3 ธ.ค. 2022 เวลา 10:00 • ธุรกิจ
#BenNote Differy Masstige Part 1/2
สร้างธุรกิจที่แตกต่างด้วย “ประสบการณ์ที่น่าจดจำ”
โดยคุณแป้ง กนกวรรณ กรรณิกา
#BenNote #DifferyMasstige1
ต่างยังไงให้ลอกยาก
ต่างด้วย “ประสบการณ์ที่น่าจดจำ”
จาก “ปฏิบัติการจับหัวใจ”
ทุกโคนนนนนนน ... อยากจะบอกว่า BenNote ฉบับนี้เป็น BenNote ที่เขียนยากที่สุดเท่าที่เคยทำมาเลยค่ะ ไม่รู้เพื่อน ๆ จะเคยมีความรู้สึกนี้ไหม ความรู้สึกที่เราประทับใจอะไรบางอย่างมาก ๆ จนอธิบายออกมาเป็นคำพูดไม่ถูก ไม่รู้จะบรรยายสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองยังไง (คิดว่าถ้ามีโอกาสได้ไปยืนอยู่ใน La Sagrada Familia ของพี่ Antoni Gaudí ก็คงรู้สึกแบบนี้แหละ)
มันเหมือนเราพลัดเข้าไปอยู่ในโลกที่มีมนตราอะไรสักอย่าง ที่ทำให้เราหลง ๆ งง ๆ มี Easter eggs ซ่อนตรงนั้นตรงนี้ ชวนให้ค้นหาและอยากจะเพลิดเพลินกับการ discovery สิ่งติงใหม่ ๆ อยู่ในนั้นตลอดไป คือมันดียยยยย์อ่ะค่ะ แต่ไม่รู้จะบอกว่าดียังไง (เอ๊ะ ... หรือเราบอกไปแล้วนะ 555 งง...)
แบบว่าเวิร์คช้อป Differy Masstige ของคุณแป้ง 2 วันนี้ มันจับเราที่ความรู้สึก มันซึมลึกเข้าไปประทับอยู่ที่ใจ จนพูดไม่ออก บอกไม่ถูก คิดไม่ทัน 555 ไม่รู้ว่าจะพรรณาอีท่าไหนเลย (ตอนแรกในคลาส คิดว่าเราง่วง 😆 หงุดหงิดตัวเองเบา ๆ เหมือนกันนะคะ ถามอะไรทำไมตอบไม่ได้วะ คุณแป้งให้ reflect ก็บอกไม่ได้ ไม่รู้ตัวเองได้อะไรมา แต่...เอ๊ะ จบคลาสมา 2 วันก็ยังงง ๆ อยู่ เลยคิดว่า อ่า ... ไม่ใช่ละ 555 มันเป็นความประทับใจอีกแบบอ่ะค่ะ แบบที่เบ็นไม่เคยเจอมาก่อน)
เคยได้ยินคำว่าสวยพิศไหมคะ ... คลาสนี้ให้ความรู้สึกแบบนั้นค่ะ คือยิ่งอยู่ ๆ ไปจะยิ่งรู้สึกว่าสวยขึ้นเรื่อย ๆ มันไม่ฉูดฉาด บอกไม่ได้ว่ามันสนุ๊กสนุก ชอบมากเล้ยยยทุกโคนนนน อะไรแบบนั้น (ปกติเบ็นจะ High มากกับคลาสที่ให้พลัง + emotion ชัด ๆ และมักจะกรีดร้องอยากเล่า อยากอวดด้วยพลังงานพีค ๆ น้ำเสียงโวยวาย ๆ หน่อยน่ะค่ะ ใครตามอ่านเบ็นโน้ตมาสักพักน่าจะเข้าใจดี 😊)
แต่ 2 วันกับคุณแป้ง มันสวยแบบมีชาติตระกูล แบบมีสติปัญญา เอาเป็นว่ามันเหมือนตัวคุณแป้งเลยค่ะ มันให้ความรู้สึก “เย็นหัวจิต สบายหัวใจ” อยากอยู่ใกล้ไปเรื่อย ๆ เบ็นคิดว่าประสบการณ์สร้าง Brand ที่คุณแป้งอยากจะสอนเราก็คือแบบนี้ล่ะค่ะ
ใครก็อยากเป็น Brand ที่ลูกค้าสบายใจและอยากอยู่ใกล้ไปเรื่อย ๆ ใช่ไหมคะ ... เบ็นว่าคุณแป้ง Lead by example ให้พวกเราชาว Differy ดูอยู่นั่นเอง ...
ไปค่ะเบ็นจะพาไปอินกับ “ประสบการณ์ที่น่าจดจำ” ตลอด 2 วันที่เบ็นมีโอกาสได้อยู่กับคุณแป้ง ได้เป็น “คนวงใน” ของ Differy Masstige ค่ะ 💖💖
--------------------
💖
Differy Masstige คืออะไรกันนะ?
มันคือการสร้าง Brand ของเราให้แตกต่างเพื่อ “ลูกค้ามหาชนคนมีระดับ” ค่ะ ก่อนอื่นเราต้องมาทำความเข้าใจ 2 คำแปลก ๆ ที่เกิดมาเบ็นก็เพิ่งเคยเห็นกันก่อนนะคะ What is Differy? Do you know what masstige is? Are we masstige?
--------------------
💖
Masstige = Mass + Prestige
มาเริ่มกันที่คำว่า Masstige ก่อนค่ะ (คนที่ทำเรื่อง High Net Worth อาจจะเคยได้ยินนะคะ แต่เบ็นไม่ค่อยได้ไปสายนี้เลยไม่คุ้นค่ะ 😉) คำว่า Masstige ก็คือ “ลูกค้ามหาชนคนมีระดับ” นั่นเองค่ะ
คุณแป้งเล่าว่าการทำ Brand แบ่งออกเป็นได้หลายระดับตามกลุ่มลูกค้าค่ะ เราต้องเลือกว่าเราจะเป็น Brand แบบไหน ไม่มีอะไรถูกผิด แต่เลือกแล้วต้องเป็นและต้องไปให้สุดในแบบนั้น ๆ ซึ่งถ้าแบ่งแบบละเอียดจะมีด้วยกัน 9 ระดับนะคะ แต่มันละเอียดเกิ๊น บางระดับก็ใกล้กั๊นใกล้กัน คุณแป้งเลยเอามาคุยกับเราแค่ 6 ระดับค่ะ เป็นการคุยให้เห็นภาพกว้าง ๆ นะคะ ไม่ได้ลงลึกเพราะเวลามีน้อยต้องใช้สอยอย่างประหยัดค่ะ 55
⭕ Mass (Fashion) สินค้าตลาดทั่วไป ขาย Mass จะมี product life cycle สั้น เพราะขายกระแส Brand จึงต้องแข่งกันที่ราคา + ความเร็ว อายุของสินค้าส่วนใหญ่จะไม่เกิน 6 เดือน (ก็ต้องเปลี่ยน Collection หรือเปลี่ยนสินค้า)
⭕ Premium แบรนด์กลุ่มนี้จะเริ่มใส่ใจกับ Branding + Special Design มากขึ้น แต่ยังไม่เลือก position ว่าจะไปข้างบนหรือลงข้างล่างดี แบบว่ายังก้ำ ๆ กึ่ง ๆ ส่วนใหญ่จะเป็นสินค้าที่เราจะนึกถึงเมื่อมีโอกาสพิเศษต่าง ๆ = Gift = Occasional (คือต่างนิดนุง ยังไปไม่ไกลจาก fashion เท่าไหร่ คนลอกง่าย เลยอยู่ได้ไม่ค่อยจะยาว อะไรแบบเน้)
⭕ Masstige หรือกลุ่ม “สินค้ามหาชนคนมีระดับ” ที่คุณแป้งจะพาเรา Evo ตัวเองไปให้ถึงใน 2 วันนี้ค่ะ Brand ในกลุ่มนี้คือ Brand ที่ดูดีมีชาติตระกูล หะรูหะราหมาเห่า ดูแพง สินค้ากลุ่มนี้ต่องมีหน้าร้านให้มาเฉิดฉาย to be seen ได้ด้วยนะคะ และต้องอยู่ใน Prime Location มีการทำ PR มีการใช้ Influencer ... ที่สำคัญคือจะยังขายคนจำนวนเยอะอยู่ มันจึงเรียกว่า Masstige ซึ่งมาจาก Mass + Prestige นั่นเองค่ะ
กลุ่ม Masstige จะมีการทำ brand อย่างมีระบบ ทำให้ brand (และตัวสินค้า / บริการ) สามารถยืนระยะอยู่ได้ยาว ๆ ... ยาวไป ยาว ๆ ปายยย 😊
>>> Club LEVEL >>>
ที่ผ่านมา 3 ’เว่ลแรก เราขายมวลหมู่มหาประชาชน ระดับต่อ ๆ ไปจะขายความเหนียวแน่น ความ “วงใน” ละนะทุกคน ... เรียกว่า Niche >> Nicher >> Nichest ฮะคุณผู้ชม (อย่าเอาแกรมม่านะคะ เอาความจำได้ 555)
⭕ Prestige กลุ่มนี้จะเล่นตลาด Niche ค่ะ ขายน้อย ๆ แพง ๆ แต่มีค่าเสื่อม หมายถึงยังงัยคะ ไม่ถึงว่าสินค้ามันมี “กาลเวลา” มันตกรุ่นได้ ยิ่งอยู่นานไปยิ่งราคาตก เช่นกลุ่มสินค้า gadget ตั่งต่างนะคะ อารมณ์ว่า iPhone 13 พอ 14 มาปั๊บ ราคาดิ่งยิ่งกว่า Bitcoin ขายต่อก็ได้แค่สักกระผีกริ้นของราคาที่ซื้อมา (ซื้อ 40,000 ขายได้ 2,000 งี้)
*ถ้าเทียบกับ Prestige แล้ว สินค้า Masstige จะซื้อได้ทุกวัน (หมายถึงบ่อย ๆ) นะคะ เช่น Karmakamet เราไม่ได้ซื้อ Diffuser ทุกวัน แต่เราซื้อ oil / เครื่องประทินผิว / ถุงหอม โน่นนี่นั่นได้บ่อย ๆ ซื้อกลิ่นนี้แล้ว ก็ซื้อกลิ่นใหม่ได้อีก 😊
ในขณะที่เราคงไม่ซื้อ Apple Watch ทุกวันอ่ะเนาะ (ต่อให้ซื้อ accessories ก็เหอะ)
⭕ Luxury ขั้นกว่าของ Prestige ค่ะ คือกลุ่มสินค้าที่ Niche + แพง + ไร้กาล (หรือเรียกว่ามีมูลค่าตามกาลเวลา) ... คิดถึง Bulgari ไว้ค่ะ ไม่มีตกรุ่น ยิ่งนานไป หาไม่ได้แล้ว limited edition ยิ่งแพงหนักเข้าไปอีก
⭕ Meta Luxury กลุ่มนี้โคตรอภิมหา Niche ค่ะทุกคน เราขายคนที่มีเพียง 1% ในโลกก็พอ ดังนั้นของต้องนิ๊ชชชชช...นิช + แพง แพงแค่ไหนคนกลุ่มนี้ก็ยอมจ่าย + ซื้อแล้วยังไม่ได้ใช้ แต่มีแล้วฉันอยู่ใน 1% Club เช่นตั๋วไปท่องอวกาศ ซื้อมาก่อนได้ไปเมื่อไหร่ไม่รู้ แต่ซื้อ
ดังั้นเราเรียกได้ว่า Meta Lux นี่มีความขายฝันนะคะ แต่จะขายได้คนขายต้อง “เสียงดัง” คนถึงจะอยากได้ ที่สำคัญคือ product หรือ service นั้นต้องมีน้อยยยยย และแพงมากกกกกก ด้วยค่ะ
สินค้าในกลุ่ม Club มันคือสินค้าที่คนมีแสงขายคนมีแสงด้วยกันค่ะ จึงต้องใช้เงินเยอะในการยืนระยะนะคะ ความแพงความหายากมันเป็นการแสดงให้เห็นถึง “ความมีแสง” ดังนั้นสินค้ากลุ่มนี้จะไม่ลดราคา เพราะลดเมื่อไหร่ “ความขลัง” ทั้งของสินค้าและของคลับจะคลายลง
สินค้า Club (3 level หลัง) จึงเป็นสินค้าที่เราต้องทำให้ “ดูยาก ดูแพง ดูงง และดูต้องเป็นคนวงในเท่านั้นจึงจะเข้าถึงได้” แต่สำหรับ Masstige เราเอาแค่ 2 ข้อแรกก็พอค่ะ ถ้าขืนงงและวงในด้วย ก็ไม่ต้อง “มหาชน” กันพอดี
--------------------
💖
Masstige ต้องขายมูลค่าไม่ใช่ราคา
และนั่นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเราต้อง
Differy = Differentiated + Story
ถ้าเลือกจะเป็น Masstige เราจะไม่ขายของราคาถูกนะคะ คือเราจะไม่ขาย “ราคา” แต่ขาย “มูลค่า” ค่ะ เพราะเราอยากได้ลูกค้าคุณภาพดี ซึ่งต้องการสินค้าที่แตกต่าง โดดเด่น บอกถึงรสนิยมของเค้าได้ ดังนั้นเราจะต้องสร้าง “ความแตกต่าง” ซึ่งความแตกต่างที่ว่านี้มี 2 ระดับค่ะ
1. ระดับลอกง่าย >> ออกแบบภายนอก ex. Product, packaging ทำการตลาด ใช้ influencer อะไรประมาณนี้ คือต่างที่ 4Ps ว่างั้นเถอะ
2. ระดับลอกยาก >> ออกแบบประสบการณ์หรือ experience design ซึ่งไม่มีใครเหมือนใครได้ ประสบการณ์ใครประสบการณ์มัน ถ้าเราออกแบบได้ดีลูกค้าจะเล่า Story ให้กับเรา = เราจะมี Story ร่วมกันกับลูกค้าที่จะกลายมาเป็น “มากกว่าลูกค้า” นั่นคือเราจะได้ Super Duper Fan 🥰🥰
--------------------
💖
เราจะออกแบบธุรกิจที่แตกต่างได้อย่างไร
เราต้องตั้งใจให้ ... ใส่ใจทำ
ตามสมการนี้ค่ะ
Differy Masstige
= {[Marketing Mix x Differentiate]
/ Trend}
x User Experience x Story
🟠 1.
ธุรกิจใด ๆ ก็เริ่มด้วย 4Ps นั่นแหละค่ะ เอา 4Ps หรือ Marketing Mix คูณกับวิธีการสร้างความแตกต่างหรือ Competitive Strategies เราก็จะได้ความแตกต่าง ’เวลแรกมานะคะ เป็นความแตกต่างที่ใคร ๆ ก็ทำตามได้ ลอกง่าย ต่างแค่นี้ level นี้จึงอาจจะไม่ตาย แต่ก็ไม่โต ...
เราอาจจะคิดว่าก็ไม่เป็นไร เป็นบอนไซเล็ก ๆ น่ารักไป มันก็มีตลาดของมันเนาะ แต่ในโลกธุรกิจไม่ใช้ Planetarium ค่ะทุกคน บอนไซไปนาน ๆ ขณะที่คนอื่นโตเอา ๆ เราก็ ... นั่นแหละค่ะ ไม่ตายวันนี้ก็ตายวันหน้าอยู่ดี เนาะ ...
🟠 2.
ถ้าจะให้ลอกยากขึ้น เราต้องคิดเพิ่มอีกนิดค่ะ นั่นคือเราต้องหาร 2 ตัวแปรแรกนั้นด้วย Trend ... ดูด้วยว่า Trend มันไปทางไหน “มองรวมอย่ามองรีบ” ไม่งั้นไปเจออะไรแปล ๆ ปั๊บ คว้ามาปุ๊บ ได้ของที่เราคิดว่าดี๊ดีมาแต่ไม่อินเทรนด์ก็แป้ก หรือเห็น trend ก่อนแต่ไม่มองอีก 2 ตัวเลย เราก็อาจจะแป้กอีกเช่นกัน
(ยกตัวอย่างให้เห็นภาพง่าย ๆ ก็เช่น Segway เมืองนอกกำลังมาเว้ย ... Trend งะ ... คุณแป้งสอนให้จับ Trend ป่ะ งั้นเอามาขายเมืองไทยกัน ... ง่า แป้กนะฮะ มันไม่ง่ายแบบนั้น เพราะคนไทยไม่ได้มีวัฒนธรรมใช้ scooter ไปทำงาน นึกภาพตามนะคะวิ วิจะไถ Segway จากบ้านฝ่าฝุ่น PM 2.5 + อากาศร้อน + ถนนแคบ + มอไซค์แว๊น + สภาพการจราจรที่ไม่เหมือนที่ไหนในโลกไปยังไง๊ ... เอาแค่จะไปทำงานให้ไม่โดนสาย 8 สอยไปกินยังไงก๊อนนน สภาพพพพ ...
ใด ๆ คือไม่ได้บอกว่าเอาเข้ามาไม่ได้นะคะ แต่เราคงไม่ได้เป็น mass และไม่ได้เป็น premium เราต้องเป็น Masstige ยูโน้ววว ... โซ้วววว...เราก็ต้องทำการบ้านหนักมาก ว่าเราจะเอาเข้ามาให้ “ใคร” ใช้ ใช้ที่ไหน ใช้ยังไง ใครที่จะเป็น Club ของเรา ... เนี่ยยยย ยากเนาะ)
🟠 3.
ยังไม่พอค่ะ แค่นั้นยังลอกไม่ยากพอ Level แตกต่างอย่างสุดโต่งเราต้องคูณ Experience เข้าไป ไม่งั้นมันจะยังไม่ “เฉพาะเรา” จะสร้างอภิสิทธิ์ชน เราต้องมีอภิสิทธิประสบการณ์ เราต้องออกแบบ User Experience ที่จะ in-touch หรือจับหัวใจลูกค้าค่ะ เพื่อให้ลูกค้าทำปรากฏการณ์ในข้อ 4 ให้กับเรา
🟠 4.
Story
เป็นตัวจริงต้อง “เล่าได้” ... จะเล่าได้ “เหนือระดับ” แบบตัวจริงต้องเป็นคนที่เคยสัมผัส “ประสบการณ์” ผ่าน 5 senses หรืออายตนะทั้ง 5 (รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส) ถ้าไม่เคยสัมผัสจำเค้ามาเล่าให้ตายก็ได้แค่ level แรก (differentiated)
ดังนั้นในฐานะคนออกแบบเราต้องเคย experience เราจึงจะเล่าได้ต่างๆๆๆๆ ... โลกกว้างเท่าที่เราเห็นค่ะ ไม่เคยไปอิยิปต์ ไม่เคยสัมผัสชีวิตทะเลทราย เราก็ไม่รู้หรอกเนอะว่าเค้ากินเค้าอยู่กันยังไง ทำไมเป็นแบบนั้น จะให้ออกแบบนวัตกรรมอะไรให้เค้า เราก็ไม่รู้ว่าเค้าจะอยากได้อะไร แต่ถ้าให้ออกแบบนวัตกรรมให้คน กทม. นี่ โหวววววววว ... list ที่ต้องพัฒนายาวเป็นหางว่าง เรื่องเล่าที่ขายได้มาจากรายละเอียดของประสบการณ์ มันมีรายละเอียดมากมายที่เราไม่รู้จริง ๆ
และสำหรับใน club … “คนใน” ที่มีประสบการณ์จริง ๆ เท่านั้นที่จะเล่าได้ “เหนือระดับ” จนคนอยากตามมามีประสบการณ์แบบเดียวกัน เราต้องการเรื่องเล่าแบบนั้นจากผู้คนแบบนั้นค่ะ 😊
--------------------
💖
ใน Differy Masstige คุณแป้งชวนพวกเราปรับ Mindset ไปทีละขั้นตาม stage ทั้ง 4 stage นี้โดยเราไม่รู้ตัวเลยค่ะ ตลอดทางเราโดนหลอกล่อให้ตามไป เผลอ ๆ เอ้าตกหลุมพราง ต้องเรียนรู้ที่จะตะกายขึ้นมาเองอย่างเจ็บปวดนิดหน่อย 555 แต่ทั้งเส้นทางมันดีมากอ่ะทุกคน เพราะเราได้เปิดหูเปิดตาเปิดใจ เรียกว่าจบ 2 วัน “ตาสว่าง - กะโหลกเปิด – mindset เปลี่ยน”
และเนื่องด้วยมันเป็นการเรียนรู้ผ่านการลงมือทำ ที่ช่วงท้ายได้ทำ case ของตัวเองโดยมีทั้งคุณแป้งและเพื่อน ๆ ช่วยด้วย เบ็นก็เชื่อว่าทุกคนน่าจะนำไปใช้กับธุรกิจและชีวิตของตัวเองได้จริง ๆ
Mindset Shift ที่คุณแป้งออกแบบไว้ให้เราก่อนและหลังเรียน Differy เป็นแบบนี้ค่ะ
ก่อนเรียน โดยทั่วไปเวลาเราจะทำธุรกิจ เราจะคิดแค่ว่า … เราจะขายอะไร ขายใคร packaging แบบไหน ทำโปรอะไร จ้างใครมาเป็น presenter ดี
หลังเรียน คุณแป้งอยากให้เราคิดแบบนี้ค่ะ
- แบรนด์อื่นทำอะไร (Market Situation & Competitor Analysis เนาะ)
- แบรนด์เราดีต่อใคร เราอยากช่วยใคร เราไม่ตั้งคำถามว่าลูกค้าเป็นใครนะคะ จะเห็นว่าแค่คำพูดหรือคำพถามต่างกันก็ให้ความรู้สึกต่างกัน คำตอเบที่ได้ก็ต่างกันนะคะ ขึ้นต้นด้วยลูกค้า เงินจะมาก่อนเนาะ ... ตั้งต้นด้วย passion ความหมายหรือคุณค่าของ brand ก็จะมาก่อน เราต้องเริ่มที่คุณค่าค่ะ
- ปัญหาของเค้าคืออะไร
- เค้าสนใจอะไร
- เค้าอยากได้อะไร
/Tips/
สำหรับการทำ Experience Design “ภาษา” เป็นเรื่องสำคัญมาก ๆ นะคะ อย่างที่ยกตัวอย่างไปข้างบน คำพูดต่างกันให้ความรู้สึกต่างกัน คำศัพท์เฉพาะพิเศษของ Brand หรือของ Club ช่วยยกระดับประสบการณ์ของ brand ได้นะคะ
ภาษาใหม่ = ประสบการณ์ใหม่ (ชอบเรื่องนี้จัง มันสนุกและน่าตื่นเต้นสำหรับเบ็นมาก ๆ ค่ะ) ถ้าเราใช้ภาษาเหนือความคาดหวัง เราจะ stunt คนได้ ลูกค้าจะเกิดอาการไปไม่เป็น 555 เรา (brand) จะชนะค่ะ
ตัวอย่างนะคะ ถ้าเราขอส่วนลดแล้วพนักงานบอกว่าไม่มีส่วนลดเลยค่ะ เราจะวอแวต่อสักนิดใช่ไหมคะ น่า ... ลดให้พี่หน่อยนะอะไรแบบนี้ สิ่งนี้จะไม่เกิดขึ้นที่ Bulgari ค่ะ เพราะพนักงานจะตอบเราว่า “นโยบายของเราคือ 0% Discount ค่ะคุณลูกค้า” ... ง่ะ stunt ไหมล่ะทุกคน 555 คือ เดี๋ยวนะ ขอแปลภาษาแพ้บ มันแปลว่ารัยวะ ... เอ๊ะ มันก็ไม่มีส่วนลดป่ะวะ น่านแหละค่ะ ง๊ง 555 ไปไม่เป็น แล้วเราจะต่อราคาต่อไปยังไงดีวะ น้องมาภาษานี้ จบค่ะ Bulgari ชนะ 5555
*ใครเปิดประสบการณ์ใหม่ได้ก่อน ได้เอกสิทธิ์ก่อน
--------------------
ต่อไปเราจะไปลงรายละเอียดกันทีละ step ของการทำ Differy นะคะ (นี่เรายังไม่เข้าเนื้อหาอีกเรอะ 555 ยาว...ค่ะ บอกเลยว่า BenNote ฉบับนี้มันจะมหากาพย์มั่กมากค่า แต่อยากแชร์จริง ๆ นะคะ มันดีและคุณแป้งอนุญาตแล้ว 😊 เบ็นคิดว่าเพื่อน ๆ ที่ทนอ่านจบก็จะได้ประโยชน์และเอาไปลองทำตามได้ค่ะ
🎁 ใครที่อ่านมาถึงตรงนี้ รบกวนเม้นท์บอกเบ็นนิดนะคะว่าชอบเรื่องไหนที่สุดใน BenNote ฉบับนี้ จะเป็นส่วนก่อนหน้านี้ หรือส่วนหลังจากนี้ก็ได้ค่ะ เบ็นอยากให้กำลังใจในการอ่านด้วยการส่งของขวัญจาก BenNote ไปให้ค่ะ 555 (ฝากเลือกรูป post ของ BenNote ที่ชอบแล้วแปะมาด้วยนะคะ)
อ่ะ เล่นทีเผลอเสร็จก็ไปต่อกันค่าทุกโคน
--------------------
🟠
Level 1: Creative Ideas
= 9 Marketing Mixes
x 6 Competitive Strategies
อันนี้คุณแป้งยืมมาจากคุณบี สโรจนะคะ การคิดให้ธุรกิจของเราสร้างสรรค์เริ่มได้จากเอา 9 x 6 นี่แหละค่ะ ตั้งต้นทำได้ 54 ideas เลยนะคะ และเราไม่ต้องเอามาคูณกันแค่ทีละ 2 ก็ได้ค่ะ ยิ่ง X หรือคูณกันหลาย Factor มากเท่าไหร่ยิ่งตามยาก ลอกยากนะคะ เรียกว่าเราจะมี Barrier สูงมาก คือเราเหนือกว่าหลายขุม คนใหม่จะเข้าก็เหนื่อยอ่ะค่ะ เช่น กองสลากพลัส นี่ก็แทบจะ monopoly ในวงสลากออนไลน์แล้ว ใครจะชิงบัลลังก์ก็นะ ...
9 Marketing Mixes มีอะไรบ้าง (คุณบีบวกเพิ่มให้จาก 4Ps ค่ะ เดี๋ยวนี้มันต้อง 9Ps ละเนาะ)
- Proposition (คุณค่าของ Brand)
- Product (สินค้าที่ไปด้วยกันกับคุณค่า)
- Packaging (วิธีการนำเสนอสินค้า)
- Price
- Place (ช่องทางขาย)
- Promotion (การสื่อสาร)
- Process Experience Design
- People (พนักงาน)
- Physical Evidence (หน้าร้าน)
6 Competitive Strategies
- Differentiation (แตกต่างอย่างมีคุณค่า)
- Cost Leadership (ต้นทุนต่ำ)
- Speed (เร็ว)
- Data Driven (ฐานลูกค้าเยอะ (มีหลายเพจ) เก็บข้อมูล + เอาข้อมูลมาใช้เป็น)
- Accessibility (เข้าถึงง่ายไปไหนก็เจอ *แต่ Brand เราต้องชัด คนจำได้ด้วยนะ)
- Collaboration
ผู้ประกอบการที่รอดต้องรู้จุดอ่อนและจุดแข็งของตัวเองนะคะ เช่น Ryanair จุดแข็งคือตรงเวลา จุดอ่อนคือบริการ แต่นางเลือกแล้วว่านางจะตรงเวลางัย เพราะฉะนั้นจะบินกะนางอย่ามาถามหา service 555 ... นางได้รับการ Vote ให้เป็นสายการบินยอดแย่ 6 ปีซ้อน แต่นางเป็นสายการบินที่คนใช้เยอะที่สุดในโลกนะ เอาซี้ ... เพราะลูกค้าต้องการแค่เดินทางจากทีนึงไปอีกทีนึงด้วยราคาถูกและตรงเวลา เค้ามีกลุ่มของเค้าชัดเจน และผู้บริหารก็มีวิสัยทัศน์ชัดเจน
“…Ryanair is Functional Brand.
It’s absolutely not about becoming loved...”
Kenny Jacobs, Ex-CMO of Ryanair
--------------------
สำหรับเรื่องการ X ใน level นี้ (Marketing Mixes x Strategies) เบ็นเคยเขียนเล่าไว้จาก session ของคุณบี สโรจนะคะ ใครสนใจตามไปอ่านได้ที่นี่ค่ะ
--------------------
#BenNote #CreativeDifferentiation
ส่วนใหญ่เราจะจบกันที่ level นี้ค่ะ ทำให้เราขายแพงและสร้าง club ไม่ได้สักที มิหนำซ้ำยังต้องหนีไปเรื่อย ๆ ด้วยเพราะมันลอกง่าย นึกถึงอะไรที่เราชอบทำตาม ๆ กันไหมคะ มันจะมีคนเริ่มที่เก๋แปลก แล้วทันใดนั้นก็มีคนตามมาเป็นสาย ... เรามีถนนสายไหมที่อยุธยา (ทำไมนะ 55) เรามียุคบ้าบิ่น ยุคครัวซอง ก่อนหน้านี้มีอะไรอีกนะ นึกไม่ออกละ
หรือแม้แต่ตัวอย่างที่คุณแป้งเอามาให้เราวิเคราะห์กัน บางอย่างเราก็ได้แต่คิดว่าทำไปทำไม มันแบบว่า “อิหยังวะ” อ่ะค่ะ คือมันก็ “ต่าง” นะคะ แต่ต่างทำไมก็ไม่รู้ บางอย่างเราไม่รู้เพราะไม่ได้สื่อสาร แต่บางอย่างก็ไม่รู้เพราะมันไม่มีจริง ๆ 555 (ตอนนี้เราหัวเราะได้ค่ะ แต่พอถึงตอนวิเคราะห์ product ตัวเอง เออ โคตรเข้าใจ ตรูก็เป็นแบบนี้แหละ น้ำตาจะไหล)
เราหาไม่เจอว่าที่เค้าทำให้ต่างนี่มันจะต่างไปทำไม เช่น น้ำผึ้งป่าจะทำขวดมี collar หนังที่ไม่สื่อถึง brand ไปทำไม ทองม้วนจะทำ packaging หรูหราราคาแพงไปเพื่อ? ผงน้ำขิงจะทำให้พกพาสะดวก for what?
แล้วก็ได้เวลาโดนเคาะหน้าแงค่ะ ... ช่ายค่า ... What ไม่ใช่คำถามที่นักการตลาดที่ดีควรจะ “จบ” อ่ะเนาะ คุณแป้งถามว่าไอ้ที่เราบ่น ๆ กันเนี่ย เราคิดว่า “ใครเป็นลูกค้าเค้า” เอออออออ ... เหมือนถูกเปิดกะลา 5555 โลกกว้างขึ้นใน 1 คำถามนะ 😅
ตอนแรกเราเอาตัวเองวัด ... เพื่อ?? เนี่ยคำถามแม่งแว้งกลับมาทิ่มตัวเองดังจึ้กค่ะ ... บางอย่างเราไม่เข้าใจก็เพราะเราไม่ใช่ target เค้าอ่ะเนอะ ... แต่ในทางกลับกันเค้าต้องบอกให้ชัดเหมือนกันเนาะว่าเค้าเพื่อใคร (เค้าคือเรานี่แหละ เวลาทำของตัวเองคิดให้มันได้แบบเน้ ... #ด่าตัวเองเจ็บน้อยกว่า 555)
ถ้ายังไม่ซื้อ ทีมงานคุณแป้งมาเล่า story ให้ฟังเพิ่มค่ะ อันนี้มันทำยากค่ะพี่ไม่มีใครเค้าทำวุ้นกรอบรสอัญชันมะนาวกัน เพราะมันทำยาก กรดมันคงรูปได้ยาก (แต่รสดังและ signature ไม่ใช่รสนี้ ... อ้าว! อิหยังวะ 555 ยังไม่เลิก) อันนี้เค้า design ให้เป็นของขวัญของฝากค่ะ ของขวัญมันต้องใหญ่ ต้องสวย ต้องแพงค่ะ อ่ออออ เป็น premium อ่ะเนาะ ซื้อตามโอกาส อันนี้หากินยากค่ะ อันนี้มีส่วนผสมพิเศษค่ะ อันนี้มันมีตำนานค่ะ อะไรก็ว่าไป
สรุปว่า อ๋อ ... เราก็รู้แหละว่าเค้าพยายามจะต่างยังไง ถามว่าเราจะซื้อไหม เก๊าะ ... น่าจะซื้อมาลองครั้งแรกนะคะ แต่ครั้งต่อไปก็คงเฉย ๆ เป็นของที่ได้ก็ดีไม่มีก็ได้ คือไม่ได้ซีเรียสว่าต้องเป็นสิ่งนี้ แบบว่าใช้ของยี่ห้ออื่น หรือแม้แต่ของอย่างอื่นก็แทน product นี้ได้
เนี่ยค่ะ คุณแป้งทำให้พวกเรา learning จาก case จริงด้วยตัวเองเลยว่า Product ที่ต่างใน level นี้อาจสร้างความสนใจทำให้คนอยากลองได้นะคะ แต่ความแตกต่างแค่ level นี้จะเพียงพอไหม เราต้องถามตัวเองค่ะว่าเราจะรอดไหมถ้าเรา “ได้ความแตกต่าง แต่ไม่ได้ FAN” ผู้คนที่เราตกได้มาไม่ได้สนใจจะซื้อซ้ำ ... อันนี้ก็แล้วแต่เรานะคะ ถ้าเราจะหยุดที่การเป็น Mass / Premium ก็เอาที่สบายใจได้เลยค่ะ (บอกแล้วว่าไม่มีถูกผิดเนาะ)
แต่ถ้าจะขายใหได้แพง อยู่ให้ได้ยั่งยืน จะขยับขึ้นไปเป็น Masstige มันต้องทำมากกว่านี้ มันต้องทำยากกว่านี้ นี้ นี้ ... ป่ะ ... ไปกันต่อค่ะ
--------------------
🟠
Level 2: Trend
อย่างที่คุณแป้งเกริ่นไปตั้งแต่ต้นค่ะ เราจะดูแต่ตัวเราไม่ดูมนุษย์มนาอื่นเลยไม่ได้เนาะ ตอนนี้โลกหลังโควิด trend ที่มาแน่ ๆ ก็คือ SDGs Mega Trends ค่ะ ทุกคนพูดเรื่องรักษ์โลก รักผู้คน (เพื่อนมนุษย์) รักษ์สิ่งแวดล้อม ธุรกิจอะไรใด ๆ ก็ต้องไปทางนี้แหละ อีกหน่อยถ้าเราไม่แคร์เวิลด์ เวิลด์ก็จะไม่แคร์เรา ไม่มีใครเอานี่มันก็จะอยู่ยากอ่ะเนาะ
และ 9 ธุรกิจติดเทรนด์ที่กำลังมาช่วงนี้ คือเหล่านี้ค่ะ Retails, Logistics, Fashion, Travel, Media, Architect & Décor, Arts & Craft, Health & Wellness และ Food
มาดูกันค่ะว่าธุรกิจใน Industries เหล่านี้เค้าปรับตัวอะไรเพื่อรับ SDGs และความเปลี่ยนแปลงในยุค Post-Covid กันบ้าง
🚅 Trend 1.
Retails >> Re-open Offline / E-Commerce Regulation / Loyalty Program
o ถ้าเราเป็นห้างร้านตั่งต่างเราจะทำยังไงให้คนที่เริ่มชินและเสพติดความสบายจากการ shop online หันกลับมา shop ที่ห้างหรือร้านเรากันดีคะ >> เราต้องทำให้คนมาห้างได้ “ประสบการณ์” ที่ online ให้ไม่ได้ ห้างจึงไม่ใช่ที่ขายของอีกต่อไปเนอะ แต่เป็น Show Case & Activity Space เราจึงจะเห็นว่าทุกห้างมีการจัด Festival, Event หรือแม้แต่ต้องทำให้เป็นจุดที่ถ่ายรูปได้ตลอดเวลา >> ถ้าเรามีหน้าร้าน ... เราจะทำอะไรบ้างดี
o ถึงจะกลับมาเปิด offline หรือหน้าร้านได้ ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะกลับออกมาใช้ชีวิต “นอกจอ” เราต้องมีทุกช่องทางที่ลูกค้าอยากจะมาหาเราค่ะ >> ว่าแต่ร้าน online อย่าลืมทำตาม Regulation ตั่งต่างนะคะ PDPA, Tax, Vat อะไรใด ๆ ไม่งั้นโดนย้อนหลังหรือโดนไล่เบี้ยขึ้นมา ... ปวดตับน้าบอกเลอออ
o ทุกห้างร้านต้องมี Loyalty Program เนอะเพราะเดี๋ยวนี้ Data is new oil … เราต้องการฐานแฟน ยิ่งมีเยอะยิ่งดี ยุคนี้ถ้าใครมี Super Fan (ลูกค้าซื้อซ้ำ) เกิน 30% รอด!!! ...
ถ้าเรามีแฟน แต่มีคนซื้อซ้ำไม่ถึง 30% แปลว่าอะไรคะ?
- ถ้าของเราดีจริง แตกต่างจริง มันอาจจะแปลว่าบ่อน้ำของเราอาจจะเล็กไป ปลาน้อยไป เราต้องหาปลาเพิ่ม!!!
- ถ้าของเราไม่แตกต่าง เราต้องไปหาจุดที่เพื่อนเรา (คู่แข่ง) ไม่เล่น เช่น ร้าน online retail ร้านนี้ค่ะ “On-the-list” ตั้งตัวเองเป็น Marketplace
🚅 Trend 2.
Logistics >> พลังงานสะอาด >> World goes EV!
คนไม่อยากออกจากบ้านแล้วทำไงกันดี >> Paris ทำแคมเปญ “เมือง 15 นาที” นะทุกคนคือออกแบบเมืองใหม่ให้ทุกอย่างถึงได้ใน 15 นาที คือแต่ละชุมชนมีทุกอย่างที่เราต้องการใช้งานในชีวิต แล้วให้ผู้คนไถ Scooter ไฟฟ้าไปทำงาน
แต่ช้าก่อนนนน ... ที่ฝรั่งเศสใช้ได้ไม่ได้แปลว่าจะยกยวงมาใช้ในเมืองไทยได้เลยนะ ถ้าเราจพกันได้ บ้านเราเคยมีไอเดียนี้ เปิดจุดให้เช่า Bike / Scooter เราไปยืมจากจุดนึงแล้วเอาไปคืนอีกจุดที่ใกล้ปลายทางของเรา ... เจ๊งบ๊งจ้ะ เพราะคนไทยไม่มีทางใช้ Scooter ไปทำงาน ไม่นับ infra เราที่ไม่เอื้อ และความไม่คืนตรงจุดอะไรตั่งต่าง ... Culture จึงเป็นเรื่องสำคัญมากในการจะ Adopt เทรนด์อะไรใดๆ นะคะ
Scooter คงต้องหาทางไปอีก แต่อย่างไรเราก็เริ่มเห็น trend นี้ในบ้านเราล่ะเนอะ เริ่มมีการพูดถึงพลังงานสะอาดทั้งในที่พักอาศัย ที่ทำงาน รวมไปถึงยวดยานพาหนะ เริ่มมีคนทำรถ EV เริ่มมีจุด charge รถ EV โครงการที่อยู่อาศัยใหม่ ๆ ระดับบนก็เริ่มออกแบบให้มีจุด charge กันแล้ว
🚅 Trend 3.
Fashion >> Sustainable / วัสดุธรรมชาติ / Eco-Friendly
ทำดีแล้วต้องบอกด้วยนะคะ บอกเป็นข้อความเฉย ๆ อาจจะไม่พอ บางแบรนด์ที่ลูกค้ารักมี Show real-time process ให้ดูหน้า web เลยว่าของที่เราสั่งวัตุดิบมาจากไหน ตอนนี้อยู่ในกระบวนการผลิต - จัดส่งที่ขั้นตอนไหน จะใช้เวลาอีกกี่วัน (คิดถึงเต่าบินค่ะ นั่นเลย เรารู้เลยว่าน้องบ๊วยโซดาเรามันอยู่ตรงไหน เติมอะไรอยู๋ อีกกี่วินาทีจะเสร็จ 😊)
สิ่งนี้มีข้อดี 2 ข้อนะคะ 1. มีความ transparent เห็นชัดเลยว่าเราใช้อะไรจากที่ไหน เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมละเปล่า ใช้ใครทำ 2. ลูกค้าเห็นว่า เออ ขั้นตอนเรามันยากว่ะ เราใส่ใจ พิถีพิถันนะ ดังนั้นรอนานได้ไม่เป็นไร และแพงกว่าได้ไม่เป็นไร (อันนี้และบรรทัดสุดท้ายที่ต้องการ 555)
นี่คือการเปิดให้เห็นไปถึง Service Design หรือหลังบ้านของเราที่ลูกค้าไม่เห็น (ลูกค้าจะเป็นแค้ Experience Design ที่เราสร้างไว้หน้าบ้าน) และปกติส่วนนี้เป็นส่วนที่ละเอี๊ยดละเอียด สุดแสนจะยากลำบากของเราเพื่อให้เกิดหน้าบ้านที่ต้าชใจลูกค้าเนาะ ...ถามว่าเราจำเป็นต้องเปิด Service Design ไหม ไม่จำเป็นนะคะ แต่ถ้าเปิดได้ เราก็มักจะได้ใจมากกว่า และลูกค้าก็พร้อมจะจ่ายมากกว่าค่ะ (ร้านอาหาร / Chef Table เดี๋ยวนี้เลยเปิดครัวทำ Open Kitchen กันเนาะ)
มีร้านผ้าทอมือปักลายร้านนึงที่เบ็นชอบมากค่ะชื่อ “ภูคราม” … บอกเลยว่าราคาระยับมาก แต่เค้าโชว์ให้เราเห็นเลยค่ะว่าช่างปักช่างทอเป็นคนท้องถิ่นภูพานนะ แม่บิ ป้าเกอร์ พี่แจ๋ว เป็นคนทำชิ้นนี้ นี้ นี้ (ช่างชาวบ้านออกแบบและปักสดไปตามหัวใจ ทุกตัวจึงไม่เหมือนกันเลย)... ทุกชิ้นเป็นงานที่ช่างแต่ละคนใช้ใจถ่ายทอดธรรมชาติรอบตัวผ่านลายปักออกมา สีที่ใช้มาจากธรรมชาติทั้งหมด แต่ละชิ้นใช้เวลาปักกี่เดือนกี่ปียังไง (บางชิ้นทำ 4 ปีค่ะทุกโค้นนน) ... เออ แค่ดูภาพก็รู้สึกว่าโคตรยากละ...ยอม
ร้านนี้ Super Fan เหนียวแน่นหนึบมากค่ะ เปิดขายทีไรแย่งกันกดราวกับบัตรคอนพี่หวัง ตัวละเป็นหมื่นแฟน ๆ ก็แย่งกันจ่าย ในขณะที่รอบ ๆ ตัวเรามีร้านผ้าปักอื่น ๆ เต็มเลย ราคาต่ำกว่ามาก แล้วก็สวยด้วยนะ แต่เราไม่เห็นกระบวนการ ไม่เห็นความยั่งยืนของชุมชน ไม่เห็นป่าภูพานทิวเขาลมหนาวเมฆหมอกเท่าของ “ภูคราม” ... เนอะ (อันนี้เบ็นตัวอย่างเพิ่มเอง เพราะฟังคุณแป้งแล้วคิดถึง brand นี้เป็นตัวอย่างของ Differy ได้ดีมาก ๆ เลยว่าไหมคะ)
ตัวอย่างงานของภูครามค่ะ ดูเพิ่มได้ที่ link นี้นะคะ https://www.facebook.com/Bhukram
🚅 Trend 4.
Travel >> เล่นใหญ่ จ่ายเต็ม / เน้นธรรมชาติ / รถไฟ เรือ เท้า / microadventure
ทุกคนถูกขังในช่วงโควิด ต้องการออกไปเจอโลกกว้าง + คนจำนวนมาก depress + trend รักษ์โลก จึงมี trip รูปแบบใหม่ ๆ เกิดขึ้นมากมายเช่น Med. Prescription Trip หมอสั่งยาเป็นการอาบป่า ให้คนไข้เอาตัวเองไปอาบป่างี้ หรือ Much Better Adventure: UK ก็ออกแบบโปรแกรมทัวร์ระยะสั้น ไปผจญภัยในพื้นที่ห่างไกล เบา ๆ 2 วัน 1 คืน (คือประมาณว่าไป Social Detox ให้อยู่กับตัวเอง อยู่กับมนุษย์จริง ๆ ที่ไปด้วยกันอะไรงี้แหละ)
หรือแม้แต่ Bulgari ก็ทำโรงแรมที่ปักกิ่ง ออกแบบให้เป็นอาคารรักษ์โลก กักน้ำฝนมาใช้ในโรงแรม มีจักรยานให้ยืมปั่น มีกิจกรรมบำบัดในโรงแรม เช่นพิธีชงชา ... ถามว่าราคาเป็นไง ไม่เป็นไรเล่นใหญ่ให้โลกรู้ว่ารักษ์โลก คนรู้อยู่แล้ว่ารักษ์โลกจะแพงขึ้นนิดนุง ในจักรวาลรักษ์โลกนี้ แพง is acceptable
🚅 Trend 5.
Media >> Fandom & Fan Service / Direct-to-Fan
Digital ทำให้เกิดการรวมตัวกันของกลุ่มคนที่เล็กลงแต่เข้มข้นมากขึ้น สมัยนี้ยิ่งเล็กยิ่งดี เพราะยิ่งใกล้ชิด เข้าถึง ยิ่งมีปฏิสัมพันธ์และผูกพันกัน
ศิลปินก็ service แฟนหนักขึ้น ยอมออกจากทำงานหลายๆ วันหลายๆรอบ เพื่อเจาะไป touch ใจเฉพาะกลุ่ม (เกิดการขายของของ “จ่าฝูง” แต่ละฝูงหมู่ ex. แฟนคลับกลุ่มโสด แฟนคลับกลุ่มมีแฟนก็จะมีกลุ่มก๊วนของตัวเอง ศิลปินก็อาจจะออกแบบของ / สิทธิ์ต่าง ๆ ที่ไม่เหมือนกันเพื่อให้ “โดน” แต่ละกลุ่มมากขึ้น
(เดี๋ยวนี้จะมาให้จับมือ 10 วิแล้วไปไม่ได้นะ กลุ่มเข้มข้นนี่ต้องมี activity มากกว่าน้านนนนน)
ว่าแล้วก็คิดถึงการ design special moment ตั่งต่างของพี่หวังเลยอ่า (Jackson Wan, The Magic Man เพิ่งจะถูกตกเป็นติ่งกะเค้า แพ้ความกันไม่ให้พี่ตากล้องตกเวทีกะความดึงร่มมากันฝนให้พี่การ์ด 555)
เดี๋ยวนี้กลุ่มแบบนี้จะไม่ต้องการให้กลุ่มใหญ่นะคะ เค้าต้องการอยู๋กันเล็ก ๆ รักกันเข้ม ๆ ฮะ อย่างกลุ่มเด็กเล่นเกมใน Twitch นี่ถ้ากลุ่มใหญ่ย้ายหนีนะทุกคน
/Tips*/
#วิธีสร้างDTF (Direct-to-Fan)
- หา “จ่าฝูง” คนธรรมดานี่แหละที่มีพลัง คนเชื่อ สักหลาย ๆ เริ่มสักคน 2-3-4 คนก็ได้
- ลองส่งของไปให้ทุกคนใช้ ใครใช้แล้วชอบรีวิวหรือติด hashtag ให้หน่อยน้า ไม่รีวิวก็ไม่เป็นรัย
- ใครที่รีวิวให้ ตามไปดูว่า Engagement หรือ conversion เป็นงัย คนไหนดี / ดีที่สุด คุณได้ไปต่อ 😊 เลือกมาเป็น Introducer ของเราเนาะ (แล้วเราก็ให้ Cashback หรือมี tier มี badge ได้สิทธิพิเศษอะไรก็ว่าไปแล้วแค่ Design … ประมาณว่าเลือกมาเป็น affiliate ของเรานั่นแล)
ทั้งนี้ Introducer จะไม่เท่ากับ Ambassador นะคะ “แอ๋ม” ต้องดังแหละ เราจะเอา awareness อ่ะเนาะ สิ่งที่เป็น Criteria ในการคัดเลือกของ Brand ใหญ่ มี 2 ข้อค่ะ 1. หน้าไม่ช้ำ 2. Timeless คือต่อให้ไม่อยู่ในกระแส ไม่มีงาน on-air คนก็รัก พูดถึงและยัง impact กับคน เช่น พี่ณเดชน์น้องญาญ่า แม่ชมอะไรงี้
พูดถึงเรื่องหน้าช้ำ ... ตอนแรกที่แบรนด์เลือกก็อาจจะยังไม่ช้ำใช่ไหมคะ เช่น Bulgari เลือกน้อง Lisa เป็น Ambassador แต่พอน้องมีหลายแบรนด์ไป support หนึ่งในทางออกที่ world brand ส่วนใหญ่จะเลือกใช้คือหา local sweetheart ค่ะเช่นตอนนี้น้องใหม่ ดาวิ ได้รับเลือกเป็น ambassador
🚅 Trend 6.
Architect & Décor >> จะมาแนวนี้
- ออกแบบให้ใกล้ชิดธรรมชาติ
- คิดถึงสังคมและสิ่งแวดล้อม
- คำนึงถึงคุณภาพอากาศที่ดี
- มีนวัตกรรมเพื่อชีวิตและจิตใจผู้อยู่อาศัย
ตัวอย่างเช่นมีการคิดวัสดุใหม่ ๆ = AirBubble เอาสาหร่ายมาทำโครงสร้างหลังคา หรทอใช้ collagen มาผสมวัสดุปิดผิวเพื่อเคลือบไม่ให้สีซีดจางเมือโดนแสง (เทคนิคเดียวกับ File X-ray) รวมทั้ง protect กระจกให้แสงเข้าน้อยลงเป็นต้น
🚅 Trend 7.
Arts & Craft >> Social Innovation / Co-Designing
คนยุคนี้จะให้คุณค่ากับความ localize มากขึ้น ดูได้จาก add-on ต่าง ๆ ของ Airbnb ที่จะเป็นกิจกรรมที่เข้าถึงชุมชน ได้ศึกษาวัฒนธรรมประเพณี ทำงาน craft ประจำถิ่นเป็นต้น ซึ่งงานที่เราทำเองมันจะเป็นงานที่เป็น Co-create และแสดงความเป็นตัวตนของเราเอง = สิ่ที่คนยุคนี้ต้องการ
หรือ วัดเซ็นโซจิที่ญี่ปุ่นมีการออกแบบบริการเพิ่มความสัมพันธ์ระหว่างญาติกับผู้เสียชีวิต โดยพระจะไปที่บ้านของผู้ตายเพื่อไปวิเคราะห์ Persona ของผู้วายชนม์ แล้วให้คำแนะนำกับญาติว่าควรเก็บ “อะไร” ไว้เพื่อเป็นที่ “ระลึกถึง” เค้า อะไรที่เป็น “แก่น” ของคน ๆ นี้ ... โอ้โหวววววว คิดได้อ่ะ เจ๋งสุดๆ ชอบมาก 555
🚅 Trend 8.
Health & Wellness >> MedTech / Pharmacogenomics กำลังมาค่าทุกคน
วันนี้เค้าเล่นกันไปถึงรหัสพันธุกรรมแล้ว มีการศึกษาไปถึง DNA ว่าทำอย่างไรเราที่มี DNA แบบนี้จึงจะอายุยืนยาวขึ้น ซึ่งถ้าจะทำแบบนี้ที่เรียกว่า Precision Medicine (การแพทย์แม่นยำ) ต้องลึกนะคะ ต้องตรวจจริงจัง ตรวจกระพุ้งแก้มอาจจะไม่แม่นพอค่ะ เอามาเป็น Gimmick คร่าว ๆ ได้แต่เชิงลึกไม่พอน้า
🚅 Trend 9.
Food >> Planted-based + Culture อย่าลืมว่าเรื่องการกินเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ต้องดู culture และดูประชากรศาสตร์ด้วยค่ะ
เช่น Karana บริษัท Singapore ทำหมูเทียมจากขนุนอ่อนในศรีลังกา ... รักษ์โลกงับ คือปกติขนุนมันจะเป็น waste ประมาณ 70% เอามาทำหฒุเทียมซะ ... ทำไมทำหมูวะ ศรีลังกาเป็นประเทศมุสลิม...ป๊ะ คนทำเป็นสิงคโปรงัยแก๊ แรงงานส่วนใหญ่ที่สิงคโปรมาจากพม่า + เอเชียใต้ ... นั่นคือตลาดที่แท้ทรูฮะ
หรือ อ่ะ ... มะม่วงกำลังTrending คนทั่วโลกให้ความสนใจ ผู้ก่อนตั้ง Yenly Yours! ซึ่งส่งออกผลไม้อยู่แล้ว ก็ต้องการใช้มะม่วงส่วนเกินให้เป็นประโยชน์เช่นกัน ... โอเค หาโอกาสเจอละ ก็ออกแบบหน้าตาให้น่ารัก “แตกต่าง” กันไปค่ะ มี Brand ชัดเจน แค่นี้ก็ขายได้เนอะ แต่มันจะจบแค่ level 2 ไงทุกคน
Yenly Yours! ไม่จบแค่นั้นค่ะ brand นี้มีปนิธานตั้งต้นตั้งแต่แรกว่าจะพามะม่วงไทยไปบุกโลกจึงไม่ได้จบแค่ Differentiated ... Yenly Yours! สร้างประสบการณ์ + เรื่องเล่าด้วยค่ะ
จะเป็นยังงัยนั้นนนนน ... โปรดติดตามตอนต่อไป อิอิ
เนื่องด้วยเขียนไปเขียนมาร็สึกว่ามันยาวม๊ากกกก เกินกว่าที่จะจบใน 1 ตอนค่ะทุกคน ขออนุญาติแบ่งออกเป็น 2 part นะคะ ฉบับนี้ Part นี้ขอจบไว้แค่นี้ก่อน (คือตอนนี้ 13 หน้า A4 ละทุกคน ใครอ่านมาถึงตรงนี้ เราขอปรบมือให้ ฮรี่...)
Part นี้เอาแค่เรารู้สมการว่า
Differy = [Marketing Mixes x Competitive Strategies] by Trend x Experience x Story
และได้เรียนรู้ไปด้วยกันถึง 2 level แรกของการสร้างความแตกต่าง ซึ่งก็คือ Our Physical Appearance และ World Trend (Are we in?) ก่อนนะคะ
อ่านแล้วลองเอาไปจับกับธุรกิจของเราดูค่ะทุกคน เบ็นเชื่อว่าเพื่อน ๆ จะเห็นอะไรที่เราไม่เคยเห็นซ่อนอยู่ ให้เรานำออกมาทำเพิ่มเพื่อยกระดับ Brand ของเราได้มากมายเลย Part 2 จะตามมาเร็ว ๆ นี้ค่ะ ... เป็น part ที่จะลงลึกเรื่องการออกแบบ Service Design และการถักทอ Story ของเราให้ไปห่อหุ้มขยุ้มใจลูกค้ามหาชนคนมีระดับค่ะ
ขอบคุณคุณแป้งที่ชวนให้เบ็นได้ไปอยู่ใน “ประสบการณ์ที่น่าจดจำ” ร่วมกับเพื่อน ๆ ที่น่ารักอีกหลายคนนะคะ ช่วงเวลากับคุณแป้งละมุนละไมน่าประทับใจเสมอเลยค่ะ 💖💖
Cr.ภาพคุณแป้ง กนกวรรณจากเพจคุณแป้ง ขอบคุณมาก ๆ นะคะ
#เบ็นบันทึก
#Benji_is_Learning
#Benji_is_Drawing
#bp_ben #inspiration
#ServiceDesign #PangKannikar
#BeyondService
โฆษณา