23 ธ.ค. 2022 เวลา 04:00 • หุ้น & เศรษฐกิจ
หรือว่า "ดอลลาร์" จะสูญเสียความเป็น Reserve Currency หลักในโลก
Reserve Currency คือ เงินตราต่างประเทศที่ธนาคารกลาง และสถาบันการเงินใหญ่ๆ ในโลกถือไว้เป็นจํานวนมาก เพื่อใช้ในการค้า การลงทุนและการชําระหนี้ระหว่างประเทศ
7
[บทความโดย: ดร.อัจนา ไวความดี]
หรือว่า "ดอลลาร์" จะสูญเสียความเป็น Reserve Currency หลักในโลก
ในการซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์สําคัญในตลาดโลก เช่น ทองคำ น้ำมันก็จะอยู่ในรูปของ Reserve Currency ทั้งนี้ ตั้งแต่ปี 1944 ประเทศ 44 ประเทศได้ตกลงกันที่เมือง Bretton Woods ที่จะให้ดอลลาร์เป็นเงินตราที่จะใช้ในธุรกรรมระหว่างประเทศ
1
โดยประเทศต่างๆ จะผูกค่าเงินของตนไว้กับดอลลาร์ และดอลลาร์ก็จะผูกไว้กับทองคำ อีกต่อหนึ่ง ในอัตรา $35 ต่อทองคำ 1 Troy ounce
2
นี่เป็นจุดกําเนิดของ ระบบอัตราแลกเปลี่ยนคงที่ (Fixed Exchange Rate System) ดังนั้น ถ้าอเมริกาทํานโยบายการเงินอย่างเหมาะสม ดูแลเงินเฟ้อไม่ให้สูง ก็จะรักษาค่าของเงินสกุลที่ผูกอยู่กับดอลลาร์ตามไปด้วย
ในตอนแรก ประเทศต่างๆ ก็ได้ประโยชน์จากการกําหนดค่าเงินของตนไว้กับดอลลาร์ และใช้ดอลลาร์ในการขยายตัวทางการค้า และการลงทุนต่างประเทศ เพิ่มมูลค่าการค้าโลก และการพัฒนาเศรษฐกิจ ความต้องการเงินดอลลาร์ในธุรกรรมระหว่างประเทศมีสูงขึ้นมาก
ในช่วงทศวรรษที่ 1960 อเมริกามีปัญหาการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด และเงินเฟ้อสูง จากการใช้จ่ายเงินจํานวน มากในสงครามเวียดนาม และนโยบาย 'Great Society' ของอเมริกา เงินดอลลาร์เสื่อมค่าลง
กลไกตามข้อตกลงที่ Bretton Woods ไม่สามารถช่วยให้เกิดการปรับตัวทางเศรษฐกิจได้ อีกทั้งทุนสํารองทองคําลดลงอย่างรวดเร็ว ในปี 1973 ประธานาธิบดีนิกสัน จึงประกาศยกเลิกการผูกค่าดอลลาร์ไว้กับทองคำ อันเป็นจุดเริ่มต้นของระบบอัตราแลกเปลี่ยนลอยตัว (Flexible Exchange Rate System)
1
แม้ดอลลาร์จะไม่มีทองคําหนุนหลัง แต่ดอลลาร์ก็ยังคงเป็น Reserve Currency หลักของโลก มาตลอดเกือบ 80 ปี เพราะสภาพคล่องที่มีสูงมาก
แต่ละประเทศมีดอลลาร์อยู่ในทุนสํารองจํานวนมาก และเพราะดอลลาร์ถูกหนุนหลังด้วยพันธบัตรรัฐบาลอเมริกา ที่ถือว่า มั่นคงที่สุดในบรรดา 'สินทรัพย์กระดาษ' (paper assets) ในโลก
อเมริกาจึงถือเป็นประเทศที่ได้เปรียบทุกประเทศ ในการที่สามารถใช้เงินของตนทําธุรกรรมต่างประเทศได้
2
และนั่นก็เป็นเหตุผลหนึ่งของการเกิดเงินสกุล 'ยูโร' จากการรวมกลุ่มประเทศในยุโรปเพื่อให้มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ มีเงินตราสกุลเดียวกันที่มีจํานวนมาก และสภาพคล่องสูง
นอกจากเหตุผลทางเศรษฐกิจ และการเมืองแล้ว การเกิดเงินสกุลยูโรจะสามารถเป็น 'heavy weight' มาเทียบเคียงดอลลาร์ได้
1
แต่จนถึงปัจจุบัน เงินยูโรก็ทําได้เพียงเป็น Reserve Currency หนึ่งใน 5 ของโลก ยังไม่สามารถท้าทายดอลลาร์ได้มากนัก เพราะปัญหาความผันผวนของเงินยูโรตั้งแต่เริ่มแรก และเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศยูโรเอง
สิ้นปี 2021 มีเงินยูโรอยู่ประมาณร้อยละ 20 ในทุนสํารองของโลกเทียบกับดอลลาร์ที่มีอยู่ประมาณร้อยละ 60
1
ใน 10 กว่าปีที่ผ่านมา ความคลางแคลงในดอลลาร์เริ่มมีมากขึ้นอีกครั้งทั้งจากการใช้จ่ายที่เกินตัวของอเมริกา การขาดดุลบัญชีเดินสะพัดอย่างต่อเนื่อง ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ และการทํานโยบายการเงินที่ 'เหนือความคาดหมาย'
1
รวมทั้งการรวมกลุ่มของประเทศ เช่น BRICS EEC (Eurasia Economic Union) ที่แสดงเจตนารมณ์ที่จะลดการใช้ดอลลาร์ในธุรกรรมระหว่างประเทศ ทําให้คนเริ่มตั้งคําถามว่า ดอลลาร์จะสูญเสียความเป็น Reserve Currency หลักหรือไม่
1
คาดว่า ดอลลาร์จะยังคงรักษาสิ่งนี้ไปได้อีกนาน เพราะขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลก (23 ล้านล้านดอลลาร์) มีสภาพคล่องในตลาดมาก ที่สําคัญ อเมริกามีตลาดการเงินที่กว้าง ลึก และเปิดเสรี นอกจากนี้ การขาดดุลบัญชีเดินสะพัดอย่างต่อเนื่องยังทําให้ดอลลาร์เข้าไปอยู่ในมือของประเทศต่างๆ จํานวนมาก
ในระยะยาว ดอลลาร์อาจสูญเสียความเป็น Reserve Currency หลักของโลก เพราะ Reserve Currency มีวัฏจักรของมัน เหมือนที่เราเห็นเงินสเปนในศตวรรษ 16 เงินดัตช์ในศตวรรษที่ 17 เงินฟรังก์ฝรั่งเศสในศตวรรษที่ 18 และเงินปอนด์ในศตวรรษที่ 19
มีคนคาดกันว่า ในอนาคต เงินหยวนจะเข้ามาแทนที่ดอลลาร์เพราะความเป็นพลวัตของเศรษฐกิจจีน
ขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 รองจากสหรัฐ (17 ล้านล้านดอลลาร์) และเป็นประเทศที่ส่งออกมากที่สุดในโลก แต่ก็ไม่น่าจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ เพราะจีนจะต้องทํานโยบายสําคัญๆ อีกมากกว่าจะไปถึง
ที่สําคัญคือ การเปิดเสรีเงินทุน และการพัฒนาตลาดการเงิน เพราะธนาคารกลาง และสถาบันการเงินหลักจะถือหยวนไว้ในทุนสํารองได้มากสักเท่าไร หากไม่สามารถลงทุนในสินทรัพย์สกุลหยวนได้อย่างเสรี.
โฆษณา