30 ธ.ค. 2022 เวลา 12:10
ฎีกาที่ 4123/2563
คดีนี้โจทก์ทั้งสองฟ้องว่าจำเลยบุกรุกที่ดินพิพาทของโจทก์ทั้งสอง ทำให้โจทก์ทั้งสองได้รับความเสียหายขอให้บังคับจำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินพิพาทและห้ามเกี่ยวข้องกับเรียกค่าเสียหาย ส่วนที่จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า นางลำไย ทวดของจำเลยเข้าครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทมาโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของมาตั้งแต่ก่อนปี พ.ศ.2500 เป็นเวลานานหลายปี
จนกระทั่งปี พ.ศ.2498 ทางราชการแจ้งให้ผู้ที่ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินแจ้งการครอบครองเพื่อออกหลักฐานการครอบครอง นางลำใยจึงแจ้งการครอบครองตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค. 1) และหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3) ต่อมานางลำใยถึงแก่ความตายที่ดินพิพาทได้ตกทอดเป็นมรดกแก่ทายาทสืบเนื่องติดต่อกันตลอดมาจนกระทั่งถึงจำเลย ซึ่งทายาทแต่ละคนได้เข้าครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ
ติดต่อกันตลอดมาจนถึงปัจจุบันเป็นเวลากว่า 50 ปี แล้ว จำเลยจึงได้กรรมสิทธิ์ในดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1382 เห็นว่า คำให้การของจำเลยดังกล่าวตอนต้นเป็นการกล่าวให้เห็นถึงที่มาของการเข้าครอบครองที่ดินพิพาทว่าเป็นการเข้าครอบครองยึดถือเพื่อตนในที่ดินของผู้อื่นและได้แจ้งการครอบครองต่อทางราชการ หลังจากนั้นที่ดินพิพาทตกทอดเป็นมรดกแก่ทายาทสืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน ที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินตามโฉนดที่ดินเอกสารหมาย จ.1
ของโจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นโฉนดที่ดินรุ่นเก่าที่ได้มาตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและไม่มีหลักเขตแน่นอน ทั้งฝ่ายโจทก์ทั้งสองและฝ่ายจำเลยต่างครอบครองอย่างเป็นสัดส่วนกันมานาน ซึ่งที่ดินพิพาทที่นางลำไยเข้าครอบครองมาตั้งแต่เริ่มต้นอยู่ในที่ดินของโจทก์ทั้งสอง การที่จำเลยให้การต่อมาว่าจำเลยและทายาททุกคนครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันตลอดมาเป็นเวลากว่า 50 ปี
กรณีก็เพื่อแสดงให้เห็นว่าจำเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทนั้นแล้วโดยการครอบครอง อันเป็นการโต้แย้งกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทกับโจทก์ทั้งสอง คำให้การของจำเลยดังกล่าวจึงหาถือว่าขัดแย้งกันอันทำให้เป็นคำให้การที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสอง แต่อย่างใดไม่ หากแต่เป็นการลำดับที่มาของการเข้าครอบครองที่ดินพิพาทตั้งแต่แรกจนได้กรรมสิทธิ์โดยชัดแจ้งและนับว่ามีเหตุผลที่จำเลยจะให้การเช่นนั้นได้
ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่า คำให้การจำเลยขัดแย้งกันจึงไม่มีประเด็นเรื่องการครอบครองปรปักษ์นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย เมื่อศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นพิพาทว่าจำเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์หรือไม่ แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ยังมิได้วินิจฉัยว่า จำเลยครอบครองที่ดินพิพาทจนได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์หรือไม่ อันเป็นประเด็นสำคัญโดยตรงในคดี จึงเป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 มิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยคำพิพากษาและคำสั่ง
อันเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบ และแม้ว่าศาลฎีกาจะวินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงดังกล่าวไปเสียเองได้ก็ตามแต่เพื่อให้คดีเป็นไปตามลำดับชั้นศาล ทั้งผลของคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ย่อมเป็นที่สุด การฎีกาให้กระทำได้เมื่อได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 244/1 และมาตรา 247 จึงเห็นสมควรย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ได้วินิจฉัยประเด็นดังกล่าว แล้วมีคำพิพากษาใหม่ตามรูปคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243 (1) ประกอบมาตรา 251 และ 252
อนึ่ง คดีนี้จำเลยฎีกาโดยเสียค่าขึ้นศาลในส่วนฟ้องเดิมมา 5,488 บาทไม่ได้เสียค่าขึ้นศาลในส่วนฟ้องแย้งมาด้วย แต่เมื่อศาลฎีกาย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิจารณาพิพากษาใหม่
เช่นนี้ จำเลยชอบที่จะเสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาในส่วนฟ้องเดิมและฟ้องแย้งอย่างคดีไม่มีทุนทรัพย์รวมเป็นเงิน 400 บาทจึงต้องคืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาส่วนที่เกิน 400 บาท แก่จำเลย (พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยในประเด็นเรื่องการได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ที่ยังมิได้วินิจฉัยแล้วมีคำพิพากษาใหม่ตามรูปคดี)

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา