4 ธ.ค. 2022 เวลา 22:24 • ปรัชญา
“ความเก่งที่อยู่เหนือความเก่งคือ ความเก่งในการดูแลอารมณ์ของตนเอง”
เรื่องของความอดทนนี่แหละ ที่ทำให้สุมาอี้ เป็นผู้ชนะแห่งสามก๊ก
ผมเคยคิดนะครับว่า โจโฉ เล่าปี่ ซุนกวน ต่อสู้กันแทบตาย สุดท้ายตระกูล”สุมา”ได้แผ่นดินไปครอง เพราะอะไร?
สุมาอี้ อดทนในสิ่งที่คนอื่นทนไม่ได้ ทำในสิ่งที่คนอื่นทำไม่ได้ เขาจึงสมควรได้ในสิ่งที่เขาเฝ้าอดทนครับ
มนุษย์เต็มไปด้วยอารณ์และอัตตา และพร้อมที่จะขับเคลื่อนด้วยสมอง Limbic ทุกเมื่อมีอารมณ์ รัก,โลภ,โกรธ,หลง เข้ามากระทบ
หากว่า วางอารมณ์และอัตตา(ไม่ให้อยู่ในสภาวะอะมิกดาล่าถูกกดสวิตซ์) ลงได้ หันไปใช้สมองชั้น Neo-Cortext ละ
ย่อมไตร่ตรองได้ดีกว่าแน่นอน
…..
ศึกระหว่าง ขงเบ้ง-สุมาอี้ ครั้งที่ 6
เมื่อโจโฉตาย เล่าปี่ตาย
แผ่นดินจีนตอนนั้น แบ่งแยกออกเป็น 3แคว้น รึว่า สามก๊ก
คือ วุยก๊ก ของ โจผี ต่อมาคือ โจยอย (หลานปู่โจโฉ)
จ๊กก๊ก ของ เล่าเสี้ยน(ลูกเล่าปี่)
ง่อก๊ก ของซุนกวน
1
ไฮไลท์อยู่ที่ ศึก สุมาอี้-ขงเบ้ง ผู้หยั่งรู้ดินฟ้ามหาสมุทร
สุมาอี้ ถ้ารบตรงๆกับขงเบ้ง ส่วนใหญ่จะแพ้
แต่สุมาอี้เป็นคนที่เชี่ยวชาญพิชัยสงครามพอตัว เขาเป็นคนมองคนออก บอกคนได้ ใช้คนเป็น
ข้อแตกต่างที่ทำให้ศึกนี้ ขงเบ้งเอาสุมาอี้ไม่ลงคือ
สุมาอี้เป็นคนที่ ทำให้คนที่เก่งและไม่เก่ง ทำงานร่วมมกันและไปพร้อมๆกันได้ ต่างจากขงเบ้ง ทำแทบทุกอย่างด้วยตนเอง ก็คงจะเก่งอะ
…..
Step สุมาอี้ รู้ว่า สู้ไปก็แพ้ เลยมีคำพูดที่ว่า
1.สู้ได้ ก็สู้
2.สู้ไม่ได้ก็ตั้งรับ
3.ตั้งรับไม่ได้ก็ถอย
4.ถอยไม่ได้ก็อ่อนน้อม
5.อ่อนน้อมไม่ได้ก็หนี สิครับ
เห็นมั้ย คำพูดง่ายๆ ทำให้ลุกน้องทำศึกปุ๊บ จะรู้เลยว่าทำยังไง
ต่อมา เหมาเจ๋อตุง นำไปปรับใช้สู้กับเจียงไคเช็ค กล่าวคือ
“เอ็งมาข้าหมุด เอ็งหยุดข้าแหย่ เอ็งแพ้ข้าตี เอ็งหนีข้าตาม”
ขอกลับมาที่สุมาอี้
1
สุมาอี้เลือกใช้ข้อที่ 2.สู้ไม่ได้ก็ตั้งรับ
การยกพลขึ้นเหนือของขงเบ้ง ครั้งที่ 6 ทั้ง2ฝ่าย มาตั้งค่าย ณ พื้นที่ อู่จั้งหยวน สุมาอี้ชูป้ายไม่รบตามธรรมเนียม ขงเบ้งยั่วยุสารพัด สุมาอี้ ก็ไม่สนใจ
1
พิชัยยุทธ์ซุนวูว่าไว้
“ข้าศึกมีโทสะ ให้ยั่วยุ”
สุดท้ายขงเบ้งจึงใช้แผน “มีโทสะ ให้ยั่วยุ”
โดยส่งชุดแต่งกาย กระโปรง ซับในผู้หญิง ให้สุมาอี้พร้อมกับจดหมายท้ารบ
ถ้าเป็นสมัยนี้ก็คงแบบ เรื่องแค่นี้ถ้าทำไม่ได้ ก็เอากระโปรงผู้หญิงมาใส่ไปเลยไป
แหม่ เจอแบบนี้ มีขึ้นๆ ลูกผู้ชายฆ่าได้ หยามไม่ได้
แต่สุมาอี้ หัวเราะ ฮ่าๆๆๆ ขงเบ้งเห็นข้าเป็นผู้หญิงไปแล้วรึนี่
-การหัวเราะ ทำให้ ฮอร์โมนเอนดอร์ฟินหลั่ง ซึ่งเป็นสารแห่งความสุข
-ขณะที่ สารแห่งความสุขหลั่ง คอติซอล สารแห่งความเครียดจะหลั่งไม่ได้
ไม่เชื่อลอง ยิ้มแล้วคิดเรื่องเครียดสิครับ
แหม่ มันหน้าด้านจริงๆ แต่ผมชอบนะ คำว่า “ด้านได้ อายอด”
1
ใครจะว่าไง ไม่แคร์ ยิ้มๆ
ปล่อยวาง ช่างมัน
สุมาอี้ เจอหยาม แต่ไม่โกรธแต่กลับหัวเราะและ นำชุดสตรีนั้นมาใส่เสมือนว่ามิมีอะไรเกิดขึ้น ถามไถ่ทูตจากขงเบ้งว่า “ขงเบ้งเป็นไงบ้าง”
ทูต ตอบด้วยความภูมิใจว่า “ท่านขงเบ้งทำเพื่อชาติบ้านเมือง กินไม่ค่อยเป็นเวลา นอนดึกตื่นเช้า เอาใจใส่ความเป็นอยู่ของทหารเป็นอย่างดี”
จังหวะนี้แหละ ผมถึงกับตบโต๊ะ สุมาอี้โดนยั๊วขนาดนี้
ยังอดทนได้
ยังหน้าด้านได้
สุมาอี้จะมิใช่ผู้ชนะในสามก๊กได้เช่นไร
สุมาอี้รู้ทันละ ขงเบ้งมีอายุอยู่ได้อีกไม่นานแน่ๆ จึงยิ่งถ่วงเวลา เพราะรู้ทันขงเบ้งว่า ยกทัพมาไกล เสบียงต้องหมด เดี้ยวก็ถอนทัพกลับไปเอง
(ถ้าเปรียบเทียบยุคนี้คือ ผู้รับเหมาก่อสร้าง แต่ไม่มีเงินจ่ายค่าแรงลูกน้อง แรกๆก็พอทน
แต่ลูกน้องมันต้องกินต้องอยู่ อยู่ไปก็อดตาย ก็หนีสิครับ)
สุดท้าย ขงเบ้ง ทำงานหนัก พักผ่อนไม่เป็นเวลา ทั้งเหนื่อย ทั้งตรอมใจ ล้มป่วยลงและเสียชีวิตในกองทัพ
…..
ตัวอย่างของคำว่า “อดทน” ในประวัติศาสตร์ไทย ข้อแตกต่างระหว่างคนที่อดทนได้ และคนที่อดทนไม่ได้ก็มีครับ
ศึกยุทธหัตถีระหว่าง พระนเรศวรมหาราช-พระมหาอุปราชา (พม่า)
เมื่อครั้งเสียกรุงครั้งที่1 แก่พม่า
องค์ดำ คือ พระนเรศวรมหารราช
สมัยพระเจ้าบุเรงนอง เป็นกษัตรย์พม่า องค์ดำ สมัยยังเด็ก ไปเป็นตัวประกันที่ หงสาวดี
ถูกกดขี่ ข่มเหง สารพัด เพราะไปในฐานะเชลย
ท่านอดทนอย่างมีเป้าหมาย ถามว่า ถ้างัดข้อกับ บุเรงนองอะไรจะเกิดขึ้น
บุเรงนอง คือ ผู้ชนะสิบทิศนะครับ องค์ดำเจ๊งแน่นนอน
สิ่งที่องค์ดำทำได้ตอนนั้นคือ อดทน ควบคุมอารมณ์ ใครจะด่ายังก็ก็ช่าง อดทนๆๆๆๆๆๆๆ
พิชัยยุทธซุนวูว่าไว้ “เลี่ยงแข็ง ตีอ่อน”
ถามว่า บุเรงนองตอนนั้น แข็งมั้ย
แข็งมากๆ มีสนม มีลูกๆหลายคนด้วย555 ไม่ใช่ๆๆ
พม่า ภายใต้การปกครองของบุเรงนอง เข้มแข็งมากๆครับ กองทัพยิ่งใหญ่เกรียงไกรสุดๆ
องค์ดำ ท่านจึงเร่งฝึกปรือวิทยายุทธ ทั้งยังได้รับการสอนจากพระมหาเถระคันฉ่องอีกด้วย
เมื่อบุเรงนองสิ้นชีพ นันทบุเรงสืบต่ออำนาจ
เมื่อพระนเรศวรประกาศอิสรภาพไม่ขึ้นกับพม่าอีกต่อไป
พม่ายกทัพใหญ่มา หมายจะถล่มอยุธยาให้ราบเป็นหน้ากลอง
ช้างทรงของพระนเรศวร รึว่า ก้านกล้วย/ต่อมาชื่อ เจ้าพระยาปราบหงสา ได้ตกมัน วิ่งไปเข้าอยู่ในวงล้อมของทหารพม่านับแสน ขณะที่ผ่านไทยมีแค่ พระนเรศวร พระเอกาทศรถ และจตุงคบาก ทหารติดตามแค่ไม่กี่นาย
ถามว่า จะถอยทันมั้ย
ถามว่า ถ้าเป็นคนทั่วไป ถ้าไม่ได้รับการฝึกสติ จะตั้งตัวยังไง มีเหวอแน่นอน
พระมหาอุปราชาของพม่า ทรงขี่ช้าง หลบอยู่ใต้ต้นไม้หลบแดด
ทางรอดมีเพียงวิธีเดียว
กลยุทธ์ “จับโจร ต้องจับหัวหน้า”
พระนเรศวรท่านทรงรวบรวมสติได้ กล่าวว่า
“ท่านพี่จะหลบอยู่ใต้ต้นไม้อยู่ทำไม ทำไมไม่ออกมาสู้กัน อย่าขี้ขลาด ออกมาชนช้างยุทธหัตถีกัน ภายภาคหน้าเหตุการณ์แบบนี้ไม่มีอีกแล้ว”
รึเรียกง่ายๆว่า ท้ายทาย กล่าวยั่วยุ ทำให้อีกฝ่ายโกรธ
พระมหาอุปราชา เจอมุขนี้เข้าไป "อะมิกดาล่าถูกกดสวิตซ์ สมองชั้นLimbic ทำงานทันที”
พิชัยยุทธซุนวูกล่าวไว้ .”ข้าศึกมีโทสะ ให้ยั่วยุ”
เดล คาร์เนกี้ กล่าวไว้ว่า “จงพูดเรื่องที่อีกฝ่ายนึงสนใจ”
ตั้งแต่เด็ก พระมหาอุปราชา เป็น ลูกไล่พระนเรศวร ทุกอย่าง ทั้งเรื่องศิลปะการต่อสู้
บุเรงนองก็โปรดองค์ดำมากกว่า ขนาดแค่ตีไก่ก็ยังแพ้องค์ดำเลย
ไม่ต้องสงสัย พระมหาอุปราชา ต้องอิจฉาริษยา คิดแค้น และหาทางกำจัดพระนเรศวรมาตลอด
ณ จุดดนี้ พระนเรศวร พูดในสิ่ง ที่ พระมหาอุปราชาสนใจ เข้าเต็มเป้า.
ประเด็นตรงนี้ต้องพิจารณา มองต่างมุมมอง
1 มนุษย์เต็มไปด้วยอารณ์และอัตตา
2.หากว่า พระมหาอุปราชา วางอารมณ์ลงและอัตตา ลงได้ หันไปใช้สมองชั้น Neo-Cortext ละ
“เรามีคนเป็นแสน มันมีไม่ถึงร้อย”
“แล้วไง ใครแคร์” มือซ้าย-มือขวา จงฟัง เอ็งเอาปืนไปยิงมัน
ถามว่าประวัติศาสตร์เปลี่ยนมั้ย เปลี่ยนแน่นอน
2
ด้วยอารมณ์และอัตตา พระมหาอุปราชาของพม่า ทรงกระทำยุทธหัตถี กับพระนเรศวร
ผลคือ พระนเรศวรชนะ
…..
บทสรุป
“ความเก่งที่อยู่เหนือความเก่งคือ ความเก่งในการดูแลอารมณ์ของตนเอง”
ตัวอย่างที่ชัดเจนของผู้ที่อดทนได้และอดทนไม่ได้ ผลย่อมแตกต่างกัน
หากแต่คือการ อดทนอย่างมีเป้าหมาย อดทนอย่างมีความสุข มิใช่อดทนแบบไร้เป้าหมาย
2
#พลิกชีวิตลิขิตฟ้าแบบสามก๊ก
โฆษณา