29 ธ.ค. 2022 เวลา 13:56 • ความคิดเห็น

What on your mind?

ตรงช่องโพสต์ข้อความหรือรูปภาพของ Facebook ที่ทุกคนคุ้นเคยนั้น มีคำถามที่เป็นภาษาอังกฤษว่า “What’s on your mind” หรือในภาษาไทยว่า “คุณกำลังคิดอะไรอยู่ “ เป็นคำถามง่ายๆที่อันตรายมากและนำหลายคนไปสู่เภทภัยและเรื่องร้ายเอาง่ายๆ ถ้าพาซื่อตอบคำถามนั้นโดยไม่คิดให้รอบคอบซักนิดก่อน
ผมเองก็ผิดพลาดจากการตอบคำถามนี้โดยไม่คิดหน้าคิดหลังหลายครั้งและได้เห็นหลายคนก็ผิดพลาดต่างกรรมต่างวาระไป ก็เลยลองประมวลจากประสบการณ์ตัวเองและสังเกตจากผู้อื่นดูว่ามีมุมไหนบ้างที่เราต้องคิดก่อนตอบคำถามที่ Facebook ตั้งบ้าง
ประการแรกที่จะต้องเข้าใจบริบทก่อนจะตอบคำถาม Facebook ก็คือว่าเวลาเราพิมพ์ว่าคิดอะไรอยู่นั้น ส่วนใหญ่เรามักจะอยู่คนเดียว เหมือนกับเราพิมพ์ไลน์คุยกับเพื่อน แต่สำหรับ Facebook นั้นเมื่อโพสต์แล้ว
จะไม่เหมือนกับปิดห้องคุยกันกับเพื่อนเหมือนไลน์ แต่เทียบได้กับขึ้นข้อความบนบิลบอร์ดสี่มุมเมืองทั่วกรุงเทพฯ เรื่องราวอะไรที่เราไม่อยากขึ้นบิลบอร์ดประกาศให้โลกรู้แบบนั้นและไม่น่าเป็นผลดีกับเรา ก็ต้องยั้งมือไว้บ้าง
ในสมัยใช้ Facebook ใหม่ๆ ผมเองก็เคยติดกับดักเรื่องนี้ มีเรื่องงอนกับภรรยา ทะเลาะกันเรื่องหยุมหยิม น้อยใจก็ไปโพสต์เพราะหลงตามคำถาม Facebook ว่าคิดอะไรอยู่ แทนที่จะเคลียร์กับสองคน กลายเป็นมีคนหลายคนมาทักมาถามภรรยา ยิ่งทำให้เขาอับอายเหมือนกับเอาความในไปประกาศทั้งกรุง เรื่องเล็กๆที่คุยกันสองคำหายก็กลายเป็นเรื่องใหญ่ จนต้องรับปากภรรยากันว่าจะไม่โพสต์อะไรแบบนั้นอีก
ประการที่สอง อะไรที่เราโพสต์ก็จะกลายเป็นภาพลักษณ์ของเราโดยปริยายโดยเฉพาะในโลกที่ไม่ค่อยได้เจอกันเช่นยุคโควิดนี้ ข้อมูลข่าวสารที่ได้ก็เป็นแค่ผิวเผิน บางคนโพสต์เรื่องทะลึ่งบ่อยๆ ภาพจำของคนที่เป็น Friend ด้วยก็จะมองว่าเราเป็นคนทะลึ่ง หรือโพสต์เรื่องศาสนาบ่อยๆ คนก็จะจำเป็นคนธรรมะธรรมโม
เราอยากให้ภาพจำเราเป็นอะไรต่อสาธารณชนหรือคนรู้จัก ก็อาจจะต้องคิดนิดนึงว่าการโพสต์แต่ละครั้งมีผลต่อภาพจำอะไรของเราหรือไม่ อาจจะมีคนบอกว่าก็ทำไมล่ะ อยากโพสต์อะไรก็เรื่องของเราสิ แต่ก็เหมือนกับการอยู่ร่วมกันในสังคมที่เราก็คงไม่ใช้คำหยาบคายตลอดเวลา
และก็คงไม่อยากให้คนเห็นเราเป็นคนลามกตลอดเวลา เพราะตัวตนของเราเองก็ไม่ใช่เป็นแบบนั้นตลอด นอกจากนั้นภาพจำที่ว่าก็ยังส่งผลต่อธุรกิจและความสัมพันธ์ด้านอื่นๆในโลกจริงอีกด้วย คล้ายๆกับที่มีคนบอกว่า You’re what you post
ในมุมกลับกัน การใช้การ Post Facebook เป็นการแสดงตัวตนในด้านที่เราอยากให้คนรับรู้นั้นน่าจะเป็นประโยชน์กว่าการโพสต์อะไรโดยไม่คิด ทั้งด้านวิธีคิด การใช้ชีวิต อุปนิสัยใจคอ งานอดิเรก ฯลฯ เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีและภาพจำที่เราอยากให้คนรับรู้ในมุมที่น่าจะเป็นมากกว่า
สำหรับคนที่อยากจะเขียนอะไรตามใจฉัน อยากระบายความโกรธ หรือเขียนอย่างที่คิดจริงๆ เครื่องมืออื่นเช่นไลน์กรุ๊ปกับเพื่อนสนิทไม่กี่คน หรือแม้แต่ไดอารี่ก็อาจจะเป็นเครื่องมือที่ปลอดภัยกว่า Facebook ในความเห็นของผม
ประการที่สาม สิ่งที่เราโพสต์นั้นอาจจะมีผลต่ออนาคตอย่างที่เราอาจคาดไม่ถึง มีหลายกรณีมากที่บริษัทเริ่มเข้าไปดู Facebook Feed ของผู้สมัครงานเพื่อดูทัศนคติหรือวิธีคิดบางอย่าง ถ้าเขาเห็นเราเขียนด่านายเก่าหยาบๆคายๆ หรือเขียนถ้อยคำผรุสวาทกับเรื่องบางอย่าง เรื่องแบบนี้ก็จะส่งผลกระทบต่อการพิจารณาอย่างแน่นอน และแม้ว่าจะลบไปแล้วแต่การแคปหน้าจอไว้แล้วถูกเอามาตามหลอกหลอนนั้นทำได้ง่ายมากแค่มีคนกดเซฟไว้ครั้งเดียว
หรือการวิพากษ์วิจารณ์คนอื่นโดยเฉพาะคนรู้จัก ถ้าเป็นไปได้น่าจะเริ่มจากการไลน์ไปคุยส่วนตัวก่อน หรือหาเวทีที่ไม่ใหญ่ในการปรับความเข้าใจหรือแม้แต่กระทั่งตำหนิ เพราะการวิพากษ์ “ออกสื่อ” นั้นเป็นการเพิ่มความเจ็บช้ำน้ำใจของผู้ถูกวิพากษ์ที่เหมือนประจานกันกลางสี่แยก
ซึ่งผู้โพสต์ก็อาจจะไม่ได้ตั้งใจเล่นใหญ่ขนาดนั้น แต่เครื่องมือ Facebook นั้นมีความหลอกใจลักษณะนี้ที่ต้องพึงระวังอยู่ไม่น้อย
ประการที่สี่ การโพสต์ Facebook โดยบุคคลสาธารณะ หรือ Influencer ที่พลาดให้เห็นอยู่บ่อยครั้งนั้น เพราะ Influencer เขียนตามที่ตัวเองคิด (What’s on your mind) โดยมีฐานแฟนคลับคอยส่งเสียงเชียร์มาตลอด ทำให้เกิดความมั่นใจผิดๆว่าตัวเองเข้าใจการทำงานของ Facebook แต่เมื่อมีวิกฤตจากการโพสต์ที่บานปลายไปมากกว่าฐานแฟนคลับแล้วโดยทัวร์ลง หลายคนก็เลือกที่จะเถียงชี้แจงตามที่ตัวเองคิด (อีก) พยายามแก้ตัวว่าตัวเองไม่ผิด และก็โดนทัวร์ลงต่อเนื่องไปไม่รู้จบ
การทำความเข้าใจว่า Facebook คือ Billboard ทั่วกรุงเทพที่เราเลือกไม่ได้ว่าจะให้ใครเห็นบ้างจึงเป็นบริบทที่สำคัญ และสิ่งที่ต้องตอบคำถามที่ Facebook ไม่ได้ถามมากกว่า What’s on your mind ก็คือต้องเข้าใจ What’s on other people’s mind? ก่อนว่าเขาอยากฟังอะไรไม่ใช่เราอยากพูดอะไร ถึงจะแก้วิกฤตทัวร์ลงนั้นได้
Facebook จึงเป็นเครื่องมือที่หลอกใจเรามากๆ เพราะเวลาจะโพสต์นั้นให้อารมณ์เหมือนอยู่กับเพื่อนไม่กี่คนแต่โพสต์ไปแล้วเหมือนเอาใบปลิวโปรยทั่วกรุงเทพให้คนที่ทั้งไม่สนิทและไม่รู้จักได้รับรู้ แถมยังอยู่ติดทนนานทั้งภาพจำในใจคนและอนาคตที่อาจถูกขุดขึ้นมาได้อย่างที่ไม่มีทางรู้
การโพสต์ Facebook แต่ละครั้งจึงต้องตอบคำถามที่มากกว่า Facebook ถามว่า What’s on your mind? ว่า What’s on other people mind and what’s the purpose of this post? มากกว่าเขียนไปตามใจคิด คิดดีแล้วมั่นใจแล้วค่อยโพสต์ คิดอะไรก็ไม่ต้องบอกชาวโลกทุกครั้งก็ได้ถ้าไม่มีผลดีแก่ตัวเรา เทคนิคอันนึงที่ผมใช้เวลาโมโหหรืออยากโพสต์อะไรแรงๆแต่รู้ว่าอาจจะมีผลลบได้ก็คือการโพสต์แล้วตั้งว่า Only me ไว้เราเห็นคนเดียวก็แก้ความกระหายได้ไม่เลวหมือนกัน
3
บน Facebook นี่ไม่ต้องคิดดังๆทุกครั้งก็ได้นะครับ…
2
โฆษณา