29 ธ.ค. 2022 เวลา 06:30
ฎีกาที่ 377/2564 (บางส่วน)
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229 บัญญัติว่า “ การอุทธรณ์นั้นให้ทำเป็นหนังสือยื่นต่อศาลชั้นต้นซึ่งมีคำพิพากษาหรือคำสั่งภายในกำหนดหนึ่งเดือน นับแต่วันที่ได้อ่านคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้น... ” ปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาฉบับลงวันที่ 16 พฤษภาคม 2561 ซึ่งเป็นวันเสร็จการพิจารณา ศาลชั้นต้นได้กำหนดนัดฟังคำพิพากษาวันที่ 20 มิถุนายน 2561 เวลา 9 นาฬิกา
นายบุญเรือง ทนายความโจทก์ จำเลยและทนายความจำเลยต่างได้ลงลายมือชื่อรับทราบวันนัดดังกล่าวไว้ในรายงานกระบวนพิจารณาดังกล่าวด้วย (เอกสารในสำนวนอันดับที่ 40) ครั้นถึงวันนัดฟังคำพิพากษาดังกล่าวไม่มีคู่ความมาฟังคำพิพากษา ศาลชั้นต้นจึงงดอ่านคำพิพากษาและถือว่าคำพิพากษาได้อ่านตามกฎหมายแล้ว โจทก์จึงชอบที่จะอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นได้ภายในวันที่ 20 กรกฎาคม 2561
หรือภายในกำหนดที่ศาลได้ขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ให้ครั้นในวันครบกำหนดระยะเวลายื่นอุทธรณ์ดังกล่าว โจทก์หรือทนายความโจทก์ก็มิได้ยื่นอุทธรณ์ ทั้งมิได้ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ต่อศาลชั้นต้นแต่อย่างใด ดังนั้น นับแต่วันที่ 21 กรกฎาคม 2561 เป็นต้นไป จึงพ้นกำหนดระยะเวลาหนึ่งเดือนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229 ที่โจทก์จะยื่นอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นได้เสียแล้ว
การที่โจทก์ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ฉบับลงวันที่ 25 ตุลาคม 2561 โดยอ้างว่าโจทก์เพิ่งทราบคำพิพากษาศาลชั้นต้นเมื่อวันที่ 26 กันยายน 2561 นั้น ก็เป็นการยกขึ้นอ้างลอย ๆ เนื่องจากคดีนี้กฎหมายถือว่าคำพิพากษาได้อ่านตามกฎหมายแล้ว ย่อมหมายถึงโจทก์ทราบคำพิพากษาศาลชั้นต้นตั้งแต่วันที่ 20 มิถุนายน 2561 นั้นเอง
ทั้งข้ออ้างตามคำร้องขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์ของโจทก์ก็มิใช่กรณีมีเหตุสุดวิสัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23 ที่โจทก์จะขอขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์อีกได้ ศาลชอบที่จะสั่งยกคำร้องเสีย ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้ขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์แก่โจทก์ จึงเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายไม่มีผลบังคับได้ คำสั่งของศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้ขยายระยะเวลาอุทธรณ์แก่โจทก์ อีก 2 ฉบับ
ซึ่งเป็นคำสั่งที่ต่อเนื่องมาจากคำสั่งดังกล่าวจึงล้วนเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายเช่นกัน คำฟ้องอุทธรณ์ของโจทก์ฉบับลงวันที่ 21 มกราคม 2562 จึงเป็นกรณีที่ยื่นเกินกำหนดระยะเวลาหนึ่งเดือนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229 เป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายที่ศาลอุทธรณ์จะรับวินิจฉัยให้ได้ คำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งรับอุทธรณ์ของโจทก์ไว้จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกอุทธรณ์ของโจทก์จึงชอบแล้ว และเมื่อโจทก์มิได้อุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นดังวินิจฉัยแล้ว กรณีถือได้ว่าโจทก์มิได้โต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นในทุกประเด็นที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัย โจทก์จึงไม่มีสิทธิฎีกาในทุกประเด็นดังกล่าวได้ เพราะเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 (เดิม)
ที่โจทก์ฎีกาข้อสุดท้ายทำนองว่า ศาลชั้นต้นกำหนดให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ไม่ถูกต้อง และขอให้ศาลฎีกากำหนดให้เพิ่มมากขึ้นนั้นจึงเป็นฎีกาที่มิได้โต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ไม่ชอบด้วยบทกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
อนึ่ง คดีนี้มีประเด็นข้อพิพาทในชั้นฎีกาเพียงว่า ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกอุทธรณ์โจทก์ชอบหรือไม่ เมื่อศาลฎีกาเห็นว่าที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกอุทธรณ์โจทก์ชอบแล้วและศาลฎีกาไม่ได้วินิจฉัยฎีกาข้ออื่นของโจทก์จึงต้องถือว่าคดีตามฎีกาโจทก์เป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ต้องเสียค่าขึ้นศาลในชั้นฎีกาเพียง 200 บาท แต่โจทก์เสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาจากทุนทรัพย์ 1,127,369.66 บาทเป็นเงิน 22,547 บาท จึงเสียเกินมา 22,347 บาท เห็นสมควรคืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาส่วนที่เกินแก่โจทก์

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา