15 ธ.ค. 2022 เวลา 13:40 • กีฬา
จากบอลโลกครั้งนี้ คงอดไม่พูดถึงทีมสิงโตแห่งแอตลาส อย่างโมร็อคโกไม่ได้ ซึ่งมีนักเตะคนหนึ่งที่เล่นได้อย่างโดดเด่นในแผงกองกลางอย่าง Amrabat
6
หลายคนอาจจะสงสัยว่านักแตะคนนี้ดังมานานแล้วหรือไม่ เพราะเคยได้ยินชื่อนี้มาเป้น 10 ปีกับหลายสโมสรในยุโรป ทั้ง Watford, PSV, Galatasaray ไปจนถึง Al-Nassr ทีมที่กำลังมีข่าวกับ Ronaldo
11
แต่ที่จริงคนข้างต้นคือ Nordin Amrabat ผู้เป็นพี่ (อายุ 35 ปี) ซึ่งเลิกเล่นให้กับทีมชาติไปแล้วตั้งแต่ปี 2019
9
ส่วนคนที่กำลังเล่นให้ทีมชาติปัจจุบันคือ Sofyan Amrabat คนน้อง (26 ปี) ปัจจุบันค้าแข้งกับ Fiorentina
11
ที่วันนี้จะยกมาคือความสู้ชีวิตของคนพี่อย่าง Nordin ที่มีโรคที่มีผลกระทบต่อการเล่น Football คือโรค Osgood-Schlatter Disease หรือโรคเข่าปูดในวัยเด็ก ทำให้ต้องหยุดเล่นฟุตบอลไประยะหนึ่ง ก่อนจะกลับมาเล่นอีกครั้งจนถึงปัจจุบัน
9
โรคหรืออาการ Osgood-Schlatter Disease/Symptom (อ๊อสกูด ชแล็ตเตอร์) หรือเรียกสั้นๆว่า OSD คือโรคปุ่มกระดูกหน้าแข้งอักเสบ
9
ชื่ออาการนี้ตั้งชื่อตามนายแพทย์สองท่าน (Dr. Robert Bayley Osgood จาก Harvard University และ Dr. Carl Schlatter จาก University of Zurich) ที่ได้พบโรคหรืออาการนี้เมื่อปี 1903 เกือบ 110 มาแล้ว ถือว่าไม่ใช่เรื่องใหม่ในวงการแพทย์ อาการโดยทั่วไปเริ่มจากเจ็บเข่าที่ปุ่มกระดูกด้านหน้า เมื่อกดปุ่มนูนที่ใต้หัวเข่าแล้วมีอาการเจ็บ นั่งคุกเข่าไม่ได้ เพราะปุ่มที่ปูดนูนถูกกดทับ รู้สึกเจ็บเมื่อเดินขึ้นบันได มีอาการเจ็บเมื่อกระโดด หรือมีการยืดเหยียดหรืองอบริเวณหัวเข่าอย่างรวดเร็ว
8
กล่าวโดยสรุปลักษณะของโรคเข่าปูดคือมีอาการปวดเข่า (knee pain) และบวม (swelling) ที่ใต้หัวเข่าลงไประยะประมาณ 2-3 นิ้ว ซึ่งเกิดจากแรงดึงของเส้นเอ็นที่ยึดติดกับกระดูกสะบ้าหัวเข่า (Patellar Tendonitis ) กับกระดูกหน้าแข้ง (tibia) ทำให้กระดูกหน้าเกิดรอยแยกเนื่องกระดูกหน้ายังโตและแข็งแรงไม่เต็มที่
โรคเข่าปูด มีสาเหตุและอาการอย่างไรบ้าง?
เข่าปูด มักเกิดขึ้นขณะเล่นกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการวิ่ง การกระโดด การงอ เป็นต้น ขณะที่เรากำลังวิ่ง กล้ามเนื้อขาจะหดตัว ส่งผลให้เอ็นตรงที่ยึดติดกับลูกสะบ้าหัวเข่าตึงรั้งกระดูกใต้เข่า ทำให้กระดูกบริเวณนั้นเกิดการแตกร้าวขึ้น รวมถึงปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
อายุ เพศชายอายุระหว่าง 12-14 ปี เพศหญิงอายุ 10-13 ปี
เพศ พบได้บ่อยในเด็กผู้ชายมากกว่าเด็กผู้หญิง
กีฬา ภาวะนี้มักเกิดขึ้นกับกีฬาที่เกี่ยวข้องกับการวิ่ง การกระโดด
สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงข้างต้น มักส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการปวดเข่า เข่าบวม และมักรู้สึกเจ็บทุกครั้งที่คุกเข่า วิ่ง กระโดด รวมถึงการเดินขึ้นในที่สูงอย่างการขึ้นเขา หรือขึ้นบันได
4
อาการของโรค Osgood-Schlatter
เด็กที่เป็นโรค Osgood-Schlatter จะมีก้อนปวดบวมใต้เขาที่ปุ่มกระดูกหน้าแข้ง (tibial tuberosity) ถึงแม้ว่าส่วนใหญ่จะเป็นเพียงเข่าข้างเดียว แต่ก็สามารถเป็นทั้งสองข้างได้
สิ่งที่แตกต่างจากสาเหตุอื่น ๆ ที่ทำให้เกิดอาการปวดเข่าคือ เด็กที่เป็นโรค Osgood-Schlatter มักจะมีอาการปวดแค่ระหว่างกิจกรรมจำเพาะบางอย่าง เช่น การวิ่ง การคุกเข่า กระโดด นั่งยอง ๆ และการขึ้นบันได การนั่งนาน ๆ อาจทำให้เกิดอาการปวดได้ ถึงแม้ว่าเด็กที่เป็นโรคอาจสามารถเดินได้ตามปกติโดยไม่มีอาการปวดหรือเดินกะเผลก
นี่เป็นความแตกต่างที่ตรงข้ามกับการหักหรืออาการเคล็ด ซึ่งกิจกรรมใด ๆ ก็ตาม แม้แต่การเดินก็อาจทำให้เจ็บและเดินกะเผลกได้
สิ่งที่ต้องรู้เกี่ยวกับโรค Osgood-Schlatter
สิ่งอื่น ๆ ที่ควรรู้เกี่ยวกับเด็กที่เป็นโรคดังกล่าว ได้แก่:
โรค Osgood-Schlatter มักเริ่มขึ้นในช่วงที่มีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว (growth spurt) ในเด็กที่มีอายุระหว่าง 10-15 ปีที่เล่นกีฬาเป็นประจำ
ถึงแม้จะเคยคิดกันว่าโรคนี้มักเป็นในเด็กผู้ชาย แต่เด็กผู้หญิงก็หันมาเล่นกีฬากันมากขึ้น โรคดังกล่าวจึงเริ่มพบได้มากขึ้นในเด็กผู้หญิงเช่นกัน และดูเหมือนว่าจะเริ่มมีอาการได้เร็วกว่า ที่ 10-11 ปี เมื่อเทียบกับ 13-14 ปีในเด็กผู้ชาย ซึ่งน่าจะเป็นเพราะว่าเด็กผู้หญิงมีช่วงเวลา growth spurt เร็วกว่าเด็กผู้ชาย
โรค Osgood-Schlatter คาดว่าเกิดจากการบาดเจ็บเล็ก ๆ น้อย ๆ เรื้อรัง (chronic microtrauma) และจัดเป็นโรคที่เกิดจากการใช้งานมากเกินไป (overuse disorder)
อาการมักคงอยู่ราว 12-18 เดือน โดยในเด็กหลายคนจะยังคงมีก้อนอยู่แต่ไม่มีอาการปวดแล้ว
การออกกำลังยืดกล้ามเนื้อและเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อน่อง กล้ามเนื้อต้นขาส่วนหน้า (quadriceps) และกล้ามเนื้อต้นขาส่วนหลัง (hamstring) อาจช่วยป้องกันไม่ให้เกิดโรค Osgood-Schlatter และเป็นส่วนหนึ่งของการรักษาตามแนวทางของการกายภาพบำบัดได้
การวินิจฉัยอย่างเหมาะสมตั้งแต่เนิ่น ๆ สามารถช่วยป้องกันให้ไม่ต้องทำการตรวจและการรักษาที่ไม่จำเป็นได้
โรค Sinding-Larsen-Johansson หรือ jumper’s knee เป็นภาวะที่คล้ายคลึงกัน แต่อาการปวดมักเป็นที่ส่วนล่างของลูกสะบ้า และไม่ต่ำไปกว่านั้นเหมือนในโรค Osgood-Schlatter
นักกีฬาควรรู้! เป็นโรคเข่าปูดสามารถเล่นกีฬาได้หรือไม่
5
โรคเข่าปูดไม่จำเป็นต้องได้รับการรักษา หรือผ่าตัด อาการปวดจะค่อย ๆ หายไปเองเมื่อกระดูกหยุดการเจริญเติบโต สำหรับนักกีฬาที่เป็นโรคเข่าปูดไม่ต้องกังวลใจไป เพราะสามารถทำกิจกรรมเล่นกีฬาได้อย่างปกติ โดยมีเคล็ดลับดังต่อไปนี้
สวมรองเท้าที่สามารถดูดซับแรงกระแทกในรองเท้าผ้าใบได้
ชุบน้ำอุ่นไว้ที่หัวเข่าประมาณ 15 นาที ก่อนเล่นกีฬา
ประคบน้ำแข็งบนเข่าเป็นระยะเวลา 15 นาที หลังเล่นกิจกรรม
สวมอุปกรณ์ป้องกันเข่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับนักมวยปล้ำ นักบาสเกตบอล นักวอลเลย์บอล เป็นต้น
การรักษาสำหรับโรค Osgood-Schlatter
การรักษาหลักคือการรักษาตามอาการ ทั้งการใช้ยาแก้ปวดชนิด NSIADs เช่น ibuprofen การพัก และการประคบน้ำแข็งที่บริเวณดังกล่าวหลังการเล่นกีฬา
ถึงแม้ว่าการพักจะเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะการหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ทำให้อาการปวดแย่ลง แต่จริง ๆ แล้วการที่ลูกของคุณจะเลี่ยงกิจกรรมดังกล่าวได้มากแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับว่าอาการปวดนั้นเป็นมากแค่ไหน หากลูกของคุณยังวิ่งเหยาะ ๆ หรือวิ่งและเล่นกีฬาได้โดยไม่เดินกะเผลกและไม่ได้มีอาการปวดมากนัก
เขาก็อาจจะทำกิจกรรมต่อไปได้ตามปกติ แต่หากลูกมีอาการปวดมากหรือเดินกะเผลกระหว่างการทำกิจกรรม การพักในระดับสัปดาห์หรือเดือนก็อาจเป็นสิ่งจำเป็น อย่างน้อยที่สุด ลูกของคุณควรเลี่ยงกิจกรรมที่ทำให้เกิดอาการเจ็บปวดอย่างมาก โดยเฉพาะกิจกรรมที่ต้องมีการกระโดดมาก ๆ การนั่งยอง ๆ หรือการคุกเข่า ซึ่งเป็นการพักประเภทหนึ่ง
6
หากไม่ได้มีอาการปวดมาก ลูกของคุณสามารถเล่นกีฬาได้แม้จะเป็นโรคนี้อยู่ก็ตาม สนับเข่าหรือผ้าพันก็อาจช่วยได้สำหรับเด็กที่เป็นโรค ตัวเลือกที่ดีที่สุดคือชนิดที่มีสายรัดเข่าใต้ลูกสะบ้า แผ่นรองตามรูปร่างที่ปกป้องบริเวณที่ปวดก็อาจช่วยได้เช่นกัน ในบางครั้งสำหรับกรณีที่ร้ายแรง การเข้าเฝือกก็อาจมีความจำเป็น การผ่าตัดนั้นแทบไม่มีความจำเป็นเลย
โฆษณา