9 ธ.ค. 2022 เวลา 05:59 • ไลฟ์สไตล์
“ผลจากการใช้ชีวิต”
“ … จิตมีราคะก็รู้ราคะ จิตปราศจากราคะก็รู้
ราคะก็คือความกำหนัด อย่างบางทีเรายังไม่ได้มีสติเราอาจจะไม่ได้รู้สึก มีแต่ความต้องการ แล้วเราก็สนองความต้องการ อยากได้ใคร่ดีต่าง ๆ
ก็เรียกว่าปล่อยใจไหลไปตามกิเลส ตามอารมณ์ ตามความรู้สึกต่างๆ อยากดูหนัง อยากฟังเพลง อยากเที่ยว มันก็ไหลไปกับสิ่งต่าง ๆ
แต่พอมีสติรู้เท่าทัน มันเริ่มเห็น … อ้อ จากจิตที่เป็นปกติ มันเริ่มเกิดการบีบเค้นในจิตใจ กามราคะขึ้นมาก่อน เกิดความกำหนัดขึ้นมาก่อน ในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในสัมผัสต่าง ๆ เกิดความบีบคั้นขึ้นมาก่อน
มันจะเริ่มเสียดแทงขึ้นมา จากใจที่ปกติ มันก็เริ่มเกิดความเสียดแทงขึ้นมา
ความกำหนัดนี่มันเสียดแทง ทำให้เกิด … เราทนอยู่ไม่ได้ พอมันทุกข์ มันบีบคั้น มันก็ต้องหาทางระบายออกไป
ไปสนองความต้องการตัวเองบ้าง
ไปเที่ยว ไปกิน ไปเพลิดเพลินอยู่กับสิ่งต่าง ๆ
แต่พอเรามีสติรู้เท่าทัน เราจะเห็นกระบวนการตรงนี้ การทำงานของจิตใจ ในระดับเบื้องต้น จิตมีราคะก็รู้สึกได้ รับรู้ได้ จิตปราศจากราคะก็รู้
บางครั้งมันไม่มีความกำหนัดมันสบายกว่า มันไม่เสียดแทง มันกลายเป็นความปกติไป
จิตมีโทสะก็รู้ บางทีอะไรมันไม่ได้ดั่งใจ มันจะเกิดปฏิฆะ ความหงุดหงิด ความไม่พอใจ ความขัดเคืองใจ
ถ้ามันมีกำลังมากขึ้นมันก็ออกมาเป็นความโกรธ เป็นโทสะ ถ้ามากขึ้นไปมันก็เกิดพยาบาท ความมุ่งร้าย ความอาฆาตต่าง ๆ
ตอนที่เราไม่ได้ฝึกสติ เรากว่าจะรู้ตัวคือมันพุ่งพล่านละ โมโหแล้ว หงุดหงิดแล้ว ต้องลงไม้ลงมือแล้ว อันนี้คือกิเลส ภูเขาไฟที่มันปะทุออกมาแล้ว คือมันระเบิดออกมาแล้ว ทุกอย่างมันพังพลาดออกมาแล้ว มันพุ่งพล่านออกมา
การที่คนสมัยนี้รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนอารมณ์ร้อน โกรธง่าย หงุดหงิดง่าย โมโหร้าย อันนี้คือผลที่พุ่งออกมาแล้ว เหมือนภูเขาไฟที่มันปะทุออกมาแล้ว คือกิเลสมันมีกำลังมากแล้วนั่นเอง
มันก็มาจากผลที่เราบริโภคอาหารกิเลสอยู่เนือง ๆ สนองความต้องการของตัวเอง อาหารของกิเลสก็คือตัณหา ความอยากได้ใคร่ดีทั้งหลายทั้งปวง ความเพลิดเพลินในสิ่งต่าง ๆ มันก็จะพอกพูน สิ่งที่เป็นอนุสัย คือเกิดของเสียที่หมักหมมอยู่ภายในจิตใจของเรา
เหมือนร่างกาย เราบริโภคไป อาหารไป มันก็เกิดการหมักหมมในร่างกาย ร่างกายมันก็ต้องระบายออกใช่ไหม ขับปัสสาวะบ้าง อุจจาระบ้าง
ของเสียที่ถูกหมักมา ถ้ามันไม่ระบายออก มันหมักหมมในร่างกายจะเป็นยังไง ร่างกายก็พัง อยู่ไม่ได้ มันต้องขับของเสียออกมาในร่างกายตลอดเวลา เป็นเหงื่อไคล เป็นสิ่งต่าง ๆ ที่เราต้องคอยอาบน้ำชำระกาย
การบริโภค การเสพสิ่งต่าง ๆ ด้วยอำนาจของตัณหา ความทะยานอยาก ด้วยอำนาจของความเพลินในอารมณ์ ความติดใจในสิ่งต่าง ๆ ในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในสัมผัสต่าง ๆ มันคืออาหารของกิเลส
มันก็จะเกิดการหมักหมมเป็นของเสียขึ้นมา ที่เรียกว่า อนุสัย การนอนเนื่อง หมักหมมอยู่ในใจ
เกิดเป็นราคานุสัยบ้าง อนุสัยคือความกำหนัด สิ่งที่เราพอใจ ติดใจต่าง ๆ มันหมักหมม เป็นของเสียหมักไว้ในใจของเรา
เกิดเป็นปฏิฆานุสัยบ้าง สิ่งที่เราขัดเคือง ไม่พอใจ หงุดหงิดใจ มันก็จะหมักหมมเป็นของเสียอยู่ในใจ
เกิดเป็นอนุสัยคืออวิชชา คือความหลง ความไม่รู้บ้าง
พอมันหมักหมมไปถึงจุดหนึ่ง มันเกิดเป็นอาสวะที่หมักหมม เหมือนเราบรรจุของเสียอะไรก็ไม่รู้เต็มไปหมด มันก็เริ่มล้นออกมา ทางกาย ทางวาจา ทางใจ
เกิดเป็นกิเลสที่มันผุดขึ้นมา เป็นความโลภ อยากได้ใคร่ดี ความโกรธ ความหงุดหงิด ความโมโห
ถ้าเรารู้สึกว่าเป็นคนโกรธง่าย นี่คือภูเขาไฟมันปะทุออกมา อย่างภูเขาไฟกว่าที่มันจะปะทุออกมา มันต้องสะสมอยู่ข้างใน ความร้อน ความกดดัน ถึงจุดหนึ่งมันเต็มแล้ว มันก็ต้องปะทุออกมา
ภูเขาไฟที่ยังมีชีวิตอยู่ที่มันปะทุออกมา มันเกิดจากการสะสม
เราก็เกิดจากการสะสม จากการใช้ชีวิตของเรานั่นเอง แล้วมันเกิดการหมักหมม
เพราะฉะนั้นถ้าเรารู้สึกว่าเราเป็นคนที่โลภง่าย อยากได้ใคร่ดี เป็นคนที่โกรธง่าย หงุดหงิดง่าย เป็นคนที่มีมานะถือตัว ลุ่มหลง ยึดมั่นถือมั่น นี่คือผลที่ออกมาแล้ว เผยออกมา เป็นภูเขาไฟที่ล้นออกมา เพราะกิเลสเหล่านี้มันมากแล้ว
พอเรามาฝึกสติ เราก็ต้องเริ่มมาตระหนักรู้ เราจะได้เริ่มตระหนักรู้ … อ้อ จิตมีราคะก็รู้ จิตไม่มีราคะก็รู้ จิตมีโทสะก็รู้ จิตไม่มีโทสะก็รู้
จิตมีโมหะก็รู้ บางครั้งมันก็หลงไป ไหลไปในเรื่องราวในอารมณ์ต่าง ๆ บ้าง ขาดสติ ขาดความรู้เนื้อรู้ตัว
ทำไมฝึกใหม่ ๆ มันตั้งสติไม่ได้เลย เพราะว่าความหลงมันมีกำลังมากนั่นเอง ความง่วงหาว ความมึนซึมต่าง ๆ อันนี้มันคือผลพวงจากการใช้ชีวิตของเรา
พอเราเริ่มฝึกสติ เราก็จะเริ่มรู้ เห็นกระบวนการตรงนี้
ฝึก ๆ ไป ทำไมกิเลสในใจเรามันเยอะจัง
… มันเยอะอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าที่ผ่านมาเรายังเหมือนคนหลับอยู่ หลับแล้วมันก็ฝันไปเรื่อย ไม่รู้เนื้อรู้ตัว
แต่พอเราเริ่มมีสติ ก็เริ่มเห็น … อ้อ มันถึงจะเกิดการตระหนักรู้ ต้องเห็นสิ่งที่เรียกว่าทุกข์ก่อน
ทุกข์ ก็คือสภาวะที่มันทนอยู่ไม่ได้ มันเกิดแล้วมันก็สลายไป
พระพุทธองค์สอนให้กำหนดรู้ ก็คือรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้น นี่มันคือผลพวงจากการใช้ชีวิตของเรา เราจะได้เกิดการเรียนรู้ เกิดการตระหนักรู้ ว่าเราสร้างเหตุอะไรไว้ มันจึงเกิดผลเช่นนี้
ทำไมเราถึงเป็นคนที่มีความโลภ โมโหโทสะ
ทำไมเราถึงเป็นคนที่มีความโกรธ มีอารมณ์ร้อน หงุดหงิดง่าย
ทำไมเราถึงเป็นคนที่ลุ่มหลงมัวเมา
ก็มันเป็นผลจากการที่เราดำเนินชีวิตที่เติมอาหารกิเลสมานั่นเอง
การฝึกสติเป็นประจำ จะทำให้เราเริ่มตระหนักรู้ถึงผลกระทบที่มันเกิดขึ้นมา
จิตหดหู่ก็รู้ บางทีคนยุคนี้จะมีปัญหาเรื่องสุขภาพจิตเยอะ จิตหดหู่คือมันซึมเข้าข้างใน บางทีก็รู้สึกนอยด์บ้าง ใครมาพูดจาหรือทำอะไรที่เรารู้สึกไม่โอเค นอยด์ละ
นอยด์ก็คือมันจะเริ่มหลบข้างในละ ไม่ค่อยอยากพูดกับคนนั้น บางทีก็กลายเป็นโรคส่วนตัวไป หลบเข้า นี่มันไม่ใช่อาการของคนมีสติ มันคืออาการของคนหลง ก็คือมันหลบเข้าใน
มันไม่ใช่หลบเข้าถ้ำเหมือนพระภิกษุที่ท่านหลีกออกจากโลกแล้วบำเพ็ญสมณธรรม
อาการหลบเข้าในเข้าถ้ำของคนทั่วไป คือมันเป็นอาการของความหลง คือจิตมันหดหู่ มันจมลงไป มันซึมลงไป
ถ้ามากมันก็จะซึมเข้าไป ที่เรียกว่ากลายเป็นความซึมเศร้านั่นเอง คนสมัยนี้จึงมีปัญหาที่เรียกว่าโรคซึมเศร้าเยอะ เราจะมานั่งแก้ด้วยการทานยา นี่คือมันปลายเหตุ
ถ้าเราจะแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ ก็คือมันก็ต้องมาตั้งแต่ระดับการชำระกิเลส ลดอาหารกิเลสนั่นเอง
อาการซึมเศร้านี่คือเหมือนภูเขาไฟที่มันปะทุออกมาแล้ว มันสะท้อนออกมาจากผลการใช้ชีวิตของเราแล้ว แล้วจิตมันก็จมลงไปภายใน
คนที่เคยผ่านความซึมเศร้าจะรู้เลย มันเหมือนเรา จมลงไปในความมัว ในความมืดต่าง ๆ บางทีตื่นมา รู้สึกมันหมดแรง ไม่มีแรงกาย ไม่มีแรงใจรู้สึกเบื่อหน่าย รู้สึกท้อแท้ในการใช้ชีวิตต่าง ๆ
มันไม่มีกำลังใจที่จะดำเนินชีวิตต่าง ๆ เนื่องจากปัญหาชีวิตต่าง ๆ ที่มันถาโถม มันรุมเร้าเข้ามา มันทำให้จิตซึมอยู่ภายใน
จิตหดหู่ ก็รับรู้อาการที่หดหู่ นั่นคือผลพวง
เราจะได้เรียนรู้ และตระหนักรู้ว่า … อ๋อ มันเป็นผลจากการที่เราดำเนินชีวิตที่ผิดพลาดมา เราจะได้เรียนรู้วิถีที่จะนำพาตัวเองเข้าสู่วิถีที่ถูกต้อง
คำว่าเห็นทุกข์ จึงเห็นธรรม ก็คือ เราได้เริ่มเห็นถึงผลพวง ถึงผลกระทบจากกการใช้ชีวิตที่มันเกิดขึ้นมานั่นเอง มันทำให้ความเป็นปกติ ความสงบสุขมันหายไป สิ่งที่เหลืออยู่คือความเร่าร้อน กระวนกระวายด้วยอำนาจของกิเลส
ไฟแห่งราคะบ้าง ไฟแห่งโทสะบ้าง ไฟแห่งโมหะบ้าง ที่มันแผดเผาจิตใจ ให้จิตใจมันมีแต่ความเร่าร้อน กระวนกระวาย หาความสงบ หาความชุ่มเย็นในจิตใจไม่ได้เลย นี่คือมันเป็นภูเขาไฟที่ปะทุออกมาแล้ว
เมื่อมันปะทุออกมาแล้วเราจะไปพยายามหยุด มันไม่อยู่ละ มันก็ต้องระบายออกตามกลไล เพราะว่ามันสะสมไว้เต็มนั่นเอง
เมื่อเราได้เรียนรู้แล้ว ก็ค่อย ๆ ลดสิ่งที่เรียกว่าอาหารของกิเลสนั่นเอง … "
.
ธรรมบรรยาย
โดย พระมหาวรพรต กิตฺติวโร
Photo by : Unsplash

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา