2 ม.ค. 2023 เวลา 04:22
ฎีกาที่ 1654/2563
ข้อเท็จจริงตามท้องสำนวนรับฟังว่า เจ้าพนักงานบังคับคดีปิดประกาศแจ้งให้จำเลยทั้งสี่และบริวารทรัพย์สินและรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินพิพาท แต่จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ไม่ออกไปจากที่ดินพิพาท เจ้าพนักงานบังคับคดีมีหนังสือถึงศาลชั้นต้นให้จับกุมและกักขังจำเลยทั้งสี่ ศาลชั้นต้นหมายเรียกจำเลยทั้งสี่มาสอบถามซึ่งศาลชั้นต้นมีอำนาจสั่งจับกุมและกักขังได้ทันที
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 353 (1) โดยหาจำต้องดำเนินการไต่สวนเจ้าพนักงานบังคับคดี และโจทก์ให้ได้ความเสียก่อนที่จะมีการออกคำสั่งกักขังจำเลยที่ 1 กับพวก ดังที่จำเลยทั้งสี่กล่าวอ้างในฎีกาแต่ประการใด นอกจากนี้เมื่อข้อเท็จจริงได้ความตามที่ปรากฏในสำนวนว่า เจ้าพนักงานบังคับคดีส่งมอบที่ดินพิพาทซึ่งไม่มีผู้ใดอยู่อาศัยให้ผู้แทนโจทก์ ก็เข้าครอบครองแล้วในวันที่ 6 ตุลาคม 2560
ทั้งยังขอให้ศาลชั้นต้นเพิกถอนหมายจับและกักขังจำเลยทั้งสี่ตามรายงานผลการส่งมอบการครอบครอง และขอเพิกถอนหมายจับกุมและกักขังจำเลยกับบริวารลงวันที่ 9 ตุลาคม 2560 โดยศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้หมายปล่อยจำเลยที่ 1 และเพิกถอนหมายจับจำเลยที่ 2 หลังจากผิดสัญญาประกันไม่ยินยอมออกจากที่ดินพิพาทตามกำหนดที่แถลงต่อศาลชั้นต้น กับเพิกถอนหมายจับจำเลยที่ 3 ตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นฉบับลงวันที่ 9 ตุลาคม 2560
ส่วนจำเลยที่ 4 มีการปล่อยตัวไปก่อนแล้วเพราะเหตุยินยอมออกไปจากที่ดินพิพาท อุทธรณ์ของจำเลยทั้งสี่ย่อมไม่มีประโยชน์ที่จะพิจารณาอีกต่อไปที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับพิจารณาอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสี่ในข้อที่ว่า การดำเนินกระบวนพิจารณาคดีของศาลชั้นต้นที่มีคำสั่งกักขังจำเลยที่ 1 กับพวก ไม่ชอบด้วยกฎหมายและมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีในข้ออุทธรณ์ของจำเลยทั้งสี่ออกจากสารบบความของศาลอุทธรณ์มานั้นเป็นไปโดยชอบแล้ว ซึ่งศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย (พิพากษายืน (จำหน่ายคดีออกจากสารบบความของศาลอุทธรณ์))

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา