24 ธ.ค. 2022 เวลา 03:57
ฎีกาที่ 2290/2563
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 กู้เงินจำนวน 1,000,000 บาท โดยจำเลยที่ 2 นำที่ดินจดทะเบียนจำนองเป็นประกันหนี้เงินกู้ของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 2 ไม่เคยนำที่ดินดังกล่าวไปจดทะเบียนจำนองเป็นประกันหนี้เงินกู้ของจำเลยที่ 1 ประเด็นที่พิพาทในคดีจึงมีว่าจำเลยที่ 1 กู้ยืมเงินจำนวน 1,000,000 บาท แล้วไม่ชำระหนี้จริงหรือไม่ และจำเลยที่ 2 จดทะเบียนจำนองที่ดินเป็นประกันหนี้เงินกู้จำนวนดังกล่าวของจำเลยที่ 1 หรือไม่เท่านั้น
ที่จำเลยที่ 2 ให้การต่อมาว่า จำเลยที่ 2 จดทะเบียนจำนองเพื่อประกันหนี้เงินกู้ของตนเองไม่ใช่หนี้ของจำเลยที่ 1 แต่จำเลยที่ 2 ไม่ได้รับมอบเงินกู้จากโจทก์เป็นเหตุผลประกอบคำให้การ หากศาลพิจารณาพยานหลักฐานแล้วเชื่อตามที่จำเลยที่ 2 ให้การ ศาลจะต้องพิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 2 เป็นผลให้โจทก์ไม่อาจบังคับจำนองโฉนดที่ดินดังกล่าวเพื่อนำเงินมาชำระหนี้ในคดีนี้ได้อยู่แล้ว
ส่วนฟ้องแย้งของจำเลยที่ 2 ที่ขอให้บังคับโจทก์ส่งมอบโฉนดที่ดินดังกล่าวคืนและจดทะเบียนไถ่ถอนจำนองที่ดินและเรียกค่าเสียหายจากโจทก์เนื่องจากจำเลยที่ 2 นำที่ดินดังกล่าวไปจดทะเบียนจำนองกับโจทก์เพราะโจทก์รับปากว่าจะให้จำเลยที่ 2 กู้เงินจำนวน 1,300,00 บาทแต่โจทก์ไม่ส่งมอบเงินกู้ดังกล่าวให้จำเลยที่ 2 นั้น ข้อเท็จจริงดังกล่าวจะเป็นจริงหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิม ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสาม 179 วรรคท้าย
ประกอบพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ.2551 มาตรา 7 ที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับฟ้องแย้งชอบแล้ว (พิพากษายืน (รับคำให้การของจำเลยทั้งสองแต่ไม่รับฟ้องแย้งของจำเลยที่ 2))

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา