2 ธ.ค. 2022 เวลา 02:00 • ท่องเที่ยว
แวะเดินป่าบนเส้นทางศึกษาธรรมชาติ ที่เขตห้ามล่าสัตว์ป่า เขาพระแทว
1
หลังจากได้รับเชิญให้ไปบรรยายเรื่องการพัฒนาที่ยั่งยืนกับการก้าวต่อของภูเก็ตแซนด์บ๊อกซ์ ในหลักสูตรอบรมผู้ประกอบการรุ่นใหม่ที่จังหวัดภูเก็ต เมื่อผมบรรยายเสร็จ หมดธุระ ก็ได้รับคำชวนจากคุณโก้ ภูมิกิตต์ รักแต่งาม นายกสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวภูเก็ตว่า แนะนำให้ใช้เวลาที่เหลือไปแวะเดินป่าบนเส้นทางศึกษาธรรมชาติ ที่เขตห้ามล่าสัตว์ป่า เขาพระแทว
2
ซึ่งอยู่ห่างจากสนามบินภูเก็ตเพียง 4 กิโลเมตร คุณโก้บอกว่าอาจารย์เอจะได้แวะให้อาหารชะนีด้วย ผมเห็นว่ายังไงก็ต้องนั่งรถผ่านเพื่อไปขึ้นเครื่องบินกลับอยู่แล้วจึงจัดเวลาไปแวะเสียหน่อย
1
ส่วนเรื่องให้อาหารสัตว์ป่านั้น ผมไม่ค่อยจะอินนัก เพราะรู้อยู่ว่าถ้าเราให้อาหารสัตว์ป่าจะทำให้มันเคยชิน และจะเข้ามาใกล้มนุษย์เกินระยะที่ปลอดภัยของทั้งสองฝ่าย แต่ทริปเดินป่าสั้นๆ 4 ชั่วโมงครั้งนี้ให้ข้อมูลน่าสนใจเกินคาด
1
เมื่อไปถึงที่หมายก็ได้เห็นป้าย โครงการคืนชะนีสู่ป่า มีคุณปั๊ม ธนพัฒน์ พยัคฆาภรณ์ หนุ่มไทยใจอาสาที่รับภารกิจต่อมาจากคุณแม่พร้อมภรรยาคือ คุณโน้ต บัณทิตสาวจากอักษรศาสตร์จุฬา ดีกรีปริญญาโทจากออสเตเลีย ทั้งคู่พาผมและนต.วรวิทย์ เตชะสุภากูร อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีท่องเที่ยว และคุณเจี้ยบพร้อมพี่ชาติจากทีมภูเก็ต ที่เพิ่งฟังผมบรรยายมาหยกๆ ออกไปเดินเส้นทางธรรมชาตบนเขา
คุณปั๊มพาเราเดินขึ้นเขาพระแทวไปช้าๆ เส้นทางชัน ที่นี่เป็นป่าฝนเขตร้อนชื้นที่ยังอุดมสมบูรณ์ ที่นี่เป็นเสมือนโอเอซิสกลางเมืองท่องเที่ยวชั้นนำอย่างภูเก็ต เพราะนักสำรวจพบนกสารพัดสายพันธุ์ที่นี่มากกว่า 200 ชนิด พบสัตว์ป่าขนาดเล็กที่คนนึกไม่ถึงว่ามีที่ภูเก็ต เช่น แมวดาว
1
ในอดีต ป่านี้เคยมีเสือด้วยซ้ำ แต่เกลี้ยงไปหมดนานแล้ว ชะนีนั้นเคยมี แต่ก็ถูกล่าเกลี้ยงเหมือนกัน
จนกระทั่งพอมีโครงการคืนชะนี (ของกลาง) สู่ป่านี่แหละ เลยทำให้ป่าละแวกนี้มีชะนี ราชินีแห่งสัตว์ป่ากลับมาอาศัย ส่งเสียงร้อง …ผัว…ผัว…ผัว กันยาวเป็นทอดๆตอนคณะของเรามาถึง ซึ่งตอนนี้มีชะนีกลับมาในป่าเขาพระแทวถึง 50 ตัว รวมรุ่นลูก รุ่นหลานที่เกิดในป่าหลังการปล่อยอีกด้วย
ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในละแวกใกล้ๆกับเขตห้ามล่าสัตว์ป่าเขาพระแทวนี้ปลูกไม้ผลอย่างทุเรียน ลองกอง เงาะ มังคุด ถึงแม้ชะนีที่ปล่อยคืนป่าจะไปฉวยผลไม้ในสวนมากินกันบ้าง ชาวบ้านก็น่ารักไม่โกรธไม่เคือง คนเก่าคนแก่บอกว่าให้มันกินเถอะ เพราะรอฟังเสียงพวกมันกลับมากว่า 30-40 ปีแล้ว
ชาวบ้านบอกว่าเคยได้ยินเสียงร้องของพวกมันตั้งแต่ชาวสวนเพิ่งโต แต่แล้วอุตสาหกรรมท่องเที่ยวบูม พวกมันก็เงียบหายไปหมด เพราะธุรกิจจำนวนมากสั่งพรานให้ออกหาลูกชะนีไปขายเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว
คุณปั๊มอธิบายว่าตั้งแต่คุณปั๊มยังเด็ก คุณแม่ก็เริ่มออกไปช่วยรับชะนีที่ถูกช่วยเหลือออกมาจากสถานที่ที่เอาชะนีไปขังไปเลี้ยงไว้โดยไม่ชอบด้วยกฏหมาย ที่บ้านส่วนตัวที่กรุงเทพเลยมีชะนีและสารพัดสัตว์ป่าที่เข้าข่ายเป็นของกลางในคดีความผิดเกี่ยวกับการสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่ารวมๆแล้วเป็นร้อยตัว สัตว์ป่าเหล่านี้จึงโตมากับคุณปั๊มนั่นแหละ
ชะนีนั้นมี DNA คล้ายมนุษย์มากที่สุดแล้ว ในบรรดาสัตว์ป่าใดๆของไทย ในโลกสากลนั้น มีสัตว์ป่าอยู่ 4 อย่างที่ได้ชื่อว่ามีชุดรหัสโครโมโซมที่ใกล้เคียงกับมนุษย์ที่สุด
ทั้ง 4 อย่าง เป็นลิงไม่มีหาง หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า APE
APE 3 อย่างไม่มีในป่าของไทย นั่นคือ ชิมแปนซี กอริลลา และ อุรังอุตัง อย่างสุดท้ายคือชะนี ซึ่งมีถิ่นอาศัยอยู่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เท่านั้น รวมทั้งไทยด้วย
และความที่โครโมโซมชะนีเหมือนคนมากที่สุดแล้วนี่เองที่ทำให้ชะนีสามารถมีบุคลิกหลายอย่างซับซ้อนแบบมนุษย์ ภาษาพจนานุกรมไทยไม่เรียกกลุ่มนี้ว่าลิง แต่เรียก วานร เช่น ชะนีสามารถมีอายุได้ยาวถึง 40 ปี ซึ่งมนุษย์สมัยก่อนที่จะมีหยูกยาดีๆใช้ก็มีอายุขัยมากกว่านี้ไม่มาก
ชะนีเป็นสัตว์ที่สร้างครอบครัวและมีคู่ที่ไม่มั่ว ถ้าได้จีบได้ปิ๊งกันก็จะอยู่กินกันไปจนตายจาก เคยมีความพยายามคลุมถุงชนให้ชะนีมาแล้ว จึงได้ข้อสรุปว่า ถ้าไม่ปิ๊งกัน เค้าก็ไม่ผสมพันธุ์กันให้เสียแรงหรอก และเมื่อสังเกตนานพอจึงมีแม้แต่ข้อค้นพบใหม่ ชะนีที่เป็นชายรักชายก็มีด้วยนะ
อันนี้ใครอยากติดตาม ขอแนะนำให้ไปที่ศูนย์คืนชะนีสู่ป่า ที่ภูเก็ต เขตห้ามล่าสัตว์ป่าเขาพระแทว ได้เลย
ชะนีที่มาถึงมือคุณปั๊มและคุณโน้ตนั้น ล้วนแต่ผ่านการใช้ชีวิตที่รันทดมาหนักๆทั้งนั้น ถูกขังถูกล่ามจนเสียสัญชาตญาณ ถูกให้ลองสารเสพติดบ้าง บุหรี่บ้าง สารกระตุ้นบ้างเพื่อให้ชะนีตื่นมารับแขกในแหล่งบันเทิงกลางคืน ทั้งที่ธรรมชาติของชะนีป่าจะนอนแต่หัวค่ำแล้วตื่นเช้าๆไปหากิน อย่างที่มนุษย์ทำกัน
ความโลภของมนุษย์ทำให้อ่านใจนักท่องเที่ยวออกว่า พวกนักท่องเที่ยวมีความรู้เรื่องแบบนี้น้อยมาก พอมาเจอลูกชะนีอายุระหว่าง2-7ปีจะหลงไหลลูกชะนีได้ง่ายๆ เพราะนั่นคือชะนีเด็กที่เขี้ยวยังไม่ยาวและยังติดที่จะกอดอยู่ที่อกของแม่หรืออกของใครก็ตามที่ให้ความอบอุ่นแก่มัน
ยุคนั้น ฝรั่งต่างชาติที่มาเที่ยวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จึงได้พบกับลูกชะนีตามแหล่งท่องเที่ยวที่ทำราวกับว่าที่นั่นใจดีช่วยรับดูแลลูกสัตว์หน้าตาบ้องแบ๊วไม่มีหางเหล่านี้
การได้ลูกชะนีมามีทางเดียว
คือยิงตัวพ่อของครอบครัวให้ตาย ไม่งั้นพ่อจะโดดลงมากัดผู้รุกรานที่พยายามเข้าถึงลูกของมันแน่นอน
ส่วนตัวแม่ก็เช่นกัน พรานต้องยิงให้ร่วงลงมาเพื่อจะพรากลูกชะนีจากอกแม่เท่านั้นจึงจะได้มา
ส่วนลูกชะนีที่ร่วงลงมาพร้อมกับร่างของแม่ ส่วนมากจะพิการหรือกระอักจากการตกจากที่สูงจนตาย ว่ากันว่า อัตราเสี่ยงที่จะได้ลูกชะนีมาให้แหม่มฝรั่งโอบกอดถ่ายรูปเป็นที่ระลึกที่บาร์ตามแหล่งท่องเที่ยวจะอยู่ที่ ได้ลูกชะนีมาหนึ่ง แต่ต้องมีชะนีตายไปอย่างไร้ค่าไร้เหตุผลไปเกือบสิบ
ครั้นพอลูกชะนีโตเกิน 7 ปี เขี้ยวจะยาวโง้งออกมา และมีพละกำลังแข็งแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ชะนีมีอารมณ์รัก โกรธ เบื่อ อิจฉาหมั่นไส้ แค้น อาฆาตแบบมนุษย์ ใครไปกลั่นแกล้งหรือทำร้ายเค้า เค้าจะจดจำหน้าไว้ และรู้จักจะรอแก้แค้นเอาคืนเมื่อสบโอกาส ดังนั้นพอลูกชะนีชักดุไม่เอาแต่โอบกอดอย่างน่าเอ็นดูแล้ว มันก็จะถูกล่าม
เป็นการล่ามทั้งกายและจิตวิญญาณของมันแบบตลอดชีวิต นี่จึงสะสมความยากในการเยียวยาก่อนจะสามารถพัฒนาความพร้อมที่จะปล่อยชะนีคืนกลับป่า
ชะนีตัวสูงเท่าเอวผู้ชายหนึ่งตัว ถ้ากำลังโมโห จะสามารถใช้แม้แขนข้างเดียววิ่งฉุดลากลูกน้องชาย 3คน ของคุณปั๊มไปตามพื้นได้อย่างน่าทึ่ง
ชะนีแขนยาวจนเหมือนคนผอมแห้งก็จริง แต่พละกำลังในกล้ามแขนที่ใช้โหนตัวที่โดยปกติจะไม่ลงเหยียบพื้นเลยถ้าไม่จำเป็นนั้น ได้ทำให้พลังมัดกล้ามส่วนต่างๆส่งถึงกันได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงยิ่ง
คนเลี้ยงจึงมักขัง ไม่ก็ล่าม เพราะไม่รู้จะทำยังไงกับพวกมันในอาคารสถานที่แคบในเมืองและมีเสียงรบกวน และด้วยช่วงอายุขัยที่ยาวนาน ชะนีจำนวนมากจึงเหมือนนักโทษที่ถูกลืมยาวนานกว่าสิ่งมีชีวิตอื่นที่อายุขัยสั้นกว่า
เวลาที่มีคดีจับกุมผู้ครอบครองสัตว์คุ้มครอง สัตว์ป่าจะตกเป็นของกลาง แต่รัฐไม่ค่อยมีงบในการเลี้ยงดูได้เพียงพอ จึงมักมองหาอาสาสมัครที่มีใจและมีประสบการณ์ช่วยรับไปดูแลให้
ร้อยทั้งร้อย คดีที่มีชะนีของกลางไม่มีจำเลยไหนชนะคดีได้หรอก เพราะแค่มีก็เป็นความผิดอยู่แล้ว การส่งชะนีที่ไม่มีทักษะอยู่ป่า และติดที่จะให้คนหาเลี้ยงให้ทุกอย่าง จึงยิ่งเป็นไปได้ยากยิ่งที่จะปล่อยป่าแล้วรอดอยู่ต่อได้
ชะนีเหล่านั้นไม่รู้จักว่าควรทำยังไงเมื่อมีงู หรือมีเหยี่ยวเข้ามาในระยะล่า ไม่รู้ว่าควรบริหารอาณาเขตของตัวเองอย่างไร ฯลฯ
สังคมไม่รู้ว่า ชะนีกลับมีคุณต่อป่าได้อย่างมากไม่ต่างจากที่วาฬมีต่อแพลงตอน ชะนีเลือกกินผลสุกของไม้ในป่าอย่างพิถีพิถัน อะไรที่หอมที่อร่อย เค้าจะไปเลือกเด็ดกิน และเค้าไม่คายเมล็ด ชะนีจะโหนตัวไปในอาณาเขต ขับถ่ายจากเรือนยอดไม้ของป่าดิบชื้น มูลชะนีจะมีเมล็ดพืชที่ติดออกมากับมูลที่เปียกเป็นเมือก เมื่อตกพื้นจะงอกง่ายเพราะมีปุ๋ยและความชื้นมาพร้อมมัน
ชะนีแต่ละตัวที่อยู่ในป่านั้น จะสามารถเป็นผู้เพาะกล้าไม้ขึ้นจากเมล็ดได้ถึง 1 หมื่นต้นต่อปี ชักน่าสนใจขึ้นแล้วใช่มั้ยครับ…
รอเล่าต่อตอนจบในภาค 2 นะครับ
โฆษณา