26 ธ.ค. 2022 เวลา 08:48
ฎีกาที่ 1061/2564
ผู้ร้องมีนางสาวศศิญดา ผู้รับมอบอำนาจผู้ร้องเป็นพยานเบิกความว่า โจทก์รับจำนองห้องชุดพิพาทไว้โดยไม่สุจริต โดยโจทก์ทราบดีว่าห้องชุดที่ยึดทั้งหมดนั้น จำเลยที่ 1 ได้นำออกขายให้แก่บุคคลภายนอกแล้ว บุคคลภายนอกรวมทั้งผู้ร้องได้ซื้อและชำระราคาครบถ้วนก่อนหรือขณะที่โจทก์จะรับจำนอง ซึ่งเป็นเพียงการกล่าวอ้างลอย ๆ โดยไม่ปรากฏว่าโจทก์ทราบเรื่องดังกล่าวได้อย่างไร นอกจากนี้ได้ความจากนายสมเกียรติ ผู้อำนวยการสำนักกฎหมายของโจทก์ว่า
จำเลยที่ 1 ยื่นขอจดทะเบียนอาคารชุดดังกล่าวเมื่อวันที่ 25 กันยายน 2552 ขณะนั้นห้องชุดพิพาทยังก่อสร้างไม่แล้วเสร็จ สอดคล้องกับที่ได้ความจากนางสาวศศิญดาเบิกความตอบทนายโจทก์ถามค้านว่า ผู้ร้องเข้าครอบครองห้องชุดพิพาทประมาณปี 2554 โดยนำออกให้บุคคลอื่นเช่า แต่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 จดทะเบียนจำนองห้องชุดพิพาทแก่โจทก์ตั้งแต่วันที่ 20 พฤษภาคม 2552
แสดงว่าขณะที่โจทก์รับจำนองนั้นห้องชุดยังก่อสร้างไม่แล้วเสร็จและยังไม่มีบุคคลใดเข้าครอบครองใช้ประโยชน์ห้องชุดจำนอง ดังนั้น ขณะที่รับจำนองจึงไม่มีพฤติการณ์ใดที่ทำให้โจทก์ทราบหรือควรทราบได้ว่าผู้ร้องได้ชำระราคาห้องชุดที่ซื้อให้แก่จำเลยที่ 1 ครบถ้วนแล้ว ประกอบกับประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 6 ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า บุคคลทุกคนกระทำการโดยสุจริต ข้อเท็จจริงจึงต้องฟังว่าโจทก์รับจำนองห้องชุดพิพาทโดยสุจริต
แม้ข้อเท็จจริงจะฟังได้ว่า ผู้ร้องเข้าครอบครองใช้ประโยชน์ห้องชุดพิพาทและชำระราคาครบถ้วนแล้วตามคำร้องซึ่งถือได้ว่าผู้ร้องเป็นบุคคลผู้อยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้อยู่ก่อนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1330 แต่ผู้ร้องก็ไม่มีสิทธิได้รับชำระหนี้ก่อนโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้จำนองโดยมีค่าตอบแทนและกระทำการโดยสุจริต
การที่โจทก์บังคับคดียึดห้องชุดพิพาทซึ่งเป็นทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดย่อมไม่กระทบกระทั่งถึงสิทธิของผู้ร้อง อันจะขอให้เพิกถอนการบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 287 (เดิม) ได้ ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิร้องขอให้เพิกถอนการยึดห้องชุดพิพาท ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย (พิพากษากลับ ให้ยกคำร้อง)

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา