5 ม.ค. 2023 เวลา 07:31
ฎีกาที่ 3518/2564 (บางส่วน)
จำเลยเป็นผู้ทำสัญญาเช่าอาคารชุดในฐานะส่วนตัว มิได้กระทำแทนบุคคลอื่น และเมื่อจำเลยยอมรับว่าจำเลยตกลงทำสัญญาเช่าตามฟ้องกับโจทก์ กรณีจึงไม่จำต้องพิจารณาว่าโจทก์มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดเป็นสำคัญมาแสดงหรือไม่ แม้หนังสือสัญญาเช่ามิได้ปิดอากรแสตมป์ ก็ย่อมรับฟังได้ ไม่ต้องห้ามตามประมวลรัษฎากร มาตรา 118 ส่วนที่จำเลยฎีกาว่าโจทก์ไม่มีสิทธิเรียกเก็บค่าภาษีโรงเรือนจากจำเลยเนื่องจากยังมีเงินประกันความเสียหาย 60,000 บาท
ที่โจทก์ยึดหน่วงไว้โดยไม่มีสิทธิ จำเลยมิได้ให้การต่อสู้คดีในปัญหานี้ไว้ ถือเป็นฎีกาในข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ประกอบ มาตรา 252 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย
อนึ่ง ระหว่างพิจารณาของศาลฎีกาได้มีพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ศ.2564 ซึ่งมีผลบังคับตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 โดยพระราชกำหนดดังกล่าวได้แก้ไขประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 7 และมาตรา 224
เป็นผลให้ดอกเบี้ยผิดนัดปรับเปลี่ยนจากอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี เป็นอัตราร้อยละ 5 ต่อปี หรืออัตราดอกเบี้ยใหม่ที่กระทรวงการคลังปรับเปลี่ยนโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกา แต่ไม่กระทบกระเทือนถึงการคิดดอกเบี้ยผิดนัดในระหว่างก่อนที่พระราชกำหนดนี้ใช้บังคับ ทั้งนี้ปัญหาการกำหนดดอกเบี้ยตามกฎหมายเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยเองและกำหนดดอกเบี้ยให้เป็นไปตามพระราชกำหนดดังกล่าวได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) ประกอบมาตรา 246 และมาตรา 252

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา