18 ธ.ค. 2022 เวลา 03:30 • นิยาย เรื่องสั้น
ความรักของเอกา (2)
“เราน่าจะไปต่อกันได้แล้วล่ะมั้ง”
เอกาเดา
เจ้าหางก้อนพิสูจน์ด้วยการกระโดดขึ้นอากาศ ก่อนไปปรากฏตัวอีกที ฟากฝั่งตรงข้ามประตูแล้ว
เอกาวิ่งเข้าใส่ม่านสนามพลัง ความรู้สึกเหมือนฝ่าทะลุผ่านม่านน้ำตกอันเย็นเฉียบก็ไม่ปาน
แมลงปอเริ่มเคลื่อนตัวไปข้างหน้า เอการู้ว่าต้องตามหลังมันทันที
เด็กชายใคร่ฉงนในเส้นทางไม่มักคุ้นกำลังจะมุ่งหน้าไปไหนไม่รู้ได้
เขาตีตนไปก่อนไข้เสมอ อย่างกับเป็นลางบอกเหตุ ไม่ค่อยอยากเชื่อถือนัก จึงค่อนข้างแอบหวาดหวั่นใจอยู่ลึกๆ ถึงความเลวร้ายซ่อนเร้นในปริศนาลึกลับการผจญภัยครั้งนี้
ระหว่างสองข้างทางยังคงพบบ้านเรือนประปราย หลงเหลือเพียงซากปรักหักพังทิ้งรกร้างวิเวกวังเวง ปลูกอยู่ห่างกันมากขึ้นเรื่อยๆ
กระทั่งกระท่อมหลังสุดท้ายสร้างทิ้งไว้อย่างโดดเดี่ยว เห็นเป็นเงาดำตะคุ่มอยู่ในป่าลึก
เอกาหูไม่ฟาดไปแน่
หนึ่งในสองเสียงพวกนั้น คล้ายสนทนาบางอย่างกัน คล้ายเสียงสายลมร้องหวีดหวิว เบาบางเสียไม่ต่างจากเสียงกระซิบกระซาบแผ่วปลาย แม้กระแสลมสักแอะไม่มีอยู่จริง
มันค่อยๆ ชัดเจนยิ่งขึ้น ดังแว่วรอบๆ ตัว ถึงจะยังมองไม่เห็นตัวตนของเจ้าของสองเสียงนี้ ว่ามีที่มาจากตรงไหนกันแน่
ไม่ได้ใกล้หรือไกลบริเวณนี้มากนัก อยู่ๆ เด็กหนุ่มอายุราวๆ สิบหกปี โครงร่างอันโปร่งใสสีมรกตนั้น กว้างผายผึ่งกำยำ โผล่จากความว่างเปล่า สูงร้อยเจ็ดสิบแปดเซนติเมตร ขณะยกเท้าสองข้างก้าววิ่งสั้นๆ เหยาะๆ หันหลังให้กับทางข้างหน้า หันหน้าจับจ้องใครสักคนปรากฏกายออกมาทีละส่วน เด็กหนุ่มอีกคนมีส่วนสูงน้อยกว่าสิบเซนติเมตร และร่างกายขนาดเล็กกว่าถึงสองขนาดด้วยกันนั่นเอง
“ไม่กลัวสะดุดอะไรล้มหรือไง”
เอกาเฝ้ามองเหตุการณ์เบื้องหน้า ห่างออกไปสักสิบกว่าก้าวเสมอ เขาไม่รู้เลยว่าพวกเขาสองคนนั้นคือใครมาก่อน ก่อนเจ้าของเสียงเอ่ยพูดเปล่งจากปากขยับเปิดของคนตัวเล็กกว่าทำให้รู้สึกคุ้นเคย หรือไม่ค่อยแตกต่างเท่าไรนัก
สันนิษฐานได้ทันทีเลยว่านั่นคือมานิ ส่วนเด็กหนุ่มตัวโตคนนั้น เด็กชายคาดว่าอาจเป็นเขาตอนโตกว่าตอนนี้ เพราะพวกเขาสนิทสนมกันมาก จนเรียกได้ว่าเงาตามตัว ระยะห่างมีให้กัน แค่เวลานอนเท่านั้นเลยก็ว่าได้ บางทีมีบ้างบางครั้งบางคราวนอนค้างอ้างแรมบ้านของเขา อย่างไรก็ตาม เขาไม่มั่นใจจะเป็นเรื่องราวยังไม่เกิดขึ้นจริง หากมันเกิดขึ้นจริงมาแล้ว ทำไมถึงจำจดอะไรครานั้นไม่ได้สักอย่างเลยล่ะ
“ไม่หรอกน่า”
เด็กหนุ่มเอกายักไหล่สบายอารมณ์
“ฉันน่ะคุ้นเคยกับทุกซอกมุมของหมู่บ้าน และก็ผืนป่ารอบอาณาบริเวณที่พ่อพาไป ไม่ว่าทั้งใกล้และไกล ฉันไม่เผลอสะดุดอะไรง่ายๆ แน่นอน ฉันมั่นใจทีเดียวเลยแหละ”
“ฉันไม่เคยมาแถวนี้มาก่อนเลย”
มานิกวาดสายตามองไปรอบๆ
“ก็ฉันเพิ่งพานายมาที่ตรงนี้เป็นครั้งแรกยังไงล่ะ”
เด็กหนุ่มหันหน้าเดินปกติ
“ถึงแม้จะเป็นหมู่บ้านเดียวกัน”
อีกฝ่ายรำพึง
“ใช่ว่าจะรู้จักไปหมดทุกซอกทุกมุมของหมู่บ้านสายลมใต้แห่งนี้ น่าเสียดายมาก ว่าไหม เอกา”
“ใช่”
เขาเห็นพ้อง
“แล้วนายมาที่นี่ครั้งแรกกับใครกัน”
มานิเอ่ยถาม
“ก็พ่ออีกนั่นแหละ”
เขาตอบผ่านความรู้สึกจำเจ
“จะมีใครอื่นอีกล่ะ ที่พาฉันท่องเที่ยวเข้าไปในป่า เพื่อสั่งสมฉันเป็นพรานนักล่ามือฉมัง”
“พ่อของนายน่ะ เอกา”
มานิตั้งคำถามอีกข้อ
“เขาภาคภูมิใจในฝีมือการออกล่าของนายแล้วหรือยังล่ะ”
เขาพยักหน้า
“พ่อให้ฉันสามารถเดินเข้าป่าเองได้ โดยไม่ต้องมีท่านระวังภัยอีกแล้ว”
เอกาภูมิใจเสนอ
“ดีใจกับนายด้วยนะ เอกา”
อีกฝ่ายประทับใจแทนเจ้าตัวมากกว่าเป็นไหนๆ
“และอีกอย่างน่ะนะ ฉันก็โตพอจะดูแลตัวเองได้แล้วด้วย”
“ก็ไม่เห็นจะน่าสงสัยตรงไหนเลย”
มานิต้องเงยหน้าขึ้นมองหน้าเขา
“เห็นกันอยู่โต้งๆ ดูแลตัวเองไม่ได้สิแปลก”
“ตามจริงแล้ว”
เขาเสริม
“ฉันก็ดูแลนายได้เหมือนกันนะ มานิ”
“แต่ตามจริงแล้ว”
มานิใช้คำพูดของเขา
“ฉันอยากดูแลตัวเองให้ได้มากกว่า แต่นายไม่เคยสอนฉันเลยด้วยซ้ำ เอกา จะงกวิชาแม้แต่กับฉันอย่างนั้นจริงๆ หรือ”
“เปล่าซะหน่อย”
เด็กหนุ่มปฏิเสธ
“ถ้านายเก่งขึ้น ฉันกลัวว่านายจะไม่ต้องการฉันอีกแล้ว”
เอกาใช้มันเป็นลูกอ่อน เขาไม่ได้เชื่อเช่นนั้นจริงจังหรอก
“ไม่จริงซะหน่อย”
มานิแก้ต่าง
“ฉันยังต้องการนายไม่เปลี่ยน นายคือคนที่ฉันวางใจได้ในหลายๆ เรื่อง หลายๆ สิ่งๆ แม้กระทั่งหัวใจกะชีวิตของฉันเลยนะ นายจะไม่ทอดทิ้งฉัน ไม่ว่าจะกรณีไหนก็ตาม”
“ฉันทำให้นายรู้สึกอย่างไร”
เขาปฏิญาณตนหนักแน่น
“มันก็หมายความอย่างนั้นเสมอไป”
มานิถือโอกาสเปลี่ยนประเด็นหัวข้อ ยังคงเป็นปริศนาข้องใจไม่คลาย
“แล้วเส้นทางนี้ล่ะ”
อีกฝ่ายสงสัย
“มันจะพาพวกเราไปไหนกัน”
“ให้ปลายทางเป็นคำตอบแก่นายแล้วกันนะ”
เขาอุบไว้ก่อน
“มานิ --- แค่ตามฉันมาเท่านั้นพอ”
เอกาไม่คิดว่าตนเองเคยรู้จักสถานที่ละแวกนี้ดีเท่าเอกากายโปร่งใสเบื้องหน้า
ประโยคสุดท้ายดังมาจากเอกา ก่อนที่พวกเขาทั้งสองคนจะหายลับไปในความว่างเปล่ามืดทะมึน อย่างกับราตรีกาลอนันต์
“ใกล้จะถึงแล้ว มานิ”
เขากระโดดโลดเต้นภูมิใจนำเสนอ
“ข้างหน้านี้เอง ที่ที่ฉันอยากพานายมาตั้งนานแล้ว แต่เพิ่งมีโอกาสนี้เป็นครั้งแรก”
เด็กชายไม่มีสังหรณ์ว่าเป็นสถานที่เบื้องหน้าจริง ทุกหนแห่งถูกบีบรัดจำกัดเขตแดนด้วยเถาไม้หนามเส้นเขื่อง
กลีบดอกสีเลือดเน่าเปื่อยของบุปผาเสื่อมโทรมเคยหุบ บัดนี้พวกมันทั้งสามเบ่งบานพร้อมเพรียงกัน เผยปล่องกว้างประหนึ่งหลุมดำ ประดับบนต้นเมียนคาแห้งตาย สูงจากพื้นไม่เกินหนึ่งเมตร ในอาณาบริเวณแต่คนละทิศ ถ่มสะเก็ดสีดำและแดงจำนวนมาก กระทั่งหนาทึบจนกลายเป็นม่านหมอกควันปกคลุม
เอกากระชับหอกให้มั่น ในมือทั้งสองข้าง เตรียมตัวตั้งรับการต่อสู้สั่นคลอน
แท่งแก้วบนยอดหอกดูจะสว่างกว่าที่เคย
มือเปลือกไม้ข้างหนึ่งเกาะขอบปากปล่องไว้แน่น อสุรกายเถาไม้ตะเกียกตะกายออกมาพ้น สองเท้าเหยียบพื้นอีธารา แบกขวานคมหินด้วยสองมือ
เขาสังเกตเห็นมีเพียงตนเดียวเท่านั้น
สองเท้าของเด็กชายรุดเร่งเข้าหา ใกล้ในระยะเอื้อมมือ เขากระโดดฟาดหอกผ่าแผ่นอก มันกระเด็นออกหลังหนึ่งก้าว วาดหอกเสริมอีกสองตลบต่อเนื่อง ร่างอสุรกายตนนั้นแหลกสลาย ดอกฟันสิงโตลอยขึ้นสูง เคว้งคว้างกลางอากาศ เหมือนโค้งประตูซุ้ม เชื่อมจากจุดกึ่งกลางไปยังดอกไม้เสื่อมโทรมทางฝั่งซ้ายมือ
ไม่ทันไร อสุรกายเถาไม้อีกตนหนึ่ง โผล่ขึ้นจากปล่องดอกไม้ขวามือสมทบเพิ่มเติม
เอกาเริ่มมั่นใจตนเองมากยิ่งขึ้น จนลืมอาการหวั่นเกรงในใจเสียสนิท
เขาถึงตัวมันก่อน และเหวี่ยงยอดคมแท่งหินใสสีขาววูบวาบยามปะทะร่างกายเปลือกไม้ของมัน ดอกฟันสิงโตนับสิบหมุนวนขึ้นข้างบน จัดแถววงโค้งจากตรงกลางถึงดอกไม้เสื่อมโทรมฝั่งขวา
ไม่จบลงเท่านี้ ร่างของอสุรกายเถาไม้ตนที่สามยืนจังก้าอยู่เหนือปากปล่องของบุบฝาเน่าเปื่อย ถัดจากดอกฝั่งซ้ายมือสามต้นเมียนคา
การกำจัดพืชศัตรูเวียนวนด้วยกันสามรอบ รอบแรกมันปรากฏมาทีละตัว
รอบที่สองเพิ่มจำนวนมาทีละสามตัว ทีละปากปล่องมักเริ่มซ้ายไปขวา และกลับมาซ้ายอีกที หนึ่งในสามตัวจะมีตัวหนึ่งซึ่งสูงกว่าสิบเซนติเมตร เอกาต้องใช้กว่าห้ากระบวนท่า ถึงกำจัดพวกมันลงได้ และพุ่งเป้าหมายที่มันตัวแรก ไม่งั้นมันจะติดเพลิงให้กับคมหินของขวาน เพ่งเล็งทำร้ายตนกลับ
รอบตะลุมบอนท้ายสุด อสุรกายเถาไม้ ปิศาจสีครามร่างสูงเก้งก้าง ต่างทยอยปีนป่ายออกจากปล่องของดอกซ้าย ขวา และซ้ายหลายสิบกว่าตน
ดอกฟันสิงโตเรืองรองอยู่เหนือศีรษะของพวกเขา อย่างกับสายธารดารามาบรรจบกันที่เดียวกัน
อสุรกายร่างหินสูงสองเมตร กระโดดออกจากปากปล่องดอกที่สามเป็นตัวปิดฉาก
เอกากระโดดหลบกำปั้นทุบลงพื้นบริเวณตน โดยไม่ทันได้ระมัดระวังตัว ตอนที่จัดการอสุรกายเถาไม้ที่เหลืออยู่ตนเดียวได้สำเร็จพอดิบพอดี
พื้นดินแข็งกระด้างตรงนั้นแตกร้าวรอยใยแมงมุม
เจ้าหางก้อนคอยช่วยเหลือการสู้รบปรบมือเด็กชายไม่ห่างกาย พุ่งกระโจนเข้าใส่อสูรหินยักษ์ หักเหความสนใจชั่วขณะหนึ่ง ทำให้มันยุ่งเหยิงกับการกำจัดความน่ารำคาญให้พ้นทาง
เอกาได้โอกาสนี้ จึงไม่รีรอกระทั่งหมดเวลาลงในที่สุด เขาหวดหอกสุดวงแขน ดอกฟันสิงโตผุดและหลุดออกจากร่างกายเป็นหินของมัน ลอยขึ้นไปรวมอยู่ในแถวทั้งสาม
ทุกๆ หนึ่งการเข้าใกล้เพื่อโจมตีด้วยหอก ถลาหลบออกข้างและหลัง พ้นองศาทั้งวิถีของหมัดง้างและกวาด ขว้างหอกระยะไกล เข้าไม่ถึงตัวมันโดยง่าย หอกสลายแล้วกลับมาอยู่ในมืออีกครั้ง รอยแยกสีขาวส่องแสงปรากฏตามร่างกายบางส่วนของมัน เอกาพลาดท่า ในจังหวะรุดเข้าหาระยะประชิด ขาดการคำนวณรอบคอบการโต้กลับจากอสุรกายหิน ก่อนจะฟาดหอกครั้งที่เจ็ด กำปั้นแข็งแกร่งหนักหน่วงถูกสีข้าง ร่างเด็กชายกระเด็นห่างห้าก้าว
เอกาพยายามสุดความสามารถ ยันตัวเองลุกขึ้นว่องไวที่สุดเท่าที่จะทำไหว ฝ่าฟันอาการรวดร้าวแล่นแปลบปลาบอยู่นี้ รังแต่ยิ่งเป็นปัญหาทับถมเขา ทำให้ขาดความคล่องแคล่วกระฉับกระเฉง เสียงครางต่ำรอดไรฟันขบแน่น ขณะเคลื่อนไหวค่อยๆ ถนอม ยังทำเอาสั่นสะท้านทั่วทั้งร่าง หอกช่วยค้ำยันต่างไม้เท้าดีทีเดียวเชียว
เหยียดตัวตรงแน่วนั้นแทบทรุดฮวบ เขาไม่มีเวลาอิดออดตัวงอแม้แต่วินาทีเดียว
เอกาต้องยืนหยัดต่อไป มือข้างหนึ่งกุมสีข้างข้างถูกทำร้ายหมาดๆ ถึงจะฝืนเต็มกำลังแล้วก็ตาม เขาปรารถนาเหลือเกิน ประสงค์ให้ได้รับการเยียวยาบาดแผลเสียก่อน
กำปั้นทั้งสองข้างของศิลาปิศาจสูงใหญ่ทุบพสุธา แรงสั่นสะเทือนใต้ฝ่าเท้า รอยแยกอสนีบาตบนหน้าดินลากยาวมาถึงจุดที่เขายืนอยู่ชั่วพริบตาเดียว
แรงดันอากาศมหาศาลมองไม่เห็นข้างใต้อีธารา กระแทกเอกาตัวลอยเหนือพื้นหนึ่งเมตรอย่างต่ำ
ร่วงตกลงมาหลังเดาะดังอัก
มันแพ่นเข้าจู่โจมเด็กชายทันควัน เสียไม่ให้โอกาสเอกาที่บาดเจ็บเพิ่มเติม ได้ขยับร่างกายที่ขัดขืนความดั่งใจ จนรู้สึกงุ่นง่านคับในอก กว่าตั้งตัวทันท่วงที ก็ไร้ประโยชน์เปล่าๆ ไหวพริบพลันตื่นตัวโดยสัญชาตญาณฉุกคิดดิ้นรนเอาชีวิตรอด ช่วงเวลาอันเฉียดเป็นเฉียดตาย กำลังวัดจากเศษเสี่ยววินาทีนี้ วีธีเหลือเพียงหนึ่งเดียว เขาต้องกลิ้งตัวหลุนๆ สองตลบหลีกหนีหวุดหวิด อสุรกายหินพุ่งปราดเลยไปสามก้าวของมัน
เจ้าหางก้อนคลายน้ำลายบริสุทธิ์ออกจากปากเป็นก้อนกลม
เอกานำสองมือประคองลูกแก้วน้ำเฟนเนก เขาจ่อปากดูดกลืนลงคอสามอึกหมดเกลี้ยงมือ คล้ายดื่มน้ำฝนเย็นสดชื่น บาดแผลสาหัสภายในหายจากอาการเจ็บปวดแสนทรมานปลิดทิ้ง ใช้ระยะเวลารักษาตัวมันเองไม่กี่วินาทีอย่างน่าอัศจรรย์ใจ ร่างกายของเขาพรั่งพร้อมกลับมาต่อกรกับอสุรกายหินเต็มที่
เด็กชายส่งหอกปักกลางหน้าท้อง มันร้องคำรามกึงก้องเกรี้ยวกราด หอกหวนคืนมือ ประจวบเหมาะที่ศิลาปิศาจกระโดดขึ้นไปบนอากาศสูงหลายเมตร พร้อมกับง้างสองมือผสานหว่างนิ้วเหนียวแน่น
เอกาแหงนหน้าด้วยอารามตื่นตระหนกสุดขีด ร่างกายทุกส่วนต่างพร้อมใจกันทรยศเจ้าตัว แน่นิ่งไม่ไหวติงราวกับต้องสาปกลายเป็นหินชั่วกัปชั่วกัลป์
เงามือหินขนาดมหึมาทาบทับใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ขณะกำลังร่วงตกลงมาใส่เขาอย่างกับอุกกาบาต
เหมือนมีไฟฟ้าแล่นเปลี๊ยะ กระตุกแขนกระชาก หอกตวัดใส่หน้าอสุรกายหินผงะ กำแพงคลื่นน้ำใสสะอาดขวางกั้น เห็นสิ่งมีชีวิตป่าเถื่อนขนาดใหญ่เป็นภาพพร่ามัวเบื้องหลัง เอกาตีลังกากลับหลัง แล้วคลื่นน้ำซัดสาดมัน ประหนึ่งคลื่นคลั่งกลางมหาสมุทรใต้สภาพอากาศอันปั่นป่วน
มันถลาล้มลงในท่าชันเข่าข้างหนึ่ง คอพับตก เขาวาดหอกสุดวงแขนถูกข้างลำตัวเป็นการทิ้งทวน ก่อนที่รอยร้าวค่อยๆ ลุกลามทั่วทุกอณูตามร่างกายของมัน แสงสีขาวจากรอยแยกมากมายสว่างเจิดจ้า ท้ายที่สุดแล้ว ร่างของศิลาปิศาจระเบิดแตกตัว ดอกฟันสิงโตกระจัดกระจายลอยขึ้นไปเติมแต่งแต่ละแถวทั้งสาม เขาชอบยามดวงดาราบริสุทธิ์อยู่ต่ำกว่าที่เคย แม้ไม่ใช่อย่างเปรียบเปรยผ่านความรู้สึก พวกมันทั้งเด่นชัน เปล่งประกาย และสวยงามหยดย้อยนิรันดร์
เจ้าหางก้อนเอาหน้ามาถูไถกับขาขวาเอกา เขาก้มมองมัน ดวงตาสี่ดวงสะท้อนเงาดำของกันและกันสักพัก เขาคลี่ยิ้ม สำนึกขอบคุณสุดซึ้ง หากไม่ได้มันช่วยเหลือแบบนี้ไปตลอด เขาคงไม่รอดจนถึงฟากฝั่งเป็นแน่
เอกาเงยหน้าขึ้นมองสายธารดอกฟันสิงโตไหลลงในปล่องบุปผาสีเลือดสามดอด กระทั่งข้างบนว่างเปล่า ตกอยู่ในความมืดสลัวอีกครั้ง กลีบดอกของทั้งสามม้วนหุบเข้า จากนั้นเถาเลื้อยหนามสลายหายสูญ พฤกษานานาพรรณคืนชีพชีวา สีฟ้าสดใสทวงแผ่นนภา ลำแสงสีเหลืองจากดวงตะวันได้อภิสิทธิ์แหวกผ่านแมกไม้ลงมาให้สีสันอื่นๆ แก่โลกข้างล่าง การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ช่างน่ายินดีจนประเมินค่าเสียไม่ได้
“ยังคงไม่ใช่จุดหมายปลายทางของเส้นทางนี้”
เอกาทอดมองถนนตัดตรง มันจะไปสิ้นสุดที่ตรงไหนไม่รู้เลย หากกาลครั้งหนึ่งเขาเคยไปเยือนสถานที่แห่งนั้นมาแล้ว เขาไม่หลงเหลือความทรงจำเกี่ยวกับมันแม้แต่อย่างเดียวได้อย่างไรกันนะ
เขาอยากให้มันเป็นความทรงจำที่ดีที่เกิดกับที่นั้น
เชื่อว่าอย่างนั้นน่ะนะ
“สินะ”
เด็กชายก้มมองเจ้าหางก้อน มันพยักหน้าตอบถึงไม่ใช่คำถามต้องการคำตอบจริงๆ
ก็ดีที่ได้รับการยืนยัน ว่าการผจญภัยยังไม่จบลงเพียงเท่านี้ หรือเมื่อถึงปลายทางเรียกว่าอัสดงของเอกา เอกายังคงมีการเดินทางให้ไปต่ออีกมาก ที่จุดจบจะเป็นอย่างไรนั้น คำตอบของการผจญภัยทั้งหมดนี้ รอคอยให้เขามุ่งหน้ากระทั่งถึงที่นั่นอยู่ดี
ถ้าเจ้าหางก้อนพูดกับเอกาได้อีกสักครั้ง เขาหวังลึกๆ มาเสมอ มันอาจอธิบายอะไรได้ดีกว่าตอนนี้ สิ่งที่แม่หมออาฟฟาไม่ยอมปริปากเปรยสิ่งนั้นแม้แต่กับเขาได้เข้าใจด้วย มันจึงรู้แค่กับแม่หมอสองคน
นึกแล้วแอบขุ่นมัว
อีกประการหนึ่ง แม่หมออาฟฟาคงมีเหตุผลอันสมเหตุสมผลของนาง การบอกทุกสิ่งอย่างกับเอกาในช่วงเวลาสับสนกับการเปลี่ยนแปลงไปอย่างเลวร้ายนี้ เกินกว่าเด็กชายมึนงงสภาพแวดล้อมผิดแผกไม่สร่าง จะสรุปมันถ่องแท้ได้ทันทีทันควัน
ตลอดการผจญภัยจะใกล้ไกล จะสั้นยาวนานก็ตาม มันคือเครื่องถ่ายทอดบางอย่างที่ขาดหายไปจากเอกาสำหรับเวลานี้
เอกาค่อยนั่งขัดสมาธิกับพื้นดิน
เจ้าหางก้อนวางสองเท้าหน้าบนหน้าตักของเขา เด็กชายลูบหัวไล่ลงตามสันหลังของมัน
เขาโน้มใบหน้าเข้าประชิด ยอดจมูกเอกาแนบจมูกชมพูอ่อนของเจ้าหางก้อนสักพัก
เอกาสัมผัสได้ถึงไออุ่นแห่งความรักไหลเวียนเข้ามาในร่างกาย ห่อหุ่มหัวใจด้วยการเฝ้าคอยทั้งปีติระคนกัน หากได้กลับมาพบหน้าค่าตาและมีเวลาร่วมกันอีกครั้งหนึ่ง
“ไม่รู้ทำไม”
เอกาคล้ายรำพึงกับตัวเองลำพัง มากกว่าพูดกับเจ้าหางก้อนอยู่ด้วย
“ฉันถึงได้รู้สึกรักใคร่และเป็นห่วงเป็นใยแกมากเหลือเกินนะ เจ้าหางก้อน”
เจ้าหางก้อนเหยียดกายนอนราบ หัวของมันอิงแอบแนบตักอยู่ ฝ่ามือเล็กไม่หยุดลูบไล้เรือนขนขาวอ่อนนุ่ม สัมผัสเพลิดเพลินยังคงเย็นสดชื่น ลื่นไหลไม่ต่างจากแม่น้ำฤดูใบไม้ผลิ
“ไม่รู้ต้องไปอีกไกลแค่ไหนกันนะ”
เจ้าหางก้อนลุกขึ้น
เอกามือยันพื้น ลุกขึ้นยืนตามทีหลัง
“ไม่ว่าข้างหน้าจะมีอะไรรอคอยพวกเราสองคนอยู่ เราจะไปโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง”
เขามองลงข้างล่าง ซึ่งมันอยู่ข้างขาขวาตนแบบนี้ประจำ
“เราไปกันต่อเถอะ เจ้าหางก้อน”

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา