่อาศัย
บางดวงจิต..ได้เรือมาดีแล้ว กลับปล่อยเรือตามน้ำ .จนเรือนั้น..ออกทะเล..แตกหัก จิตก็ตกลงไปในท้องทะเล..แล้วใครจะช่วยดึงขึ้นมาจากท้องทะเลได้ ..กว่าจะขึ้นบกได้ ..มีแต่ว่า..ทุกข์ยาวนาน..ที่จิตต้องอยู่อาศัย..
..เค้าจึงบอกว่า ได้กายมนุษย์ ..เค้าให้โอกาสเรามาแก้ไข เลือกเส้นทาง ที่จะไป ..ไปหาทุกข์ หรือ ไปหาสุข ..เราก็ใครครวญเลือก ..มีโอกาสแล้ว ..ไม่เกินแปดสิบปีร้อยปี ..เลือกเอาเอง..จะไปไหน.. มาแบบไม่รู้ดีชั่วอะไร ก็กลับอยู่กับกายสถานที่ ..ไม่รู้ ..ไม่ใช่กายมนุษย์ต่อไป ..มีโอกาสเลือกแล้วน่ะ เราทำเองน่ะ เราเป็นผู้ใช้กายวาจาใจน่ะ ไม่มีใตรทำให้…
..ท่านบอกว่า..ช่วยได้ตอนที่มีกาย บอกให้สร้างบุญกุศลบารมี ..เมื่อหมดกายมาร้องขอให้ช่วย ..มันสายเสียแล้ว เวลามีกายบอกให้ทำ ..กลับบอกว่า รู้แล้วๆ เป็นผู้รู้อยู่อย่างนั้น ..หลงว่าดี..หลงว่ารู้แล้ว ….ได้แต่รู้จำ ช้างม้าวัวควาย ก็รู้จำ ..เค้าจึงเอามาฝึกได้..รู้จำ..มีโลกธรรมประดับกายและจิตให้มันหนัก..รู้แล้วไม่ทำ ..ไม่ลดละอารมณ์ ไม่ลดละกรรม ..กลับอวดเก่ง อวดดี ต่อกรรมของตนเองเสียอีก..แล้วใครจะช่วยเรา ..รู้แล้ว..ไม่ทำ..ได้ประโยชน์อะไร..กับการได้กายเป็นมนุษย์
โฆษณา