12 ธ.ค. 2022 เวลา 07:14 • นิยาย เรื่องสั้น
จำได้ดี
ผมพลันสายตาคู่นี้มาบรรจบเข้ากับนัยน์ตาสีน้ำตาลดินของพี่เอส
เขายืนอยู่อีกฟากหนึ่งของถนนสองเลน เกาะกลางคั้นกลาง รถราสัญจรบนท้องถนน ขับเคลื่อนสวนผ่านไปมาสะดวก ขณะรอไฟสัญญาณข้ามถนน คอยบดบังกันละกัน พ้นจากสายตาสองคู่ต่อเนื่องและรวดเร็ว
ทว่า อาการในแววตาของเขา ส่งตรงมายังผมไม่จางหายไปเลย มันมีนัยยะชัดเจน เขาไม่หลบซ่อน หรือพยายามเปิดเผยให้ผมอ่านมันออกกันแน่นะ ผมมั่นใจมากว่า ไม่ได้คิดเข้าข้างตัวเองแม้แต่นิดเดียว ความถวิลหารุนแรงนั้น ยังร้องบอกจากก้นบึ้งจิตใจของเขา เพราะเขายังต้องการผมอยู่ แต่แค่เป็นไปไม่ได้อีกแล้ว เขาก็ขาดผมไม่ได้เช่นกัน เมื่อเราได้มาสบตาอันแน่นิ่งไม่ไหวติงตรงนี้นั่นเอง
ผมลืมไปนานมากแล้ว ว่าพวกมันทั้งหมดซึ่งเคยเกิดขึ้นมาแล้วตอนไหนนั้น ราวกับว่าทุกๆ ช่วงเวลาระหว่างเราสองคนในตอนนั้น เหมือนเพิ่งจะเกิดขึ้นเมื่อวานนี้เอง
ยังคงแจ่มชัดในความรู้สึกอยู่เลย
ความรู้สึกตอนนั้นของผม มันเริ่มจากความกลัวทั้งสับสนขั้นสุด ท้องไส้อย่างกับถูกเอาไปกวนจนปั่นป่วนภายใน ผมไม่พอใจเป็นอย่างมาก กลับทำอะไรไม่ได้เลย เพื่อเอาตัวเองออกมาให้พ้นจากตรงนั้นด้วยความกล้าหาญและลองดี สาเหตุเกิดจากความเมามายในฤทธิ์แอลกอฮอล์ลงคอเยอะเกินขนาดของพี่ชายผม ไม่ยับยั้งการดื่มขาดสติ
เขามักทำให้ผมไม่มั่นใจว่า เขาสามารถยอมรับในสิ่งที่ผมเป็นได้จริง
พี่ชายบังคับผมให้ต้องเลือกหญิงสาวแสนเลอโฉม ผ่านกรรมวิธีปรุงแต่งบนเรือนร่างเหล่านั้น ผมไม่รู้ว่าเขาไปได้พวกเธอสี่คนนี้มาจากไหน กับแก้มของเมา ผมไม่เคยต้องการ แม้จะใส่ใจ ให้เกิดอารมณ์ร่วมด้วย บอกเลยว่าบอดสนิท
“ไอ้เบล”
ผมสะดุ้งโหยง ตอนฝ่ามือฟาดลงบนบ่าฉาดหนึ่ง ความเจ็บแสบแล่นแปลบ แล้วหายไปไวพอกัน แขนโอบรอบไหล่ ฉุดความสนใจใดๆ ที่ไม่มีอยู่ก่อน
เขารู้ทั้งรู้ ตอนปกติเขาก็ไม่เคยจะพูดถึงเด็ดขาด ยกเว้นน้ำเปลี่ยนคนนี่แหละ
“มึงเลือกเลย อยากได้คนไหน แจ่มๆ ทั้งนั้น รู้จักปะ คือลืออะ คือลือ เบิ้มๆ”
เขานึกพิเรนท์ คงเห็นว่ามันสนุก ไม่ก็เห็นผมเป็นตัวตลกโดยไม่รู้ตัว
“คือผมไม่สนอะไรแบบนี้ปะวะ”
ผมพยายามข่มน้ำเสียงงุ่นง่าน
“ผมไม่ได้ชอบผู้หญิง พี่บอล พี่ก็รู้อยู่แล้วอะ จะมายัดเยียดผมทำไมวะ”
“มึงกล้าพูดแบบนี้ต่อหน้ากูเหรอวะ”
“ทำไมผมจะไม่กล้า”
ผมย้อนทันควัน
“กูเป็นพี่ชายมึง”
เขาขึ้นเสียงฉุนกึก
“คอยส่งเสียมึง หลังจากกูกับมึง ไม่มีพ่อแม่คอยดูแลแล้วนะเว้ย”
ผมเกลียดการกำเริบบุญคุณของเขาเป็นที่สุด ตอกย้ำว่าชีวิตผมหลังจากนี้ขึ้นอยู่กับเขาทั้งหมด เลือกที่ชอบที่เป็นในตัวเองไม่ได้
“แล้วพี่จะพูดขึ้นมาให้ได้อะไรวะ”
“ที่กูพูดอยู่ตอนนี้”
เขาเสียงดังทันใด
“กูอยากให้มึงทำตามในสิ่งที่กูต้องการ”
“ผมไม่ทำ”
ผมยื่นคำขาด
“และพี่ก็ไม่ใช่เจ้าของชีวิตผมด้วย อย่ามาสั่งว่าผมควรทำอะไรไม่ควร”
“มึงกล้าลองดีกับกูเหรอ ไอ้เบล”
เขาเอาหน้าใกล้เข้ามา
ผมไม่เคยเกลียดกลิ่นสุราจากลมปากของเขาได้มากเท่านี้มาก่อน เหม็นซะยิ่งกว่าเหม็น ทำผมอ้วกได้ง่ายๆ
“ผมไม่ได้จะลองดีปะวะ”
“ก็ที่มึงยอกย้อนกูคอเป็นเอ็นอยู่นี่ไง”
“จะให้ผมบอกพี่อีกกี่รอบกันวะ”
ผมส่ายหน้า ก้มหน้ามองพื้นสีน้ำเงินของห้องมืดสลัวราง
“ผมไม่ได้ชอบผู้หญิงไง”
ผมเคยคิดว่าตัวเองจะควบคุมอารมณ์ได้ จะเอาประสากับคนเมาล่ะ เผลอตวาดเสียงใส่เสียห้ามไม่ได้
“จะให้ผมเอากับผู้หญิงยังไงวะ”
“มึงเจียมกะลาหัวตัวเองไว้บ้างนะ”
เขาใช้นิ้วชี้ผลักศีรษะผมโยก
“มึงมันคือภาระชีวิตกูต้องรับผิดชอบ นับจากพ่อแม่ไม่อยู่แล้ว”
“อีกแหละ”
ผมสุดจะหน่าย รู้สึกโมหา ไม่เจ็บปวด อย่างไรก็โกรธเขาไม่ลง ไม่ใช่เพราะเขาคือพี่ชายในสายเลือดเดียวกัน เขาไม่ได้เป็นแบบนี้ประจำ ถ้าไม่ได้อยู่ในสภาพเลอะเทอะเยี่ยงเวลานี้ ผมจึงไม่อยากยกขึ้นมาถือสาใส่ความให้หนักอึ้งอยู่ในใจเปล่าๆ
“โคตรน่ารำคาญ”
“เงินทุกบาททุกสตางค์ที่มึงใช้กินใช้อยู่ได้ไม่ขัดสน ก็เพราะกู”
“มันก็คือหน้าที่ของคนเป็นพี่คนโตอย่างพี่ปะวะ”
ผมเหลืออดเหลือทนมากพอแล้ว พอยังยับยั้งอารมณ์ไม่ให้หุนหันพลันแล่น พลั้งการกระทำไปโดยขาดสติสัมปชัญญะ ไม่ได้ดื่มเลยสักหยดเดียว
“ผมเรียนจบ มีการมีงานทำ ผมก็ไม่ต้องรบกวนพี่แล้วปะวะ”
“ยังไง”
เขาไม่ยอมลดละ
“มึงก็ต้องตอบแทนบุญคุณกู ในความเป็นผู้ชายของมึง ให้กูเห็นสักยกกับสาวสวยในนี้สักคนดิ”
“เหี้ยไรวะเนี่ย”
ผมกระโดดลุกขึ้นจากโซฟา
“กูแม่งไม่น่ามาด้วยเลยว่ะ”
ผมบ่นพึมพำ จังหวะจะหนีออกมาจากห้องสังสรรค์นี้ไป พี่บอลก็คว้าคอเสื้อจากทางด้านหลัง กระชากจนกระดุมเม็ดที่กระแทกกับลูกกระเดือก กระเด็นหลุดหายไปในความมืดเบื้องล่าง มองเห็นอะไรเป็นอะไรได้ยาก
“มึงจะไปไหน ไอ้เบล”
ผมหมุนตัว พลางสะบัดกำมือพี่ชายให้หลุดการจับกุม
“เรื่องของผมปะ”
ผมตะคอกลั่น
“มึงแม่งไม่แมนเลยว่ะ”
ผมไม่เดือดดาล บ้าจี้ไปกับคำปรามาสของเขาอย่างแน่นอน ผมกล้ายอมรับตัวเองด้วยความแข็งแกร่งและมั่นคงมานานแล้ว
“แค่นี้ก็ไม่กล้า”
เขาหัวเราะลั่นผู้เดียว
เพื่อนฝูงคนอื่นๆ ที่เหลือจ้องมองมาทางพวกผมเป็นตาเดียวใคร่ฉงน
ผมกวาดตามองไปรอบๆ ห้อง เสียงเพลงที่เคยดังกระหึ่ม มันกลายเป็นเพียงเสียงเบาคลอๆ เงียบกร่อย แสงไฟจากลูกบอลหลากสีสัน ดูจะเคลื่อนช้าลงอย่างไรอย่างนั้น บรรยากาศอึดอัด ส่งผลให้ห้องจากเดิมที่กว้าง บัดนี้คับแคบ อากาศภายในห้องถ่ายเทไม่ทั่วถึง
“ผมจะไม่แมนแล้วไงวะ”
ผมสวนกลับ
“ก็ผมเป็นอย่างที่เป็นแบบนี้มาตลอด ยอมรับไม่ได้ ก็ไม่จำเป็นต้องมาบังคับ ในสิ่งที่คนอื่นไม่ชอบเหมือนตัวเองก็ได้ปะวะ”
มือว่องไวปานงูฉก จะคว้าตรงคอปกเสื้อ ขณะเดียวกัน มือของพี่เอสพลันเข้ามาปัดป้องก่อนรวดเร็วกว่า สีหน้าของเขาแสดงอาการไม่พอใจเห็นได้ชัด แทนเจ้าตัวกำลังถูกคุกคาม เขาเข้ามาขวางระหว่างผมกับพี่ชาย ผมรู้สึกปลอดภัยเมื่ออยู่ด้านหลังเขา มือกำเสื้อเขาไว้แน่น ไม่มีวันปล่อยหลุด
“มึงเสือกอะไรด้วย”
พี่บอลผลักอกเขาอย่างหงุดหงิด
“ไอ้เอส”
“มึงอะ ไอ้บอล”
พี่เอสใช้เสียงเรียบเข้าต่อสู้กับความไม่สมดุลของอีกฝ่าย
“เมามากแหละ ไอ้สัตว์”
“แล้วมันเกี่ยวเหี้ยไรด้วย”
เขาที่ตามไม่ทันเจตนาของพี่เอส
“กับการที่กูเมา และบังคับให้ไอ้เบล น้องชายกูเป็นผู้ชายทั้งแท่งในคืนนี้ด้วยวะ”
“ก็มึงไม่เคยเป็นแบบนี้กับน้องมึงไง”
พี่เอสบอก
“แล้วที่มึงมีความคิดเหี้ยๆ แบบนี้ ก็มาจากเหล้าที่มึงแดกไม่บันยะบันยังอยู่นี่ไง”
“แม่งไม่เห็นจะเกี่ยวเหี้ยไรกันเลย”
ดูท่าว่าพี่ชายผมจะไม่ตั้งใจรับฟังใครง่ายๆ เป็นแน่
“หลบไปดิ กูจะทำให้มันกลับตัวกลับใจมาเป็นชายอย่างพี่มันให้ได้”
“กูไม่หลบ”
น้ำเสียงพี่เอสเริ่มแข็งกร้าวและเด็ดขาดดุดัน
“ยังไงกูก็จะยืนข้างน้องมึงอยู่ดี เลิกดื่มแล้วกลับไปนอนห้องเถอะว่ะ ไอ้บอล เดี๋ยวกูให้ไอ้ต๊อบพามึงกลับห้องเดี๋ยวนี้เลย”
“กูไม่ไปไหนทั้งนั้น”
เขาเน้นทุกคำหนักแน่น
“มึงไม่ใช่พี่ชายมัน จะแส่มาปกป้องมันทำไม น้องกูมันลูกผู้ชายพอ”
“มึงฟังกูนะ”
พี่เอสสูดอากาศเข้าโพรงจมูกเฮือกใหญ่ แอลกอฮอล์และอาหารคราวอบอวล
“ไม่ว่าน้องมึงจะชอบเพศเดียวกัน มันก็ไม่ได้ไปด้อยค่าความเป็นผู้ชายในตัวน้องมึงน้อยลงไปเลยนะเว้ย”
“หรือว่ามึงชอบน้อง---”
กำปั้นจากพี่เอสอันหนักหน่วงในพริบตาเดียว วาดกระแทกเข้าโหนกแก้มพี่บอล ร่างอ่อนปวกเปียกด้วยฤทธิ์สุราหลายขนาดกระดกลงคอก่อนหน้า ส่งผลให้เขาทรุดฮวบกองอยู่ที่พื้นฉับพลัน และรวดเร็วพอกันจะเอาคืนจากความเจ็บแค้น แต่คนอื่นๆ กุลีกุจอกันเข้ามาล็อกแขนล็อกคอพี่ชายผมไว้ได้ทันท่วงที ไม่เกิดอะไรเลวร้ายบานปลายมากกว่านี้
“มึงจะพูดจะจาอะไรให้เกียรติน้องมึงด้วย”
พี่เอสชี้หน้าว่า
ผมที่กำลังอยู่ในสภาวะมึนงงสถานการณ์วุ่นวาย กลับมามีสติจดจ้องยังใบหน้าโกรธเกรี้ยว และพยายามยับยั้งไม่ให้ลุกลามเกินควบคุมได้
ผมไม่อยากเชื่อหูตัวเอง รู้ว่าเขาแค่ต้องการปกป้องหน้าตาผม ไม่ใช่ของตัวเอง
ก่อนพี่ชายร่างหนาอีกสองคน จะลากพี่บอลขนาดตัวไม่ต่างจากพวกเขาไปห้องพักของเขา
ไม่มีใครคิดจะกลับมาที่ห้องนี้อีก หลังงานรื่นเริงหมดสนุกเป็นที่เรียบร้อย ต่างคนต่างกลับไปพักผ่อนห้องใครห้องมัน
หญิงสาวทั้งสี่คนถูกจ้างมา เพื่อสีสันและความบันเทิงอารมณ์ราคะของเหล่าชายฉกรรจ์ พวกเธอจากไปแล้ว พร้อมกับเงินค่าจ้าง อารามจังงังตกค้าง
“พี่ว่าเรายังไม่ต้องกลับไปนอนห้องเดียวกับไอ้บอลคืนนี้จะดีกว่า”
พี่เอสเสนอ
“รอมันสร่างเมาก่อนแล้วกัน มันคงมีสติมากกว่านี้ เชื่อพี่สิ”
“แล้วจะให้ผมไปนอนที่ไหนล่ะครับ”
ผมจนหนทาง
“ก็นอนห้องพี่ไปก่อนแล้วกันนะ”
เขาวางมือลงบนศีรษะ ลูบไล้เรือนผมใคร่เอ็นดู รอยยิ้มของเขาช่วยปลอมประโลมอาการไม่สบายใจ ให้ทุเลาเบาบางลง เหมือนยาวิเศษบำบัดจิตกำลังวิตกชิ้นดี
“ถ้าเราไม่ได้รังเกียจอะไรพี่น่ะนะ”
ผมสั่นหน้าทันควัน
“ไม่เลยครับ”
ผมยืนกรานด้วยเสียงอีกที
“ว่าแต่พี่นั่นแหละ รู้ว่าผมเป็นเกย์แล้ว พี่จะไม่คิดมากใช่ไหมครับ”
“เห้ย”
เขาขยี้เส้นผมจนยุ่งเหยิง น้ำหนักมือมากไป กดศีรษะผมคอพับ
เขารู้สึกตัวได้ ตอนผมร้องลั่นด้วยความเจ็บ
“พี่ขอโทษ --- ไม่เป็นไรนะ”
ผมส่ายหน้าปฏิเสธ
เขาพูดต่อจากก่อนหน้า ตั้งใจบอกกล่าวให้ผมค่อยชื้นใจ
“ถ้าพี่คิดมาก พี่จะเสนอแบบนี้ทำไมล่ะ ฮึ?”
“ผมค่อยสบายใจได้”
ผมไม่รู้ตัวเองเลย มือกำรอบไม่มิดข้อมือของเขาอยู่ ตั้งแต่เมื่อไรนั้น
พี่เอสไม่คิดจะสลัดมือผมทิ้งเลยด้วยซ้ำ
“ไปกัน”
ผมลากเขาไปที่บานประตูห้อง เพื่อออกจากห้องนี้ ซึ่งเต็มใจมาพร้อมกับผมทั้งอย่างนั้น
ตอนนั้นผมไม่แน่นอนนัก ว่าผมควรให้ความหวังกับตัวเอง ทั้งที่เขาเพียงกำลังทำให้ผมสามารถสบายใจขึ้นมาได้บ้างก็ยังดี ไม่มัวหมกมุ่นอยู่กับคำพูดเฉือนหัวใจ ดั่งมีดแหลมคมของพี่ชายตัวเอง
แม้เวลานั้น ผมรู้อยู่แก่ใจดี เขาไม่มีทางเป็นแบบเดียวกับผมได้แน่นอน
หลังผลักบานประตูหน้าห้องพี่เอสเข้าพร้อมกัน ผมปล่อยมือจากข้อมือเขา
“พี่ว่าเราไปอาบน้ำอาบท่าก่อนดีกว่า”
ผมพยักหน้ารับคำ
“เดี๋ยวพี่ไปเอาเสื้อผ้ามาให้เราเปลี่ยนแล้วกัน”
“พี่ไปแล้วจะไม่เกิดปัญหาอีกเหรอครับ”
ผมเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง
“ป่านนี้มันคงหมดสติไปแล้วก็ได้มั้ง”
ผมรั้งเขาก่อน ไม่ปล่อยเขาผ่านไป หากเป็นความคิดที่ประมาท
“ไม่ต้องก็ได้นะครับ พี่เอส”
ผมยังกลัดกลุ้มไม่คลาย
“แล้วเราจะใส่อะไรนอนคืนนี้ล่ะ เบล”
“อะไรก็ได้ครับ”
วินาทีนั้นผมก็คิดไม่ออกหรอก แค่ตอบส่งๆ ไปเท่านั้น
“ที่พี่เอสพอมีให้ผมใส่”
“พี่เลือกดูให้ก่อนแล้วกัน”
เขาผายมือไปทางห้องน้ำ
“ว่ามีตัวไหนให้เราพอใส่ได้บ้าง --- ห้องน้ำอยู่ตรงนี่นะ”
ด้วยความเกรงใจในสามัญสำนึก ผมเลือกเปลือยกายในห้องน้ำดีกว่า ครั้นสำเร็จธุระต่างๆ เรียบร้อยแล้ว ผมห่อเอวด้วยผ้าขนหนูสีขาวผืนหนาใหญ่ของทางรีสอร์ทส่วนตัวออกมา
ผมยังเห็นเขารื้อกองเสื้อผ้าออกจากกระเป๋าเดินทางอยู่เลย เขายื่นเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีเบจ ผมรับมาสวมทันที ต่อจากนั้น เขายืดกางเกงในบ็อกเซอร์ กะขนาดตัวของผมจะใส่มันได้จริงๆ หรือไม่ ก่อนส่งมาให้ผม
มันพออยู่บนร่างกายผมได้ ไม่หลวมหลุดร่วง ถึงเสื้อจะตัวเขื่อง เกินขนาดผมประมาณหนึ่งถึงสองขนาดตัวก็ตาม มันคลุมบ็อกเซอร์จนมิดชิด เสมือนว่าไม่ได้ใส่กางเกง
“แล้วพี่เอสยังไม่อาบน้ำต่อผมเลยเหรอครับ”
เขายังไม่ได้ให้คำตอบว่าอะไรเลยแม้แต่คำเดียว อยู่ๆ มือทั้งสองข้างถูกบงการจากความรู้สึกส่วนลึกครอบงำ ยื่นขึ้นไปถอดแว่นตากรอบดำมันเงา พับขาแว่นหุบเข้า วางลงบนโต๊ะเครื่องแป้ง ปลดกระดุมถัดลงมาอย่างที่สอง
ผมรู้ว่าเขาก้มหน้ามองอยู่ ไม่ยอมทำอะไร ขัดขวางการกระทำกำลังดำเนินอย่างเนิบช้า ผมเพิ่งตระหนักได้ทีหลัง ไม่อาจเข้าใจเขาถ่องแท้ ทำไมเขาถึงเอาแต่จดจ่อเฉยๆ ไม่ขยับกายส่วนไหน เพื่อตีตัวออกหาก ชี้ทางผิดในใจผม ล้มเลิกความคิดนี้เสีย ว่าเขาไม่มีวันต้องการอะไรแบบนี้จากผมเป็นแน่ เขามีอาการจากฤทธิ์แอลกอฮอล์มอมเมาหนักไหม ก็ไม่ถูกต้องเสียทีเดียว
ถอนกระดุมเม็ดแรก เริ่มเผยส่วนร่องแผ่นอกแข็งแรงผายผึ่ง บัดนี้ยืนห่อไหล่ ผมแหงนหน้ามอง เห็นเงาสะท้อนของตัวเองบนกระจกตาคู่นั้น ราวกับถูกสะกดนิ่งไม่ให้มองไปทางไหนอื่น
มือขยุ่มชายกระดุมเสื้อแน่น พลางข่มตาปิด เรือนขนตากระพือสั่นระริก หวาดกลัวและสับสน ตื่นเต้นสุดขีดอย่างกับครั้งแรก อยากรู้อยากลองเสียความบริสุทธิ์กับผู้ชายคนแรกเร้าใจอย่างไร หัวสมองมึนๆ ตื้อๆ ทั้งว่างเปล่าในเวลาเดียวกัน ไร้การรับรู้ต่อสิ่งแวดล้อมรอบตัว เสมือนโลกใบนี้มีเพียงเราสองคนในห้องพื้นที่เล็กคับแคบ ทว่า ไม่จริง
ค่อยๆ เขย่งปลายเท้าเล็กน้อย ริมฝีปากเคยเม้มเป็นเส้นตรงอันชั่งใจ ผลิบานอย่างกับดอกไม้แรกแย้มใต้แสงแดดฤดูคิมหันต์
ประกบริมฝีปากเขา ต้อนรับการมาเยือนอยู่ตลอด เขาเอียงหน้าเล็กน้อย
ลิ้นดุนปากผมเปิด เขาพันเกลียว และบดขยี้นุ่มนวล จากแข็งทื่อเป็นหุ่นขี้ผึ้งอยู่นาน
มัดกล้ามบนท่อนแขนโอบรัดตัวผม มือยุ่มย่ามตามผิวหนังหลัง
ลมหายใจผะผ่าวรดซอกคอ ทำเอาขนทุกเส้นลุกตั้งชูชันรวดเดียว อารมณ์อันเสียวซ่าน เหมือนมีไฟร้อนแรงและอ่อนโยน กำลังพุ่งพล่านลามเลียผิวกายทั่วเรือนร่างอบอุ่น มันรู้สึกดีเหลือเกิน จนไม่เหลือความตระหนักถึงความแน่ชัดในเชิงสัมพันธ์ ปลุกอวัยวะเพศแท่งน้อยสีขาวนวลแข็งเกร็งใต้กางเกงใน ถูไถกับขาของเขาอยู่นั่นเอง
เวลาเดียวกันนั้น มือข้างหนึ่งลื่นไหลผ่านเข้าขอบกางเกงใน
สองนิ้วกลางและนางเคลื่อนขึ้นลงตรงร่องก้อนกลมกลึง ปลายนิ้วแหย่ช่องสวาท มันเคยมีประสบการณ์มาก่อนหน้านี้ ไม่ใช่เพียงครั้งเดียว การเสพสุขในกามเกิดขึ้นด้วยความรัก และไม่
อย่างตอนนี้หัวใจของผม กลับบอกไม่ถูกว่าควรรู้สึกกับชายคนนี้อย่างไรดี แรกความประทับใจงั้นหรือ ทว่า สามัญสำนึกร้องเตือนอยู่ในก้นบึ้งจิตใจ รู้ทั้งรู้ว่าไม่มีทางเป็นไปได้ ไม่ควรหวัง หากก็ห้ามไม่ปล่อยให้ตัวเองแอบหวังลมๆ แล้งๆ เสียไม่ได้
การที่เขาสนองตอบ ไม่ได้หมายความว่าเขาจะมีใจให้ผมโดยชอบธรรม
การผ่านจุดที่ว่าใครก็ได้มาแล้ว ทำให้ผมไม่ใสซื่ออีกต่อไป
ผมกอดรอบคอเขาไว้ บดเบียดปากกันอีกครั้ง พ่นลมหายใจ พร้อมกับส่งเสียงครางลอดจูบ ตอนที่สองนิ้วของเขาเสียบเข้าไปข้างใน
ก่อนหน้าผมเคยใส่ใจมากว่าเขาเป็นแบบไหน บัดนี้ความสลักสำคัญของสิ่งนั้นเลือนหายไปสิ้น เฉกเช่นเดียวกับความกลัว หลังจากช่วงเวลายอดเยี่ยมนี้สิ้นสุดลง เขาจะกล้ายอมรับได้หรือไม่ ถ้าเขาไม่มีความคิดทำนองนี้กับผู้ชายคนไหนเลย มีไว้แค่กับผู้หญิงเท่านั้นน่ะนะ
“พี่ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะมีอารมณ์ร่วมกับผู้ชายด้วยกัน”
เขากระซิบแผ่วเบา มันช่างห่างไกลแสนไกล ที่ผมจะได้ยินอย่างชัดเจน
ผมเปลี่ยนมาโอบรอบตัวเขาแน่น ด้านข้างใบหน้าซบลงบนแผ่นอกกว้าง
“พี่ไม่ได้รู้สึกแย่กับมันใช่ไหม”
“ตอนนี้”
เขาดูท่าไม่แน่ใจในตัวเอง
“พี่ก็รู้สึกดีนะ”
เขาคว้าร่างของผมขึ้นอุ้ม ค่อยๆ วางลงบนที่นอน สัมผัสแรกหนานุ่มรองรับแผ่นหลัง ใคร่ทะนุถนอม
ผมปลดกระดุมทุกเม็ด เปลื้องอาภรณ์เกะกะลูกหูลูกตา
เปลี่ยนสลับตำแหน่งชั่วคราว เขานอนราบ หลังหนุนหมอน พิงหัวเตียง สายตาจับจ้องกางเกงยีน ทั้งกางเกงในถูกดึงลงในไม่กี่วินาที
แก่นกายแข็งตัวอยู่แล้ว ผมจับมันตั้งขึ้น ใช้ปากครอบมัน
เขาครางเสียงลอดผ่านไรฟันขบกันแน่น
ฝ่ามือประกบใบหน้าผม ควบคุมจังหวะศีรษะโยกขึ้นโยกลง บางทีก็จับหน้าผมให้อยู่เฉยๆ ขยับสะโพกระรัว บางครั้งเขาจะกดผมจมมิดลำของเขา สำลักน้ำลายไหลยืดยาดผ่านเรือนขนสีดำขลับหยิกกระจุกหนึ่ง
เขาจับตัวผมนอนลง ยกขาสองข้างขึ้นชี้เพดาน เงาส่วนล่างของร่างกายผม และใบหน้าของเขาอยู่ข้างบนทาบทับ
หน้าเขาก้มลง ลิ้นตวัดกลีบทวาร ผมตัวบิดเกร็ง ปลายลิ้นถูกแหยทั้งแลบลิ้นเลีย กระทั่งเปียกแฉะด้วยน้ำลายถ่มใส่
ขาสองข้างผมนำมาวางพาดหน้าขาของเขา เขาเท้ามือยันตัวเอง ผมรู้สึกมืดมาก ดวงหน้าซึ่งเปื้อนรอยยิ้มหวานหยาดเยิ้มอยู่เหนือผมตลอด ดั่งแสงสว่างสดใสที่สุดในจักรวาลนี้จะหาเทียบ
เขาซบลงตรงซอกคอ ผมทำได้แค่เหลือบมองทางหางตา
ผมหัวเราะคิกคัก จั๊กจี้จากลมหายใจสม่ำเสมอของเขา
“ขำอะไรเหรอครับ”
เขาใคร่ฉงน
“จั๊กจี้อะครับ”
พอรู้สาเหตุ เขาก็ยิ่งแกล้งผม โดยการใช้จมูกบดขยี้ซอกคอ เส้นตื้นเสียหยุดขำไม่ได้
“พอแล้วครับ พี่เอส”
ผมขอร้องเพราะทนไม่ไหว
“ผมหัวเราะจนปวดท้องหมดแล้ว”
เขายกศีรษะขึ้นมาอยู่เหนือผมอีกครั้ง ผมยื่นหน้าเข้าประชิด เพื่อจูบดูดดื่ม
ระหว่างนั้นนั่นเอง เขาใช้นิ้วกลางเสียบช่องสวาท ครั้งนี้สุดนิ้วเลยทีเดียว ก่อนจับแก่นกายไม่ได้สวมถุงยางอนามัยป้องกัน ถามผมตอนนี้ว่าสำคัญหรือไม่ หากเขาจะหลั่งใน ผมก็ยินดี ผมยอมทุกอย่าง ปรารถนาอย่างยิ่งว่าจะทำให้มันตราตรึงใจเขามิรู้ลืม
เขาจะสุภาพบุรุษไหม เฉกเช่นตอนเขาตั้งใจปกป้องผมจากอาการเมาไร้สติของพี่ชายรุกราน หรือตอบสนองตามอารมณ์ ครั้นถูกปลุกเร้าสำเร็จแค่นั้นน่ะนะ ผมไม่มีทางรู้เลย เขาก็ไม่คิดจะเอ่ยถึงมันด้วยซ้ำ
ลีลาชักเข้าลึกและกลับออกของสะโพกค่อยๆ ที เขาอาจกำลังใช้ค่ำคืนนี้ ให้นานอย่างคุ้มค่าที่สุดเท่าที่สามารถทำได้
สอดมือใต้วงแขนยกตัวผมขึ้นนั่งบนตัก ผมชอบให้เขาโอบรัดตัวไว้แน่นๆ ไม่ผละเลยจะดีมาก
ผมกระเด้งบั้นท้ายขณะเขานอนราบ พอผมเร่งจังหวะถี่ขึ้น อยากให้มันถึงใจเขา
“ช้าๆ ก็ได้นะ เบล”
มันไม่ได้ขัดใจเขาก็ตามที
“พี่ไม่รีบ --- พี่อยากอยู่แบบนี้กับเรานานๆ น่ะครับ”
“ผมก็เหมือนกันครับ”
ผมโน้มตัวนอนแนบแผ่นหน้า มือแต่ละข้างเขาขยำก้อนก้น ลีลาบรรจงกระแทกแก่นกายเข้าสุดลำทุกๆ ครั้ง ซึ่งผมตระหนักได้กระจ่างแจ้งตอนนั้นเลย การทำให้ตกหลุมรักในแต่ละจังหวะจะโคนละมุนละไม เขาช่างพิถีพิถันอย่างเข้าอกเข้าใจเรื่องการร่วมเพศ จะต้องมอบความสุขสมกันและกัน มิใช่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ทั้งคู่ล้วนมีชีวิตและจิตใจประสานหนึ่งเดียวกัน ผมไม่ต้องการให้จุดสิ้นสุดมาถึงเลยนั้นเป็นอย่างไร มันที่ดีสุดแล้ว อยากจะเก็บเกี่ยวช่วงเวลาไร้ที่ตินี้กาลนาน
สุดแล้วเมื่อฝืนเกินจะกั้น ดั่งพนังเขื่อนแตกทะลักภายใน เขาตั้งใจไว้แล้ว ไม่ก็เผลอตัวอย่างนั้นหรือ
ผมทิ้งร่างปวกเปียกลงข้างเขา แขนข้างหนึ่งโอบหน้าท้อง ดึงแผ่นหลังผมเข้าแนบกล้ามอกนูนและหน้าท้องราบเรียบของเขา แขนข้างหนึ่งให้ศีรษะหนุนตรงบริเวณรักแร้ต่างหมอน เราทั้งคู่ยังคงล่อนจ้อน หลังสำเร็จความใคร่แล้ว ทั้งผมที่หลั่งเอง โดยไม่ต้องผ่านรอบมือแม้ของตัวเอง รับประกันว่าเขานั้นยอดเยี่ยมขนาดไหน ผมรับให้กับรุก และโบทรุกมาแล้วบ้าง สำหรับเขาไม่ชัดเจนว่าเป็นแบบไหนกันแน่ อย่างไรก็ตาม ไม่เคยพบใครเหมือนเขาจริงๆ
อวัยวะเพศขนาดเจ็ดนิ้วกะประมาณ แข็งตัวอยู่มิรู้ล้ม แทรกตัวตรงช่องผา คางเกยบ่า ยื่นปากกระซิบกระซาบ ลมปากปะทะหลังใบหู ชวนจั๊กจี้
“พี่ขอต่ออีกครั้งได้ไหม”
ต่อให้เขาใช้น้ำเสียงนุ่มนวล ขอร้องผมเห็นใจเขา มีหรือผมต้านทาน และปฏิเสธเขาได้เด็ดขาด
ผมยอมเขาได้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะอะไรก็ตามแล้วแต่เขาทั้งสิ้น
“พี่ยังอยากอยู่เลย --- นะครับ เบล”
“ผมจะปฏิเสธพี่ได้ยังไงอะ”
ผมเหนียมอาย
นิ้วชี้และกลางสอดผ่านช่องสวาทพร้อมเพรียงกันง่ายดายจากเดิมที
“แน่นะ”
เขาถามย้ำอีกรอบ
“พี่ไม่ได้ถามเล่นๆ นะ เบล พี่เอาจริง พี่ยังไหว อีกสักสองน้ำพี่ก็ไม่ร่วงนะ”
“แน่ใจครับ”
ผมยืนกราน
“อย่าเผลอหลับก่อนพี่ล่ะ”
“พี่เอสก็ ---”
ผมเอี่ยวคอเพื่อมองเขา
“ให้ผมได้พักบ้างเถอะครับ”
“พี่ล้อเล่นน่า”
เขาพ่นลมหัวเราะออกจากจมูก
“พี่ไม่ได้ใจร้ายขนาดนั้นซะหน่อย”
เมือกอสุจิขาวขุ่นของเขาเคลือบสองนิ้วมาด้วย ผมคว้าข้อมือ ยัดนิ้วทั้งสองนั้นอม ใช้ลิ้นเลีย ก่อนกลืนลงคอ
“น้ำพี่รสชาติดีไหม”
เขาขยับแท่งเนื้ออวบตรงกับตำแหน่งสอดใส่หัวมนขององคชาตไม่ยากแล้ว จึงดันเข้าสุดลำช้าๆ ผมผ่อนลมหายใจทางจมูกเสียยาว
ผมกลับหัวเราะคำถามของเขาฆ่าขวยเขิน เสียงหัวเราะจากเขาผสมโรงตามมาภายหลัง ตระหนักได้ว่าถามอะไรลงไป
“ผมรักพี่เอสมากนะครับ”
เปลือกตาผมปิดลง พร้อมกับรอยยิ้มอิ่มเอมใจ ในหัวสมองของผมมันปลอดโปร่ง ไม่ได้คิดอะไรทั้งนั้น ตอนโพล่งออกไปแล้ว เขาได้ยินมันชัดเจนแน่นอน ผมรู้ว่าเขาแค่หลับตาลง พลังงานของร่างกายเขาต้องใช้ร่วมเกือบเป็นชั่วโมงในครั้งที่สอง คงจะอ่อนเปลี้ยเพลียแรงไม่ต่างจากผมเลย
ผมใช้ความรู้สึกอันเต็มเปี่ยมนี้ เอื้อนเอ่ยความในใจแบบไม่กั๊ก
แขนเขาโอบรัดรอบคอผมแน่นขึ้นอีกเล็กน้อย ขานรับเป็นเสียงจากในลำคอเบาๆ
“อือ”
ตอนนั้นผมยังไม่เข้าใจดี มันหมายความอย่างไรสำหรับเขาน่ะนะ เขายินดีหรือไม่ แค่รับรู้ไว้เฉยๆ กระมัง ผมไม่แม้แต่ไตร่ตรองละเอียดถี่ถ้วน การเริ่มต้นความสัมพันธ์หลักลอยนี้
ถึงจะเพลียหนักขนาดไหน เส้นดายแสงตะวันสีทองพาดปลายขอบฟ้า ขับไล่ผืนฟ้าอนธการแทนที่ด้วยท้องฟ้าสีครามทั้งผืนนภา แต่งแต้มสีต่างๆ เช่นริ้วสีชมพู อากาศข้างนอกระเบียงอบอุ่น ขจัดความขี้เกียจเกาะเตียง ผ้าม่านสีขาวปลอด แสงสว่างจากโลกข้างนอกแทงทะลุย้อมผืนผ้า แยงผ่านเปลือกตาปิดสนิท ให้ต้องลืมตาขึ้น กะพริบปริบๆ ไล่อาการแสบเคือง พอสายตาปรับเห็นอะไรเป็นอะไรได้เต็มที่ สิ่งแรกหลังตื่นนอน ผมคิดถึงแค่เขาคนเดียวในเช้าวันใหม่นี้ ใช้วงแขนต่างหมอนตลอดคืนผ่านพ้นมา เขายังไม่ตื่นเลย
ดวงตาจับจ้องดวงหน้าสงบนิ่งขณะหลับ สันจมูกวางทาบแก้ม ประกบริมฝีปากบางเบา ไม่รบกวนเขาให้ถูกปลุกตื่น
ผมลากสังขารปวดเมื่อยตกค้างจากเตียง หยิบเสื้อเชิ้ตตัวเมื่อคืนกองที่พื้นขึ้นมาสวม กำลังยกขาข้างขวาก่อนสวมกางเกงในบ็อกเซอร์เรียบร้อยพอดี
ประตูห้องเปิดผางเข้ามา โดยพี่ชายในสภาพสะอาดเอี่ยมอ่อง ด้วยอาภรณ์ชุดใหม่ ผิดกับไอ้ขี้เมาเมื่อวานลิบลับ
“ทำไมมึงมานอนห้องเดียวกับไอ้เอสวะ”
คิ้วดกหนาของพี่ชายขมวดปม ฉงนหนัก
“แล้วมึงไม่กลับไปนอนที่ห้องล่ะ ไอ้เบล --- รบกวนมันทำไม”
“พี่จำเรื่องเมื่อคืนไม่ได้เลยเหรอไงวะ”
เขาเลิกคิ้วข้างหนึ่ง ครุ่นคิดอยู่นานสองนาน แววตาคล้ายล้มเลิกความตั้งใจ สลัดค้างคานั้นทิ้งไป
“กูจำอะไรไม่ค่อยได้ว่ะ”
เขาบอก
“กูจำได้แค่ว่าเมาเละเทะอย่างเดียว”
“ช่างมันเถอะ”
ผมพยักหน้ารับคำ
“มึงเป็นอะไรปะวะ”
เขาเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง
“กูทำอะไรให้มึงรู้สึกไม่ดีเปล่า”
“ก็แค่พี่เมามาก”
ผมส่ายหน้า
“ผมไม่ถือสาเอามาใส่ใจให้ขุ่นเคืองหรอก --- ตอนนั้นผมอยากจะซัดหน้าพี่สักทีสองที เอาให้หายเจ็บใจไปเลยก็เถอะ”
“มึงพูดอย่างกับกูทำเรื่องเหี้ยๆ กับมึงเอามากๆ เลยน่ะนะ”
“ก็ประมาณนั้น”
ผมกล่าว
“แล้วมึงไม่พูดออกมาให้หมดวะ”
“ก็พี่เมาไง”
ผมเน้นย้ำ
“พี่จะมารู้สึกผิดอะไรเล่า คนเมาแม่งชอบพูดชอบทำอะไรไม่รู้ตัวถูกไหมล่ะ”
“อือ”
เขาพยักเพยิดไปทางพี่เอสซึ่งหลับไม่รู้เนื้อรู้ตัว คาดว่าจะตื่นสายกว่านี้
“มันไม่ได้ใส่อะไรนอนใช่ไหม”
“ใช่”
เขากวักมือเรียกผมตามหลังไปติดๆ รุดนำมายังสระน้ำด้านนอก เขาทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ไม้ ผมถัดจากเขา
“มีอะไร พี่บอล”
ผมใคร่สงสัย
“เรียกผมออกมาคุยตรงนี้”
“มึงได้กับมันแล้วใช่ไหม”
ผมเพียงพยักหน้าตอบ
เขาวางมือบนหน้าขาผม บีบเบาแรง
“มึงระวังหัวใจไว้บ้างก็ดีนะ”
ผมพูดอะไรไม่ถูก ร่างกายแข็งทื่อราวกับถูกต้องสาปกลายเป็นหิน
“กูสนิทกับมันมานาน กูไม่เคยเห็นมันสนใจผู้ชายคนไหนเลย”
“พี่จะบอกว่าพี่เอสชอบผู้หญิงมาทั้งชีวิต”
“เออ”
เขายืนกราน
“มันเมามากเปล่าวะ”
ผมสลัดหน้าตอบ
“มึงคิดปะวะ ว่าคนคนหนึ่งจากที่เคยเป็นชายแท้จะเปลี่ยนรสนิยมมาชอบเพศเดียวกันได้น่ะนะ”
“ผมไม่รู้หรอกว่ะ”
สำหรับผมยากเกินจินตนการ ทุกวิธีทาความเป็นพี่เอสนัก ปัจจัยรุนแรงกระทบกระทั่งต่อสภาพจิตใจในอดีต ผมไม่เคยล่วงรู้ชีวิตส่วนตัวขนาดนั้นมาก่อน ทว่า พี่ชายผมเขาไม่พูดถึงมัน แสดงว่าอาจไม่เคยมีเลยก็เป็นได้ จะว่าเขาชอบได้ทั้งชายและหญิงยิ่งไม่ใช่ใหญ่ เพราะพี่บอลดูมั่นใจหนักมาก เพื่อนชายทุกคนของเขาเป็นชายแท้ อีกประการหนึ่ง พี่เอสคือชายโคร่งร่างสูงโปร่งโอ่อ่าภูมิฐาน ผิวกายขาว แถมยังมีความเป็นสุภาพบุรุษสัมผัสได้ แสนจะอบอุ่นที่อยู่ใกล้ด้วย
พี่บอลสูดหายใจเข้าลึก ถอนออกเสียแรง
“เออ ---”
เขาร้องเมื่อนึกขึ้นได้ทีหลัง
“กูถามมึงจริงๆ ครั้งแรกระหว่างมึงกับมัน มึงรักมันเลยใช่ปะ”
“ผมรักพี่เขาอย่างห้ามใจไม่ได้จริงๆ ว่ะ”
“ลองๆ ดูมันไปก่อนล่ะกัน”
เขาตบบ่าผมสองครั้งเบาๆ
“กูทำได้แค่นี้จริงๆ ว่ะ ไอ้เบล --- มึงก็น้อง มันก็เพื่อนสนิทกู”
หากต้องผิดหวัง ผมไม่อาจโทษใครอื่นได้ ที่ทำให้เจ็บปวดกับเรื่องความรักฝ่ายเดียวครั้งนี้ นอกจากตัวเองล้วนๆ ไม่สามารถหักห้ามใจ เพื่อจะไม่หวังเล็กๆ น้อยๆ แม้ว่าเริ่มกลัว จนไม่อยากหวังอะไรกับความสัมพันธ์ยังไม่ได้เริ่มต้น ก็เตรียมชิงจบลงเสียแล้ว ตั้งแต่ไม่ทันได้ออกตัวสักก้าวเดียว กระนั้น อดใจยอมจำนนไม่ได้หรอก จึงได้แต่แอบหวังลึกๆ เท่านั้น
“แล้วมึงรู้ปะ”
“ว่า”
“ที่หน้ากูปวดๆ นี่ เกิดเหี้ยอะไรกับกูวะ”
นิ้วลูบคลำผิวเผินบนแผลฟกช้ำดำเขียวตรงบริเวณโหนกแก้ม เอ่ยถามกังขาตัวเอง
“พี่สะดุดล้มฟาดขอบโซฟามั้ง”
“จริงดิ”
“ไม่จริง”
“เอ้า”
เขาร้อง
“แล้วมึงจะพูดวกวนกวนส้นตีนกูทำไมหนักหนาล่ะเนี่ย”
“ที่ที่พี่ทำกับผมไว้เมื่อคืนนั่นแหละ --- ฝีมือใครคงไม่ต้องคำถามหรอกนะ”
พอพี่ชายผมกลับมาเป็นผู้เป็นคน คุยกันรู้เรื่องอย่างกับความบาดหมางเมื่อคืนไม่เคยเกิดขึ้นจริง ผมกลับเข้าห้องพักได้แล้ว เปลี่ยนมาใส่กางเกงขาสั้นของตัวเอง ยังสวมเสื้อเชิ้ตของพี่เอสอยู่ กะว่าจะคืนเจ้าของก็ไม่ได้คืนสักที ลืมแล้วลืมอีก
ตลอดสามวันสองคืนที่นี่ พี่เอสไม่ได้ทำตัวห่างเหินเพราะเรื่องคืนแรกเลยด้วยซ้ำ เขายิ่งให้ความสนิทชิดเชื้อ ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
เขาเลือกให้ความสำคัญในตัวผมมากกว่าใครๆ โดยที่ตัวผมเองไม่ต้องใช้ความพยายามฉกฉวยให้ได้มา
กระทั่ง เขาทำให้ผมลืมตระหนัก สร้างภูมิคุ้มกันไว้แต่เนิ่นๆ จะได้ไม่ต้องหนักหนาสาหัสอย่างอดีตเคยประสบพบเจอมา เพราะไม่ได้มองหาทางออกให้ตัวเองตอนถึงจุดสิ้นสุดทางรักแล้ว ยิ่งมาเป็นเขาคนนี้ ผมกลับไม่รู้อะไรถ่องแท้สักอย่างเดียว ควรจะอย่างไรกันแน่ เพื่อเตรียมใจไว้บ้าง
เขาไม่ลืมขอสิ่งที่ติดต่อกลับหาผมเป็นการส่วนตัวภายหลัง ถึงคราวเราต้องแยกจากกัน ผมมีกำลังกายและใจอย่างมาก ยกมือขึ้นโบกลากันตรงนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างเราจะยังคงสานต่อเรื่อยๆ แต่แบบไหนนั้น ผมไม่เคยตระหนักความสลักสำคัญจริงๆ สักครั้ง เพราะหลังจากนั้นมา เขาคอยถามไถ่สารทุกข์สุกดิบเกือบทุกเช้าสายบ่ายเย็นในแต่ละวัน
พอมีเวลานึกถึงผมขึ้นมา ว่าต้องการอะไรจากเขาบ้างไหม ผมขอได้อยู่กับเขาบ้างบางครั้งแล้วแต่ความสะดวก เขาพร้อมตกลงในทุกสิ่งอย่างต่อความต้องการของผม ไม่บิดพลิ้วหนีหายหน้าตลอดกาล อย่างเทียวไปมารับส่งผมมหา’ ลัย พากินข้าวดูหนัง ซึ่งขึ้นอยู่กับผมทั้งนั้น ไม่ขัดใจอะไรมากนัก ทุกๆ ครั้งหากเว้นว่างจากภาระหน้าที่ปะปังของตัวเขาเอง อย่างยินดีเสมอมา
เขาแสดงความแสนใจดีด้านเดียวให้ผมเห็น และเป็นเหยื่อไม่มีวันหลุดมือ
ไม่มีสัญญาณใดๆ เตือนจากเขาก่อนหน้าเลย ใครจะไปรู้ว่ามันคือความปกติครั้งสุดท้าย ตอนเดือนเมษายนที่ผ่านมา เขาส่งข้อความผ่านแมสเซนเจอร์ ชวนผมไปเที่ยวทะเลด้วยกันแค่สองคน ตอนนั้นมันยังเหมือนเดิมทุกๆ อย่าง
ขณะผมเดินลากเท้าบนผืนทรายละเอียดอ่อนยวบ สลับมองคลื่นซัดหาดสีขาวกับรอยทางใต้รองเท้าแตะหูหนีบ ท้องฟ้าสีฟ้าสดใส เมฆสีขาวปลอดตัดกับเส้นขอบทะเลสีฟ้าใสดุจภูเขาหิมะ แดดจัดจ้านในช่วงบ่ายโมง กระแสลมอบอ้าวไม่ขาดสายพัดพากลิ่นเค็มจากน้ำทะเลปะทะจมูก
ร่างเปลือยเฉพาะท่อนบน เผยความหนาแน่นของมวลกล้ามเนื้อนอนนอนเหยียดกาย ศีรษะหนุนต้นแขนบนเก้าอี้พับใต้ร่มเงาผ้าใบกาง สวมแว่นกันแดดสีน้ำตาลเข้ม ใบหน้าอยู่ในองศากำลังทอดมองมาทางผม ดั่งองค์ประกอบสลักสำคัญ ทำให้ทิวทัศน์ของสถานที่แห่งนี้สมบูรณ์แบบที่สุด ยากจะหาสิ่งอื่นใดมาเทียบเคียงแทนที่ผมได้
ผมคลี่ยิ้มมุมปากน้อยๆ ให้เขา
เขาหยิบหมวกฟางสานขึ้นสวม วิ่งก้าวยาวๆ ตรงมาทางผม
ผมกระโดดขึ้นขี่คอเขา เขาเอี่ยวหน้ามอง คางของผมวางพาดไหล่หนา
“ทำไมพี่ถึงดีกับผมจัง”
ผมกดจมูกลงแก้มเขา
“ก็เพราะเราน่ารักไง”
ใบหน้าผมเริ่มร้อนผะผ่าว แสงแดดฤดูร้อนไร้ปรานี ช่วยให้อาการหน้าแดงจากอาการขวยเขินย้อมทั่วใบหน้าเร็วขึ้นกว่าเดิม
“พี่รักผมไหม”
ผมถามออกไป กลับได้คำตอบไม่ตรงกับคำถามเท่าไร แต่พอเข้าใจว่าคือเหตุผลข้อหนึ่งก็เป็นได้
“พี่รู้สึกดีกับเรามากๆ เลยนะ เบล”
“ส่วนพี่ก็คือความประทับใจแรกของผมเลยนะ”
ผมบอกความในใจมีต่อเขาทั้งหมด
“พี่ดีใจนะ”
เขาแย้มยิ้มกริ่ม
“ที่ได้ยินแบบนี้กับหูตัวเอง”
“อีกอย่างหนึ่งเลย”
“ว่า”
“พี่คือผู้ชายโคตรจะตรงต่อความต้องการผมทุกๆ อย่างเลยน่ะนะ”
“อย่างเช่น”
ผมสาธยาย
“ตี๋”
สิ่งแรกในใจของผม
“สวมแว่น”
“สวมแว่น”
เขาทวนคำ
“ทำไมเราถึงชอบผู้ชายใส่แว่นล่ะ”
“ไม่รู้สิ”
ผมก็ไม่กล้าจะพูดตรงๆ ต่อหน้าเขานัก
“ก็อารมณ์ประมาณว่า คนใส่แว่นตาใครก็มองว่าเนิร์ด ก็ค่านิยมผิดๆ เพี้ยนๆ อะนะ สำหรับผมจริงๆ แล้ว มันดูน่าค้นหาเวลาอยู่ด้วยกันตามลำพังอะไรแบบนั้นน่ะนะ”
เขาพยักหน้ารับคำ
“พี่พอเข้าใจได้”
“ผมเองไม่ได้หมกมุ่นเรื่องตรงนั้นมากหรอกนะ พี่เอส เผื่อพี่อาจเข้าใจผมผิดอยู่ --- มันก็แค่…ไม่รู้สิ รู้สึกลุ้นดีมั้งนะ”
ผมพูดขัดขึ้นมาก่อน แก้ต่างให้ตัวเองดูดีเล็กน้อย
เขาหัวเราะค่อยๆ ตลกเห็นว่าผมกำลังร้อนตัวเกินกว่าเหตุ ทั้งที่เขายังไม่ได้กล่าวหาสักคำเดียว
“พี่ก็พิสูจน์ให้เราได้เห็นแล้วนี่”
เขากล่าว
“ว่าพี่ไม่ได้เนิร์ด”
“พี่เอสก็ ---”
ผมทำตัวไม่ถูก หัวสมองกลวงโบ๋ จนสรรหาคำพูดใดตอบโต้กลับที่ดีไปกว่า
“ผมไม่คุยกับพี่เรื่องนี้แล้ว”
“ไม่เห็นต้องเขินเลยนิ”
เขาแซว
“ก็มันคือความจริงนี่น่า”
“ก็นั่นแหละ”
ผมปัดประเด็นนี้ทิ้งเสียที
แล้วจึงล้วงโทรศัพท์มือถือออกจากกระเป๋ากางเกงขึ้นมา จิ้มนิ้วที่ไอคอนกล้องถ่ายภาพ
“ถ่ายภาพกัน”
เขาเหวี่ยงผมซึ่งเกาะอยู่บนหลังไปซ้ายทีขวา ในการจัดท่าเก็บภาพเริงร่า
ผมขอให้เขาบันทึกภาพเคลื่อนไหวของผม สลับกัน ของเขาไม่มากเท่าของผมนัก บางทีก็อยู่ร่วมมุมกล้องเดียวกัน เผยแพร่ช่วงเวลาสุดแสนประทับใจบนโลกออนไลน์ของผมคนเดียวเท่านั้น ทว่า เขากลับปฏิเสธอ้างเหตุผลอื่นให้มันฟังดูขึ้นที่สุดเท่าที่สามารถจนผมทำใจปล่อยผ่านไป ไม่ต้องการรบเร้าเสียอารมณ์ ทำลายบรรยากาศดีๆ เรามีร่วมแบบส่วนตัวนี้
หากผมเริ่มตั้งข้อกังขากับตัวเองเกี่ยวกับเขามากเท่าตอนรู้ความจริงแล้ว
ผมรักษาเขาประหนึ่งคำมั่นสัญญาตลอดชีวิต แต่สำหรับเขาเหมือนจะกดผมไว้เป็นเพียงความลับให้จมลึกลงไปถึงที่สุด
เขาเหลือเพียงเศษเสี่ยวเวลาน้อยนิด ที่เกี่ยให้ผมอย่างกับขอทานพักหลังๆ มานี้
ผมไม่กล้ารบกวนเขามากเกินไป เหมือนเด็กเรียกร้องหาความใส่ใจจากคนที่รักสุดหัวใจ จนกลายเป็นตัวก่อความวุ่นวายในชีวิตเขา
กระนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับเขาไม่เคยมีความชัดเจนมาตลอด ไม่เทียบเท่ากับการกระทำของเขาเลยสักนิด
เขาจะตระหนักบ้างไหมนะ กำลังทำให้คนคนหนึ่งกระวนกระวายใจจนแทบคลุ้มคลั่ง เพราะความเสมอต้นเสมอปลายของเขาหายไปจากผม กว่าจะตอบข้อความกลับ ใช้ระยะเวลาเนิ่นนานกว่าเดิมหลายเท่า ต่อให้ธุระส่วนตัวรัดกุมดิ้นไม่หลุด ยังสละเวลาส่งข้อความขอโทษขอโพยยกใหญ่ ขอโอกาสแก้ตัว
ผมไม่ถือสา ยกโทษเขาได้ทุกครั้งไป อย่างไรเขาก็ซื่อสัตย์และมีผมคนเดียว ยิ่งครั้นที่หายหน้าไปกว่าจะได้เจอหน้ากัน ช่างแสนสั้นเหลือเกินจะเก็บเกี่ยวความสุขสมอิ่มเอมใจ ซึ่งแต่ละครั้งอยู่ด้วยกันในสถานที่ของผม เขายังปฏิบัติกับผมปกติทุกๆ อย่าง ปราศจากพิรุธอื่นใด ให้สลัดทิ้งความน่าใจหายทั้งเคลือบแคงระคนไปสิ้น ตอนที่เฝ้าคอยการมาเยือน
ผมมักได้รับข้ออ้างในไม่กี่ประโยคประจำตัวเขาทุกทีที่อ้าปากพูด --- พี่ขอโทษนะ เบล --- ช่วงนี้พี่ไม่ค่อยมีเวลาว่างเลย --- พี่ผิดเองแหละ หากเราจะน้อยใจที่พี่เปลี่ยนไปจากเดิม ให้เวลากับเราน้อยลง ไม่สม่ำเสมอเหมือนก่อน แต่เราไม่โกรธพี่นะ --- พี่ก็คิดถึงเราพอๆ กับที่เราคิดถึงพี่นั่นแหละ แต่พี่คิดถึงเรามากกว่าน่ะนะ --- พี่ก็ยังต้องการเราเหมือนเดิมนั่นแหละ ไม่เปลี่ยน เชื่อพี่สิ ---
และผมก็ใจอ่อนอยู่ร่ำไป อภัยเขาโดยละเลยความสงสารหัวใจตัวเองเสียสนิท แม้จะไม่เคยได้ยินคำว่ารัก เพื่อยืนยันความสัมพันธ์เขามีต่อผมอย่างไร
ในความลดน้อยถอยหลัง เริ่มส่งผลกระทบให้ภาพของเขาในวันวานเหล่านั้นที่ผมมี กำลังค่อยๆ เลือนรางต่อความรู้สึกว่าเป็นอย่างไรมาบ้าง ใบหน้าเขาที่เคยเด่นชัดกลับพร่ามัว จนยากจินตนาการความคุ้นเคยกัน
ระหว่างผมกำลังเดินลงจากอาคารเรียนคณะนิเทศศาสตร์ หลายวันมาแล้ว ผมต้องเดินทางกลับหอพักคนเดียวลำพังอย่างเปลี่ยวเหงา ไร้เงาคันรถของเขามาคอยจอดรอที่ลานจอดรถไม่เว้นวัน มือรังแต่คลำกระเป๋ากางเกงสแล็กสีดำข้างขวาทุกๆ วินาที สติสตังไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวเท่าไร รอคอยการสั่นเตือน เมื่อไรมีสายเรียกเข้าจากปลายสายที่หดหาย
ผมลุกลี้ลุกลนเกือบทำโทรศัพท์มือถือร่วงหลุด รีบพลิกดูว่าเจ้าของปลายสายคนนั้นคือใคร
แต่แล้วผมดันทำตัวเองผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า เหมือนกับที่หลอกตัวเองแล้วหลอกตัวเองอีก ว่ารถคันดำเลขทะเบียนนี้ของเขา อาจรอรับอยู่ที่ลานจอดรถ ลืมโทร. บอกล่วงหน้าจะมาวันนี้
ผมรับสายพี่ชาย
“พี่มีอะไรหรือเปล่า”
ผมมักชอบเข้าประเด็นเลยทันที หากต้องพูดสายกับพี่ชาย ไม่บ่อยนักจะได้สัพเพเหระกันบ้าง
“นี่กูจะโทร. หามึงโดยไม่มีเรื่องพูดคุยเรื่อยเปื่อยไม่ได้เลยเหรอไงวะ”
“ไม่ต้องมาเล่นลิ้นได้ปะวะ”
ผมที่เสียอารมณ์อยู่ก่อน
“มึงเป็นเหี้ยอะไรของมึงอีก ไอ้เบล”
อีกฝั่งใคร่ฉงนระคนเป็นห่วง
“จะรีบไปไหนหนักหนา ทำตัวเวลามีคุณค่ากว่าพี่ชายมึงเสมอเลยนะ”
“ช่างเรื่องผมเถอะ”
ผมขี้เกียจนอกเรื่อง ต่อความยาวสาวความยืดให้เสียเวลา
“ว่าเรื่องของพี่เลยดีกว่า”
“เออๆ ---”
เขามีน้ำเสียงหงุดหงิด
“ก็ได้วะ --- ว่าแต่มึงรู้วันเกิดไอ้เอสไหม หรือมันเคยบอกมึงบ้างหรือเปล่า”
“ไม่อะ”
“กูก็จะบอกมึงเรื่องนี้นั่นแหละ”
เขาสรุป
“แล้วทำไมพี่ต้องเป็นคนโทร. มาบอกผมเองด้วยวะ”
แม้เขาไม่ได้อยู่ต่อหน้า ผมสัมผัสได้ถึงอาการกระอักกระอ่วนใจ ละล่ำละลักจะเอื้อนเอ่ยบางอย่างน่ากลัวขั้นสุดออกมายากลำบาก
“เรื่องแค่นี้พี่เขาก็โทร. มาบอกผมเองก็ได้นิ”
“เออๆ ---”
เขาชิงเปลี่ยนเรื่องทันควัน
“ว่าแต่มึงจะไปซื้อของขวัญให้มันไหม”
เขาถามเป็นเชิง ให้อำนาจการตัดสินใจด้วยตัวเอง
“อย่างน้อยๆ มันอาจจะดีใจก็ได้น่ะนะ”
“อือ”
ผมตอบรับ แม้ว่าในหัวของผมจะว่างเปล่า ผมยังอยากหาเรื่องไปเจอเขาอีกสักครั้ง อีกประการหนึ่งก็หวาดกลัวใจตนเอง หากต้องเผชิญกับเหตุการณ์ทำร้ายความรู้สึกกันซึ่งๆ หน้า เพราะการถูกห่างเหิน จะมีสักกี่เหตุผลดีๆ ช่วยไม่ทำให้วิตกจริต
“แล้วเขาจะจัดงานที่ไหนอะ”
“กูกะจะไปรับมึงพอดี”
เขาบอกเกริ่นก่อน
“แล้วตอนนี้มึงเลิกเรียนยังอะ”
“เลิกแล้ว”
“อ่า”
เขากล่าว
“มึงรอกูอยู่ที่มหา’ ลัยนั่นแหละ กูกำลังออก ไม่น่านานหรอก --- มันชวนไปรวมตัวกันที่ร้านเหล้าขาประจำสมัยเรียนมหา’ ลัยน่ะนะ”
พอใกล้สองทุ่มครึ่งโดยประมาณ พี่บอลถูกเจ้าภาพงานวันเกิดโทร. ตามตัวยิกๆ ในความรู้สึกลึกๆ ผมกลับไม่อยากไปเสียแล้ว บอกให้เขาปล่อยผมลงตรงนี้ เดี๋ยวหาทางกลับหอพักเอง ถึงอยากเจอหน้าค่าตาเขาตอนนี้ว่าเป็นอย่างไร ตอนไม่มีผมอยู่เคียงข้างเหมือนเมื่อก่อน เขาคงสบายดีทั้งมีความสุขแหละ และปราศจากความคิดถึงผมแล้วก็ได้ ผมไม่เหลือแม้แต่ความกล้าไว้รวบรวมทำอย่างนั้นได้อีก
เพราะเขาไม่คำนึงถึงผมเลยสักคำเดียว
ผมโคตรขี้ขลาดในทุกๆ ทาง หายใจไม่ทั่วท้องรู้สึกมวนประดังประเด นั่งนิ่งราวกับหุ่นขี้ผึ้งด้านข้างคนขับ แสงไฟท้ายรถจากคันหน้าอาบเข้ามาถึงข้างใน ภายในรถมืดๆ เปิดเพลงคลอเบาๆ ผ่านบลูทูธเชื่อมกับโทรศัทพ์มือถือราคาสูงและนิยมใช้กันดาษดื่น ในมือสองข้างของผมกำห่อกระดาษของขวัญวันเกิดแน่น จนไร้สีเลือด
พี่บอลเคลื่อนรถช้าๆ เข้าเทียบซอง เขาดับเครื่องยนต์ มองหน้าผม มีความนัยซ่อนเร้นไม่ยอมบอกกล่าวสักที
“มึงไม่เป็นไรนะ”
ผมหันมองหน้าเขา วินาทีอันมีแรงกดดันกดทับร่างกายบี้แบนที่สุดในชีวิตของผมแล้ว
ผมพยักหน้า กำลังใจไม่พรั่งพร้อมก็ตามที
“มึงพร้อมนะ”
“พร้อมอะไร”
ผมพูดเสียงห้วนๆ แตกพร่า แกล้งทำเป็นไม่เข้าใจไปงั้นแหละ ทุกอย่างมันกำลังคลี่คลายด้วยตัวของมันเอง เหตุผลเขาปิดบังผมมาตลอดเพื่ออะไร ระหว่างเราสถานะมันไม่เคยมีเข้าใจจริงๆ สักคนว่าเป็นแบบไหน หรือเขารู้ตัวมาตลอดว่าให้ความหวังผมมากเกินไป ทั้งที่ตัวเองไม่ได้ตั้งใจ กลัวผมจะเสียใจ ถ้าผมต้องมารู้เห็นกับตาตัวเอง มันย่อมเสียใจแสนสาหัสเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้วล่ะ เขาคือคนที่ผมให้หัวใจดวงนี้ไปอย่างโคตรง่ายดาย โดยขาดความยั้งคิดจะหวงแหนเลยสักนิด กระนั้น ไม่ได้คาดหวังเขาจะไม่ทำร้ายมันในภายหลัง
สรุปแล้วเมื่อไม่ได้คาดหวัง แต่ก็แอบคาดหวังค่าของมันเท่ากันจริงๆ
เพื่อนพ้องของเขามากหน้าหลายตา ทั้งที่เคยเจอหน้ามาบ้างประปราย และไม่มักคุ้นรู้จักมาก่อนเลย มีอยู่ไม่กี่คน ผมรู้สึกแปลกแยกในทันใด ยากจะเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มพวกเขา ไม่ใช่เพราะผมอายุน้อยกว่าหลายปี ความสนิทสนมกับคนอื่นๆ ยังน้อยแต่อย่างใด ปัญหาจริงๆ แล้ว มันอยู่ตรงเขากับหญิงสาวร่างบางนั่งแนบชิดปานหลอมรวม นิ้วเล็กเรียวของเธอสางผมเขาเล่น แววสุดคาดฝันในประกายดวงตาตกตะลึงเขา กลับมีเงาสะท้อนผมอยู่บนนั้นคนเดียวเท่านั้น
สรรพเสียงรอบตัวอู้อี้ ราวกับดังมาจากที่ไกลแสนไกลออกไป ผมหัวมึนตื้อ ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองต่อสิ่งเร้า พี่ชายเขย่าไหล่ผม จนสามารถหลุดจากภวังค์ชั่วกัปชั่วกัลป์ รู้ตัวอีกทีเขาได้เสมองทางอื่นแล้ว
โสตประสาทของผมกลับมาได้ยินเสียงต่างๆ ปกติดีอีกครั้ง
ผมยกยิ้มเจื่อน จิตใจเริ่มไม่สู้ดีนัก ครั้นเขาชำเลืองมองผมอีกรอบ
เขาเก็บซ่อนความรู้สึกไม่เก่งเสียทีเดียว
“น้องหรือมึงซื้ออะไรมาเป็นของขวัญวันเกิดให้ไอ้เอสมันวะ”
พี่บอลไม่ขานตอบ เขาคงรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่กระมัง
ผมยื่นห่อของขวัญสีแดงสด หลังเปลี่ยนใจไม่ซื้อของขวัญชิ้นอื่นให้ ทำเอาพี่บอลงงงวยหนัก เห็นของขวัญนำติดตัวมา ผมแวะไปซื้อมาตั้งแต่เมื่อไร ของขวัญชิ้นนี้ผมไม่ได้ซื้อ จงใจจะคืนของที่เป็นของเขา มันถูกรักษาเป็นอย่างดี --- ยับยู่ยี่ยื่นส่งให้เขารับมันไป
“ผมให้ครับ”
ผมพยายามข่มเสียงเริ่มสั่น
“เป็นของขวัญวันเกิด”
ผมปรี่เข้าหาพี่ชาย มองเขาผ่านนัยน์ตาว่างเปล่า เขาคงรู้สึกผิดร่วมด้วยไม่น้อย หากเป็นความหวังดีไร้ความปรานีใดๆ
ห้องน้ำชายร้างไร้ ยืนเท้าขอบอ่างล้างหน้า โยกเยกตัวเองไปมา ไม่รู้เพื่ออะไร
เสียงฝีเท้าเร่งรีบกระทบพื้นกระเบื้องหน้าทางเข้าห้องน้ำชาย ผมหันขวับ เห็นเขายืนจ้องมองห่างจากผมไม่กี่ก้าว ก่อนตัดสินใจเดินก้มหน้างุดเข้ามาใกล้
แขนข้างหนึ่งเลื้อยโอบเอวผมแนบแน่น ซบหน้ากับไหล่
“ไว้พี่จะไปหาเราที่ห้องนะ”
เขาบอก
ผมต้องการพูดอะไรสักอย่างเด็ดขาดจากใจ เปรียบกับมีดคมปลาบ เฉือนอะไรก็ตามถูกล่ามโซ่พันธนาการไว้กับเขาให้ขาดสะบั้น เช่นเคย ไม่มีคำพูดใดๆ อยู่ในหัวจะโพล่งออกไป แต่มันสูญสิ้นความหวังของการกลับมาเป็นเหมือนก่อน หรือเขายังเคยเป็นของผมเพียงคนเดียวอีกแล้ว
“คืนนี้”
พี่บอลดื่มพอหอมปากหอมคอเป็นมารยาท เพื่อจะได้ขับรถส่งผมกลับหอไหว ก่อนงานเลี้ยงวันเกิดเลิกคงอีกหลายชั่วโมง เขาไม่รู้ว่าให้ผมฝืนทรมานทรกรรมหัวใจตัวเองต่อไปเพื่ออะไร ตรงมุมๆ หนึ่งลับสายตาจากทุกคนห้อมล้อม
“กูขอโทษว่ะ”
เขาตบบ่าเบาแรง บีบเบามือปลอบประโลมจิตใจแหลกสลาย ถูกทำร้ายสาหัสสากันกว่าครั้งไหนๆ บาดแผลฉกรรจ์ครั้งนี้คงต้องใช้เวลาอีกยาวนานกว่าจะเยียวยาหาย ทว่า ทิ้งร่องรอยนี้ไว้ไม่ให้ลืมเลือน หากบังเอิญเห็นมันเข้า
“รู้งี้กูไม่น่าพามึงมาด้วยเลย แม่งโคตรรู้สึกผิดฉิบหาย”
“ไม่ช้าก็เร็วผมก็ต้องรู้อยู่ดีปะวะ”
ผมแก้ต่าง
“ไม่เกี่ยวเหี้ยอะไรกับพี่หรอก แต่ผมก็ขอบใจพี่มากๆ นะเว้ย”
“กูควรจะรู้สึกดีกับคำขอบคุณของมึงได้ยังไงวะ”
เขายังสลัดความผิดมหันต์ไม่ได้ ประหนึ่งตราบาปตอกลงกลางใจ
“กูที่ทำร้ายน้องชายตัวเองมาหนักหนาขนาดนี้น่ะนะ”
“อย่างน้อยๆ ---”
ผมเกริ่น
“พี่ก็ทำให้ผมกระจ่างในความจริงนิ ที่แม่งคลุมเครืออยู่ในใจของผมมานาน อะไรที่เปลี่ยนพี่เขาไปมากขนาดนั้นน่ะ”
“กูถึงบอกให้มึงเผื่อใจเอาไว้บ้างไง”
“เผื่อใจ”
ผมเน้นที่คำนี้เฉพาะเจาะจง นึกขำอันน่าตลกร้าย
“พี่เองเคยรักใครมากๆ โดยหลงลืมการเผื่อใจบ้างไหมล่ะ ทำพูด”
“สัตว์”
เขาใช้ศอกศอกศีรษะผมเบาๆ ทีเล่นทีจริง เสียงหัวเราะน้อยๆ จากพี่ชาย ช่วยให้ผมมีมันได้ แต่คงอยู่กับผมได้ประเดี๋ยวเดียว ก็มลายหายเหลือเพียงความว่างเปล่า ในท้ายที่สุดแล้ว ความโศกเศร้าทวงคืนพื้นที่ในตัวผมอีกครา
“มึงนี่แม่งก็นะ”
“ก็จริงปะวะ”
“เออ ---”
เขาโพล่ง
“ว่าแต่ --- มึงอยู่คนเดียวได้ปะเนี่ย”
“ได้ดิ”
ผมสามารถตอบได้เต็มปาก ในเวลาแบบนี้นั้น ผมรู้สึกอยากอยู่ตามลำพังน่าจะดีกว่า ใช้ความว่างเปล่าภายในห้องเงียบเหงา อยู่กับความคิดของตัวเองมากขึ้น ไม่รู้จะนานเท่าไรก่อนเขาอาจมาหา เป็นการทิ้งท้ายความสัมพันธ์ไม่ชัดเจนระหว่างเราลง
“เออ”
พี่บอลต้องใช้ความพยายามถึงที่สุด ในการเชื่อใจผมให้ได้
“ยังไงก็ดูแลตัวเองดีๆ ล่ะ มีอะไรก็โทร. มาหากูได้ยี่สิบสี่ชั่วโมง”
“ขอบใจมากว่ะ พี่”
ผมกล่าวสุดซึ้ง
“ก็มึงน้องกูนิหว่า”
มือเขาขยี้ศีรษะผมจนยุ่งเหยิง
“แต่กูก็ยังเสียใจอยู่เรื่องหนึ่งว่ะ”
น้ำเสียงเขาแผ่วเบาด้วยความสลดใจ
“พี่รู้มานานแค่ไหนแล้ววะ”
ผมพุ่งประเด็น เหมือนโยนลูกดอกเข้ากลางเป้าเลยทีเดียว
“สักพัก”
“แล้วทำไมเขาถึงไม่เป็นคนมาบอกผมเองวะ”
“มันคงกลัวว่ามึงจะเสียใจก็ได้มั้ง”
อาการของเขาคงเดาสุ่ม
“มันคงจะรู้ตัวแหละ ให้ความหวังมึงไว้มากขนาดไหน”
ผมส่ายหน้า
“ช่างแม่งเถอะ”
ผมตัดบท
“แต่กูก็สั่งห้ามมันแล้ว ว่าอย่ามายุ่งยากกับมึงอีกเด็ดขาด”
“แล้วพี่จะทำอะไรได้วะ”
ผมคิดไม่ออกแทนเจ้าตัว
“เขาก็เพื่อนสนิทพี่นิ”
“กูไม่มั่นใจเท่าไรหรอกนะ”
เขาชั่งน้ำหนักในใจ
“เท่าที่กูดูๆ เหมือนมันจะไม่สนใจคำพูดกูด้วยซ้ำ มึงคิดว่ากูจะทำไรจริงๆ จังๆ ได้เหรอวะ กูรู้ตัวว่าคอยเป็นไม้กันหมาไม่ได้ตลอดหรอก มึงก็มั่นใจแบบนั้นใช่ปะละ มึงถึงได้พูดแบบเนี้ยออกมาตัดกำลังกู”
“อือ”
ผมให้คำตอบ
“ถ้ามันจะรั้งมึงไว้”
เขาทายความน่าจะเป็น
“มึงก็อย่าไปบ้าจี้ยื้อไว้อีกล่ะ มีมึงคนเดียวเท่านั้นที่จะต้องเจ็บ”
ผมพยักหน้ารับคำเงียบๆ
พี่ชายผมฝากความเป็นห่วงเป็นใยทิ้งท้าย ก่อนจะให้ความอ้างว้างในห้องห่อหุ้มหัวใจห่อเหี่ยว
“หากมันยังมาทำให้ชีวิตมึงลำบาก ก็บอกกูได้นะ มันควรทำให้มึงลืมมันให้ได้ เพื่อมึงจะได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ ไม่ใช่เก็บมึงไว้เป็นความลับของมันแบบนี้เรื่อยๆ”
ผมนั่งอยู่ตรงขอบเตียง ไม่รู้อะไรทำให้ผมว้าวุ่นว่าเขาจะมาตามคำพูดจริงหรือไม่ ผมปราศจากความหวังใดๆ คอยทำร้ายตัวเองร่ำไปแล้ว
เที่ยงคืนผมยังหลับตาไม่ลง แม้จะทิ้งตัวลงนอนได้ยากมากๆ
อยู่ๆ เสียงเคาะประตูก้องสะท้อนเข้ามายังดินแดนเงียบวิเวกของผม
ผมตื่นตัวที่หลุดออกมาจากภวังค์ว่างเปล่า คงไม่มีใครอีกแล้วมาในเวลาดึกดื่นเช่นนี้
ประตูห้องถูกเปิดอ้าช้าๆ ผมสอดสายตาสำรวจออกไป ดวงตาของเขาและผมสบประสานกันอึดใจเดียว
“พี่ไม่ได้มารบกวนเวลานอนของเราใช่ไหม”
เขาต้องการการยินดีต้อนรับจากผม ซึ่งผมกลับทำตัวไม่ถูกว่าควรจะอย่างไรดีเป็นสิ่งแรกเริ่ม ตอนเขายืนอยู่ตรงนี้จริงๆ มิใช่เพียงภาพลวงตา สร้างตัวตนเขาขึ้นมาแต่อย่างใด เมื่อไม่เหลือความดีใจที่เขายังทำตามคำพูดให้ไว้อีกแล้วก็ตาม ความรู้สึกผมกำลังตายด้าน ในใจของผมมีแค่ความไม่ต้องการเจ็บปวดเพราะเขาอีกต่อไป หัวใจมันอ่อนแอจนถึงที่สุด
ผมส่ายหน้า
“พี่ขอเข้าไปได้ไหม”
ผมหันหลังกลับเดินเข้ามาก่อน ให้เขาผลักประตูเข้ามาเอง
“พี่ขอโทษ”
เขาพูดมาจากด้านหลัง
“ที่พี่ไม่บอกกับเราเรื่องนี้”
“ผมไม่เป็นไรแล้วล่ะ”
ผมไม่รู้ว่ารู้สึกอย่างที่พูดออกไปจริงๆ ไหม รู้แค่ว่าผมตอบอะไรตัวเองไม่ได้มากนัก
“ถ้าพี่จะมาเพราะเรื่องนั้น”
ผมเปล่งเสียงความในใจอัดอั้นเต็มอกออกมาให้หมดตรงนี้
“พี่ไม่ต้องรู้สึกผิดหรอก ผมผิดที่หวังเรื่องพี่มากไปเอง รู้ทั้งรู้ว่ามันจะเป็นไปไม่ได้ เพราะพี่ไม่เคยให้ความสัมพันธ์ที่แน่นอนกับผมก่อนอยู่แล้ว และพี่ก็ไม่ได้เป็นอย่างที่จะรักผมเปิดเผย หรือยอมรับในตัวพี่เองได้จริงๆ ผมควรรู้ทั้งหมดนี้อยู่แก่ใจดี แต่ไม่เคยเผื่อใจมันไว้เลย เพราะพี่ไม่เหมือนใครที่เคยผ่านเข้ามาในชีวิตของผมสักคน”
เขาคือสิ่งที่อันพิเศษ หาได้ยากมากๆ หากเขาเป็นคนที่มองหาเจอได้ดาษดื่นน่ะนะ ผมคงไม่ต้องรู้สึกสูญเสียอะไรไปหลายอย่างได้ขนาดนี้ จะไม่นึกเสียดายเลยสักนิด
เขาโถมเข้าโอบรัดผมจากข้างหลังแนบชิด
“พี่ยังต้องการเราอยู่นะ”
เขากระซิบข้างใบหู
ผมอยากจะร้องไห้เสียให้รู้แล้วรู้รอด ไม่รู้ทำไมถึงไม่มีน้ำตาสักหยด ไม่ใช่การร้องไห้ฟูมฟายเหมือนคนหัวใจแหลกสลาย เรียกร้องความเห็นใจไม่มีวันหวนกลับคืนมา สิ่งที่เป็นการร้องไห้สำหรับผมจริงๆ เพื่อต้องการปลดปล่อยทุกความเศร้าเสียใจอย่างอิสระ ไม่กักเก็บไว้ตลอดกาล ร้องไห้ย้ำเตือนตัวเองนั้นอ่อนแอเป็น
การไม่เห็นน้ำตาผมตอนนี้ ใช่ว่าผมคือคนแข็งแกร่ง โดยไม่รู้สึกรู้สาอะไรทั้งสิ้น ที่ใครต่อใครจะผ่านเข้ามาทำให้รู้สึกดีในทีแรก และทำร้ายกันในภายหลัง เพราะมันไม่ปรารถนาได้รับความบาดเจ็บใดๆ อีกเลย ผมมีเพียงความรู้สึกรำคาญอันน่าหงุดหงิดในตัวเองเสียมากกว่า มันตีกันไปมามั่วซั่ววุ่นวาย
“เพราะอะไรที่ทำให้พี่ยังต้องการผมอยู่กันแน่”
ผมต้องการความชัดเจนประเด็นนี้ มันช่างน่างุ่นง่านในอารมณ์
“ความรู้สึกดีๆ ที่เรามีให้พี่”
“มันยังสำคัญกับพี่อยู่อีกเหรอครับ”
เขาพยักหน้า
“สำคัญสิ สำคัญกับพี่มากด้วย พี่ถึงยังทำใจจะปล่อยเราไปไม่ได้จริงๆ นะ”
การที่เขาขอให้ผมอยู่ต่อ ไม่รู้ตรงไหนในชีวิตเขา มันช่างเป็นความจริงแสนโหดร้ายโดยสมบูรณ์แบบ หากเขาจะหันหลังจากผมไปเลย ด้วยคำว่าเลิก ระหว่างเราคงไปต่ออย่างสวยงามไม่ได้เป็นแน่ ผมจะรู้สึกปลอดภัยซะกว่าบนพื้นอันไม่มั่นคง ขณะตัวเองกำลังยืนอยู่ เขาคงไม่รู้หรอก คิดว่าการให้โอกาสผม เป็นเรื่องแสนใจดีจากเขา ความสุภาพบุรุษที่เขามี ย้ำความผิดของตนทำลงไปกับผม ซึ่งต้องรับผิดชอบความเสียใจครั้งนี้ แล้วเขาจะตระหนักบ้างไหมนะ มันคืออาวุธอันตรายในมือ ที่เอาไว้ใช้ฆ่าผมอย่างไรความปรานี ไม่ใช่เพื่อเยียวยารักษา
“พี่ปล่อยผมไปเถอะ”
ผมขอร้องอ้อนวอน
“พี่ขอโทษ”
ผมพยายามจะแกะมือของเขาออกจากกัน ผละตัวเองจากอ้อมกอดที่เคยอบอุ่น ยิ่งดิ้นรนหลุดพ้นจากพันธนาการนี้เท่าไร เขายิ่งรัดมันไว้แน่นขึ้นหลายเท่า ตลอดกาลที่ไม่มีอะไรมาพรากผมไปจากเขาง่ายๆ
ผมร้องขอประโยคเดิมซ้ำๆ
“พี่ปล่อยผมเถอะนะ ผมขอล่ะ”
เขาก็สวนกลับด้วยประโยคเดิมๆ เหมือนกัน ปิดหูไม่รับอะไรเข้าไป
“พี่ขอโทษ”
ในการกล่าวโทษตัวเองของเขา กำลังทำให้ผมรู้สึกผิดเสียแทน ทั้งที่ผมไม่ได้เป็นคนก่อ เขากลับกลายเป็นคนที่ควรถูกได้รับความเห็นใจ มันก็ควรจะเป็นผมสิ
“พี่เสียใจจริงๆ นะ เบล พี่ขอโทษ พี่รู้ว่าพี่มันคนเห็นแก่ตัวมากขนาดไหน แต่เรายังเป็นคนเดียวเสมอมาที่พี่ต้องการ”
ผมเชื่อในคำพูดของเขาได้แน่นอน แต่ควรฉลาดและไม่ยอมใจอ่อน เลือกเดินจากไปเองแน่วแน่
“พี่พอกับผมแค่ตรงนี้เถอะนะ”
ผมขยับหันหน้าในอ้อนแขนของเขา
“พี่ต้องเป็นคนบอกเลิกกับผมได้ไหม เพราะผมบอกเลิกกับพี่ไป มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย ผมไม่ได้เป็นอะไรกับพี่ และเราก็ไม่ได้เป็นของกันและกันจริงๆ ด้วยซ้ำ ผมไม่อยากหลอกตัวเองอีกแล้ว”
เขาไม่มีทีท่าจะลดราวาศอก ต่อความปรารถนาสูงสุดของตนเลย
ประโยคสุดท้ายของผม ก่อนจะทำให้เขาเลิกดื้อรั้น แค่จากผมไปในคืนนี้เท่านั้น
“ผมจะนอนแล้ว”
ผมพูดเสียงราบเรียบ
“พรุ่งนี้ผมต้องมีเรียนเช้า”
เมื่อเขาได้รับอิสระจากความลับถูกเปิดเผย เขาจึงใช้โอกาสตรงนี้ ไม่กลัวอะไรอีกทั้งนั้น ไม่หยุดที่จะติดต่อ แวะเวียนมาหาถึงห้องบ้าง เทียวคอยไปรับไปส่งตลอดผมศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัยแห่งนี้
ผมหลีกหนีจากเขาไม่ได้ตลอด แต่ให้บ่อยครั้งจนเขาเริ่มรู้สึกเหนื่อยล้าจากการวิ่งไล่ตามหาผม แล้วถอดใจไปเสียเอง
ผมเกือบเชื่อเสียสนิทใจแล้วว่า เขาได้สาบสูญไปจากโลกใบนี้ชั่วกาล
หากเขาไม่ได้ยืนอยู่ตรงนั้น
กับเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีเบจตัวนั้น มันจะยังคงมีกลิ่นกายของผม ในครั้งแรกที่สวมใส่ เขาจดจำได้หรือไม่นะ
สายตาจ้องมองตรงมายังผมไม่ไหวติง
ใต้เงาของตึกอาคารสี่ชั้นทาบทับลงมา แม้แสงแดดของบ่ายวันจะร้อนแรง สายลมหอบหนึ่งพัดพาความหนาวเย็นเดือนธันวาคม ปะทะร่างสวมเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนแขนยาว เส้นผมสีดำขลับบางเส้นพลิ้วไหว
เขายืนอยู่ตรงนั้นจริง กับเธอคนนั้นที่แสนยาวนานควงแขนเขา
เมื่อไฟสัญญาณข้ามถนนปรากฏสีเขียวสว่างโร่ รถราชะลอความเร็ว จอดติดเครื่องคอยการไปต่อ ส่วนบางคันเพิ่งมาถึง ต้องหักห้ามใจในความรีบร้อนไว้ก่อน
ฝีเท้าผมไม่ได้เร่งรีบ อยากให้ทุกอย่างในโลกเคลื่อนที่ช้าลง ไม่ปล่อยให้ผมหรือเขาเคลื่อนเข้าใกล้กันเร็วเกินไป ไม่ว่าช้าหรือเร็วอย่างไร ผมต้องเผชิญมันด้วยความกล้าแกร่งอยู่ดี
เขาคือบาดแผล ต่อให้เยียวยาจนหายขาดแล้ว มันยังทิ้งรอยแผลเป็น ซึ่งสลักดั่งรอยสักอัปลักษณ์ชั่วชีวิต ตรงจุดที่ผมลืมเสียสนิทแล้ว มันอยู่ตรงไหนบนเรืองร่างของผม แต่ครั้นบังเอิญเห็นมันเข้า
ผมกลับจดจำทุกเรื่องราวที่เป็นตัวการสำคัญ ครั้งหนึ่งทำให้เกิดรอยแผลเป็นนี้ขึ้นมาได้อย่างไร
มันจดจำได้ดี --- ได้ดีเกินไปเสียด้วยซ้ำ
ชั่ววินาทีนั้น ผมกับเขาสวนผ่านกัน ผมรู้สึกถึงสายตาแอบชำเลืองมองผม บัดนี้สำหรับผม เขาเป็นเพียงอากาศธาตุมองไม่เห็นเท่านั้น ทว่า สัมผัสได้จากปลายนิ้วชี้ถูกยื่นจะแตะเฉียดๆ ได้เพียงแค่นั้น แต่ในความตั้งใจแน่วแน่ของเขา ต้องการกุมมือผมเหนียวแน่นกว่าเดิม เพื่อทดแทนครั้งเคยพลั้งพลาด ปล่อยผมหลุดหายอย่างไม่ตั้งใจตอนนั้น
คงเป็นจริงไม่ได้อีกต่อไป
ติดตามงานเขียนเรื่องสั้นอื่นๆ ได้ที่
โฆษณา