31 ธ.ค. 2022 เวลา 07:24
ฎีกาที่ 8369/2563
ตามข้อกำหนดของประธานศาลฎีกาว่าด้วยการขออนุญาตฎีกาในคดีแพ่ง พ.ศ.2558 ข้อ 14 วรรคสอง ว่า จำเลยฎีกาอาจยื่นคำแก้ฎีกาต่อศาลชั้นต้นได้ภายในกำหนดสิบห้าวันนับแต่ฟังคำสั่ง คดีนี้ขณะผู้ร้องยื่นคำร้องขออนุญาตฎีกา ศาลชั้นต้นได้ส่งสำเนาคำร้องและคำฟ้องฎีกาให้โจทก์แล้ว เมื่อโจทก์ทราบนัดวันฟังคำสั่งศาลฎีกาโดยชอบแล้ว หากโจทก์ประสงค์จะยื่นคำแก้ฎีกาต่อศาลชั้นต้นก็ต้องยื่นภายในกำหนดสิบห้าวันนับแต่ฟังคำสั่งศาลฎีกาตามข้อ 14 วรรคสอง
ไม่มีเหตุที่ศาลชั้นต้นต้องมีคำสั่งให้ผู้ร้องนำส่งสำเนาฟ้องฎีกาให้โจทก์แก้ซ้ำอีก จึงเป็นคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ผิดหลงกรณีไม่จำต้องมีการนำส่งสำเนาคำฟ้องฎีกาให้โจทก์อีก การที่ผู้ร้องไม่นำส่งสำเนาคำฟ้องฎีกา จึงไม่ได้ทิ้งฎีกา ส่วนที่ผู้ร้องยื่นคำขอว่าประสงค์จะให้คดีถึงที่สุดโดยไม่ฎีกา จึงไม่นำส่งหมายให้แก่โจทก์ภายในกำหนด
ดังนั้นเมื่อถือว่าคดีถึงที่สุดแล้วผู้ร้องจึงขอให้ศาลออกหนังสือรับรองคดีถึงที่สุดเพื่อผู้ร้องจะได้นำไปแสดงต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีเพื่อกันส่วนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 3 นั้น เห็นว่า ผู้ร้องขออนุญาตฎีกาและศาลฎีกามีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องฎีกาประเด็นบางข้อและรับฎีกาแล้ว
เจตนาตามคำขอของผู้ร้องดังกล่าวพอแปลได้ว่าผู้ร้องมีความประสงค์ขอถอนฎีกา เมื่อโจทก์มิได้ยื่นคำแก้ฎีกา ถือได้ว่าคำร้องฉบับลงวันที่ 27 สิงหาคม 2563 ของผู้ร้องเป็นคำบอกกล่าวขอถอนฎีกาตามปะมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 175 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 246 และ 252 จึงอนุญาตให้ผู้ร้องถอนฎีกา (ให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความศาลฎีกา คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาทั้งหมดแก่ผู้ร้อง)

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา