30 ธ.ค. 2022 เวลา 04:01
ฎีกาที่ 5229/2563
เดิมโจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีหมายเลขแดงที่ พ.1121/2557 ว่า จำเลยในฐานะผู้มีวิชาชีพด้านรับฝากเงินจ่ายเงินตามเช็คพิพาทโดยไม่ตรวจสอบลายมือชื่อผู้มีอำนาจสั่งจ่ายในเช็คที่โจทก์ให้ไว้ด้วยความระมัดระวังและความชำนาญพิเศษมากกว่าบุคคลธรรมดาทั่วไป ทำให้โจทก์เสียหาย ขอให้จำเลยคืนเงินตามเช็คพร้อมดอกเบี้ย จำเลยให้การว่า พนักงานของจำเลยใช้ความระมัดระวังในการอนุมัติจ่ายเงินตามเช็คตามระเบียบของจำเลยทุกประการ
จำเลยไม่ได้ประมาทเลินเล่อแต่โจทก์เป็นฝ่ายประมาทอย่างร้ายแรง ไม่ใช้ความระมัดระวังในการเก็บรักษาเช็คให้เพียงพอ ทำให้มีคนร้ายลักเช็คไป เป็นความผิดของโจทก์ที่ขาดความรับผิดชอบขอให้ยกฟ้อง คดีถึงที่สุดแล้ว ส่วนคดีนี้ โจทก์บรรยายฟ้องว่า หลังจากโจทก์ทราบว่าคนร้ายลักเช็ค นำเช็คไปขึ้นเงิน จำเลยจ่ายเงินตามเช็คแล้วหักเงินออกจากบัญชีของโจทก์
โจทก์ขอตรวจสอบกล้องวงจรปิดจากจำเลยเมื่อวันที่23 กรกฎาคม 2555 แต่จำเลยไม่ให้ความร่วมมือตรวจสอบกล้องวงจรปิดทำให้โจทก็ไม่มีหลักฐานไปถึงตัวคนร้าย โจทก์จึงนำคดีไปฟ้องจำเลยเป็นคดีหมายเลขแดงที่ พ.1121/2557 แต่ศาลฎีกาพิพากษาให้จำเลยใช้เงินจำนวน 475,000 บาท ทำให้โจทก์เสียหายอีกจำนวน 475,000 บาท อันเป็นความเสียหายที่สืบเนื่องมาจากคนร้ายลักเช็คไปปลอมลายมือชื่อ จำเลยจ่ายเงินตามเช็คและหักเงินจากบัญชีโจทก์
การที่จำเลยไม่ให้ความร่วมมือตรวจสอบกล้องวงจรปิดจึงไม่มีหลักฐานไปถึงตัวคนร้าย หากจำเลยให้ความร่วมมือในวันนั้นหรือก่อนหน้านั้นให้โจทก์ตรวจสอบ ย่อมเป็นเบาะแสให้หาตัวคนร้ายมารับผิดได้แต่จำเลยไม่ให้ความร่วมมือจึงทำให้โจทก์เสียหาย ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 475,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวนดังกล่าวตั้งแต่วันที่ 2 พฤษภาคม 2560 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแกโจทก์
ดังนี้ จึงเห็นได้โดยชัดแจ้งว่า มูลเหตุแห่งการฟ้องจำเลยของโจทก์ทั้งในคดีเดิมและคดีนี้เนื่องมาจากจำเลยจ่ายเงินตามเช็คที่ถูกลักไปแล้วหักเงินจากบัญชีของโจทก์ แม้ในคดีเดิมโจทก์อ้างว่า จำเลยจ่ายเงินตามเช็คโดยไม่ตรวจสอบลายมือชื่อผู้มีอำนาจสั่งจ่ายเช็คด้วยความระมัดระวังและความชำนาญพิเศษมากกว่าบุคคลธรรมดาทั่วไป ส่วนในคดีนี้ โจทก์กล่าวอ้างว่าจำเลยไม่ให้โจทก์ตรวจสอบกล้องวงจรปิดเพื่อหาตัวคนร้ายมารับผิดก็ตาม แต่ข้อเท็จจริงที่ว่าจำเลยไม่ให้ตรวจสอบกล้องวงจรปิดมีอยู่แล้วก่อนที่โจทก์จะฟ้องให้จำเลยรับผิดคดีเดิม
โจทก์สามารถใช้สิทธิเรียกร้องมาในคราวเดียวกันทั้งหมดในคดีเดิมได้ ทั้งเป็นเรื่องที่เกี่ยวเนื่องจากมูลกรณีเดียวกัน แต่โจทก์กลับมิได้เรียกร้องค่าเสียหายต่าง ๆ อันเกิดจากการที่จำเลยไม่ยอมให้ตรวจสอบกล้องวงจรปิดรวมไปกับการฟ้องในคดีเดิม เพิ่งมาเรียกร้องในคดีนี้ ทั้งเหตุที่ฟ้องคดีนี้เกิดขึ้นเพราะศาลฎีกาในคดีเดิมพิพากษาว่าโจทก์มีส่วนผิดด้วย จึงให้จำเลยรับผิดชำระเงินแก่โจทก์เพียงกึ่งหนึ่ง
โจทก์จึงมาฟ้องเป็นคดีนี้อีกเพื่อต้องการเรียกร้องชำระเงินส่วนที่เหลือที่ศาลฎีกาในคดีเดิมไม่ได้พิพากษาให้ โดยอ้างอีกเหตุหนึ่งซึ่งมีอยู่แล้วก่อนฟ้องคดีเดิมมาฟ้องเป็นคดีใหม่ จึงเป็นกรณีที่ฟ้องโจทก์ในคดีเดิมและคดีนี้มีประเด็นที่ศาลวินิจฉัยอย่างเดียวกันว่าจำเลยต้องคืนเงินแก่โจทก์หรือไม่เมื่อคดีเดิมถึงที่สุดแล้ว ทั้งโจทก์และจำเลยในคดีนี้เป็นคู่ความเดียวกันกับโจทก์และจำเลยในคดีเดิม
โจทก์นำคดีนี้มารื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน จึงเป็นฟ้องซ้ำต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 ประกอบพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภคพ.ศ.2551 มาตรา 7 ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย (พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง)

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา