30 พ.ย. 2022 เวลา 09:24 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์
"All Quiet on the Western Front" 2022
ความภาคภูมิใจของชายชาติทหารที่ได้ออกรบเพื่อชาติ
กลับถูกทำลายย่อยยับเมื่ออยู่ในขุมนรกที่เรียกว่าสงคราม
กับการต่อสู้อันไร้ความความหมายของแนวรบด้านตะวันตก
ที่เหตุการณ์ไม่เคยเปลี่ยนแปลง
All Quiet on the Western Front
ภาพยนตร์ดราม่าต่อต้านสงคราม หรือในชื่อไทย 'แนวรบด้านตะวันตก เหตุการณ์ไม่เปลี่ยนแปลง' ผลงานกำกับของ Edward Berger โดยอ้างอิงจากนวนิยายชื่อเดียวกันของ Erich Maria Remarque ในปี 1929 ซึ่งบอกเล่าเกี่ยวกับบาดแผลทางจิตใจของทหารเยอรมันในช่วงสงคราม และยังเคนถูกดัดแปลงเป็นภาพยนตร์มาแล้วในปี 1930 กำกับโดย Lewis Milestone ทั้งยังได้รับรางวัลออสการ์อีกด้วย ก่อนจะมีผลงานรีเมคตามมาอีกในปี 1979 ในรูปแบบละครทีวี ผลงานของ Delbert Mann
และ All Quiet on the Western Front ก็ได้ถูกนำมาถ่ายทอดใหม่อีกครั้งในเวอร์ชั่น 2022 ปัจจุบัน อำนวยการสร้างโดย Netflix หลังจากหนังปล่อยฉายก็ได้รับคำวิจารณ์ในเชิงบวกมากมาย และถึงแม้จะข้ามผ่านกาลเวลามาเกือบร่วมศตวรรษแต่ก็ยังคงสะท้อนให้เห็นถึงความโหดร้ายของสงคราม และเวอร์ชั่น 2022 ยังได้ถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ สำหรับภาพยนตร์สารคดีต่างประเทศยอดเยี่ยมในเทศกาลประกาศรางวัลออสการ์ครั้งที่ 95 ในปี 2023 ที่กำลังจะถึงอีกด้วย
เรื่องราวเริ่มขึ้นในปี 1917 ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 เราเด็กหนุ่มต่างพากันยึดอกภูมิใจเมื่อได้เข้ารับเกณฑ์ทหารรับใช้กองทัพจักรวรรดิเยอรมัน พอล บ็อยเมอร์ (Felix Kammerer) และเพื่อนๆต่างยิ้มแก้ปริเมื่อจะได้เป็นชายเต็มตัว แต่รอยยิ้มของพวกเขากลับถูกลบออกไปจากใบหน้าเพียงแค่คืนเดียว เมื่อพวกเขาถูกส่งไปที่แนวรบด้านตะวันตก การถูกบุกจู่โจมยามค่ำคืนทั้งอาวุธหนักและระเบิด แค่เพียงคืนเดียวเขาก็เห็นเพื่อนร่วมรบตายไปต่อหน้าต่อตาจนแทบนับศพไม่ได้
การต่อสู้ยังคงดำเนินต่อไปท่ามกกลางความโหดร้ายของสงคราม จนกระทั่งการเจรจาสงบศึกใกล้มาถึง บ็อยเมอร์ และ แคท (Albrecht Schuch) เพื่อนรักต่างดีใจที่จะได้กลับบ้านเสียที แต่เรื่องราวเลวร้ายมันยังไม่จบเมื่อนายพลใหญ่ออกคำสั่งให้สู้ยิบตาจนนาทีสุดท้ายเพื่อยึดพื้นที่คืนมาได้สักคืบเดียวก็ยังดี เหลือเวลาเพียงไม่กี่นาทีที่สัญญาสงบศึกจะมีผลและสงครามจะยุติลง ท่ามกลางการต่อสู้ที่ไร้ความหมาย เวลาที่เดินไปช้าๆของพวกเขากลับรู้สึกยาวนานเหมือนชั่วกัปชั่วกัลป์
ความรู้สึกหลังดูจบต้องบอกเลยว่าหนักอึ้งมากๆ หนังสะท้อนความโหดร้ายของสงครามในยุคสมัยนั้นได้เป็นอย่างดี การรบราฆ่าฟันกันอย่างสูญเปล่า ผู้คนมากมายต้องตายกันเป็นหลักล้านโดยแทบไม่ได้อะไรกลับมา (สงครามกินเวลากว่า 3 ปี แต่กลับรุกคืบกันไม่ได้แม้แต่นิดเดียว) และที่น่าเจ็บปวดที่สุดก็คือแม้จะมีต้องสูญเสียกันอย่างเปล่าประโยชน์ แต่มนุษย์ก็ไม่ได้เรียนรู้อะไรเลย ความขัดแย้งที่มียังคงก่อให้เกิดสงครามเช่นนี้อีกต่อๆมา ไม่ว่าจะสงครามโลกครั้งที่ 2 หรือสงครามเย็นในแต่ละภูมิภาคต่างๆ
1
และคิดว่าสิ่งที่ตอกย้ำคนดูมากที่สุดน่าจะเป็นบทสรุปช่วงท้ายที่แสนจะหดหู่ ตามชื่อภาษาไทยที่ว่า เหตุการณ์ไม่เปลี่ยนแปลง และความโหดร้ายแบบนี้ก็จะยังคงวนลูปอยู่เสมอ ตราบใดที่มนุษย์ยังคงหาทางออกในการแก้ปัญหาด้วยสงคราม
ในเรื่องงานภาพ โปรดักชั่น ซาวด์ประกอบก็ถือว่าทำได้ดี แม้จะไม่ได้โดดเด่นเทียบเท่ากับหนังสงครามเรื่องอื่น แต่ดนตรีประกอบที่ใช้เสียงกลองกลับช่วยปลุกเร้าอารมณ์ ซึ่งส่งผลเป็นอย่างมากในการบอกเล่าอารมณ์ความรู้สึกที่แตกต่างกัน โดยตอนต้นเรื่องทำให้รู้สึกฮึกเหิมอยากสู้รบ แต่ตอนท้ายกลับหดหู่ สิ้นหวังเหมือนกำลังจะก้าวไปสู่ความตาย แม้จะเป็นทำนองเดียวกัน ตรงนี้สร้างอิมแพ็คไปจนถึงฉากจบได้เป็นอย่างดี
ตัวหนังไม่ได้เน้นไปที่ฉากแอ็คชั่นสู้รบกันเสียเท่าไหร่ แต่ค่อยๆถ่ายทอดโชคชะตาของเหล่าตัวละครหลักที่ต้องเจอความโหดร้ายของสงคราม แม้ว่าหนังจะค่อนข้างยาวแต่ก็ชวนให้น่าติดตาม บางซีนอาจจะเอื่อยไปบ้าง หนังยังมีผ่อนโดยการถ่ายทอดเรื่องราวมิตรภาพ ความขำขันของกลุ่มเพื่อน เพื่อให้ทั้งเรื่องมันไม่ดูหนักเกินไป แต่สุดท้ายก็เป็นเพียงการบิ๊วเพื่อล่อคนดูมาเชือดในช่วงท้าย ยิ่งพอมาขยี้ไคล์แม็กไปสู่จุดพีคในตอนจบ ก็ยิ่งทำให้หนังรู้สึกทรงพลัง
โดยรวมถือเป็นหนัง Bad Ending ที่ค่อนข้างดูสนุก แม้จะมีดราม่าแต่ก็ไม่ได้ถึงกับเศร้าซึ้งอะไรมากมาย หนังเน้นไปที่ความโหดร้ายของสงคราม การใช้อำนาจตอบสนองความต้องการของตนเองของพวกระดับสูง กับทหารที่ไม่รู้เหตุผลด้วยซ้ำว่าต้องฆ่ากันไปเพื่ออะไร ความหน่วงที่พ่วงมาหลังดูจบเลยค่อนข้างหนักอึ้งฝังใจพอสมควร ส่วนตัวไม่เคยดูเวอร์ชั่น 1930 ของ Lewis Milestone ที่ได้ออสการ์ แต่ปี 2022 ก็ถือว่าทำได้ไม่เลว แต่คงขอพักแนวนี้เอาไว้ก่อน หนังสงครามดูบ่อยๆเข้าเดี๋ยวจะพาลจิตตกกันพอดี
สำหรับใครที่เป็นคอหนังสงครามแนวประวัติศาสตร์ All Quiet on the Western Front เป็นอีกเรื่องที่จะพาเราไปชมมุมมองของฝ่ายจักรวรรดิเยอรมันในสงครามโลกครั้งที่ 1 ของแนวรบในด้านตะวันตก มุมมองของนายพล มุมมองของทหาร และความเจ็บปวดของคนที่ต้องไปรบแต่ไม่ได้กลับบ้าน แนะนำว่าเป็นอีกเรื่องที่ควรเก็บเป็นอย่างยิ่ง
โดยเฉพาะ 30 นาทีสุดท้ายที่โคตรระทึก กดดัน และบีบคั้นอารมณ์ แม้ฉากจบค่อนข้างโหดร้ายแต่ก็ตรงประเด็นที่หนังต้องการจะสื่อ สงครามไม่ว่าใครจะชนะย่อมเหลือไว้เพียงความสูญเสียและความเจ็บปวด สุดท้ายแล้วความโง่เขลาก็จะถูกบอกเล่าผ่านประวัติศาสตร์ สำหรับเรื่องนี้ ดี ไม่ควรพลาด
โฆษณา