8 ม.ค. 2023 เวลา 04:03 • สุขภาพ

โรคติดเชื้อไมโคพลาสมากับโรคหัวใจอักเสบ

โรคติดเชื้อไมโคพลาสมา หรือ โรคติดเชื้อมัยโคพลาสมา หรือโรคไมโคพลาสมา หรือ มัยโคพลาสมา (Mycoplasma infections) คือโรคติดเชื้อที่เกิดจากแบคทีเรียในกลุ่ม Myco plasma ซึ่งจะติดต่อจากคนสู่คน โดยแบ่งโรคติดเชื้อชนิดนี้ออกได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ ตามตำแหน่งของการเกิดโรค
คือการติดเชื้อที่ทำให้เกิดโรคทางระบบทางเดินหายใจ และการติดเชื้อที่ทำให้เกิดโรคของระบบทางเดินปัสสาวะและระบบสืบพันธุ์ โรคทั้งสองกลุ่มนี้ มียาปฏิชีวนะสำ หรับรักษา แต่ไม่มีวัคซีนสำหรับป้องกัน ผู้ที่เคยติดเชื้อเป็นโรคมาแล้ว มีโอกาสติดเชื้อและเป็นโรคซ้ำได้อีก
สาเหตุ โรคติดเชื้อไมโคพลาสมา
เชื้อในกลุ่มไมโคพลาสมา เป็นเชื้อแบคทีเรียที่มีขนาดเล็กที่สุดในแบคทีเรียกลุ่มที่สามารถมีชีวิตอยู่นอกร่างกายคนและสัตว์ได้ และเป็นเชื้อแบคทีเรียที่มีลักษณะพิเศษคือ ไม่มีผนังเซลล์เหมือนแบคทีเรียชนิดอื่นๆอีกหลายชนิด
การแยกเชื้อในกลุ่มนี้จากร่างกายของคน พบมีอยู่ 17 ชนิด (Species) แต่ส่วนใหญ่อา ศัยอยู่ในร่างกายของเราโดยไม่ทำให้เกิดโรค โดยมีอยู่เพียง 5 ชนิดที่ทำให้เกิดโรค ได้แก่ เชื้อชนิด Mycoplasma pneumonia ซึ่งทำให้เกิดโรคของระบบทางเดินหายใจ ซึ่งรวมทั้งปอดบวม และ อีก 4 ชนิด คือ เชื้อชนิด Mycoplasma genitalium, Mycoplasma hominis, Ureaplas ma urealyticum และ Ureaplasma parvum ทำให้เกิดโรคของ ระบบทางเดินปัสสาวะ และระ บบสืบพันธุ์ (ระบบอวัยวะสืบพันธุ์สตรี และระบบอวัยวะสืบพันธุ์ชาย)
การติดต่อของเชื้อชนิด Mycoplasma pneumonia เกิดจากการหายใจเอาละอองน้ำมูก น้ำลาย หรือเสมหะของผู้ป่วยที่ ไอ จาม ออกมา เข้าสู่ระบบทางเดินหายใจ ซึ่งเกิดจากการอยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยโรคนี้ ส่วนเชื้อชนิดอื่นๆที่เหลือ การติดเชื้อเกิดจากการมีเพศสัมพันธ์
การติดเชื้อชนิด Mycoplasma pneumonia ส่วนใหญ่เกิดในช่วงอายุ 5-20 ปี เพศหญิงและเพศชายพบได้เท่าๆกัน พบได้ทั่วโลก เกิดขึ้นได้ประปรายตลอดทั้งปี แต่พบมากในช่วงฤดูร้อนต่อฤดูหนาว การระบาดเป็นกลุ่มๆมักเกิดในที่มีผู้คนอาศัยอยู่หนาแน่นและใกล้ชิดกัน เช่น ในโรงเรียน ค่ายทหาร เป็นต้น ส่วนการระบาดเป็นบริเวณกว้าง (Epidemics) มักเกิดขึ้นเป็นรอบ ๆ ทุกๆ 2-3 ปี
สำหรับการติดเชื้อชนิดอื่นๆสามารถพบได้ทุกเชื้อชาติทั่วโลกเช่นกัน ชายและหญิงพบได้เหมือนๆกัน แต่จะเป็นโรคแตกต่างกันตามอวัยวะของระบบทางเดินปัสสาวะและอวัยวะระบบสืบ พันธุ์สตรี/ อวัยวะระบบสืบพันธุ์ชายที่แตกต่างกัน โดยโรคส่วนใหญ่จะพบในวัยเจริญพันธุ์ ไม่มีฤดูการระบาดที่จำเพาะ
อาการ โรคติดเชื้อไมโคพลาสมา
เมื่อเชื้อไมโคพลาสมาเข้าสู่ร่างกายจะใช้เวลาฟักตัวประมาณ 1-4 สัปดาห์ ซึ่งจะสังเกตได้ว่าไมโคพลาสมาจะใช้เวลาฟักเชื้อนานกว่าเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ หรือเชื้อไวรัสโรคปอดอักเสบชนิดอื่น ๆ ซึ่งเมื่อเชื้อไมโคพลาสมาฟักตัวแล้ว อาจมีอาการเบื้องต้นดังต่อไปนี้
1. ไข้สูงมากกว่า 38 องศาเซลเซียส อาจมีอาการหนาวสั่น
2. ไอแห้ง ๆ อาจมีเสมหะขาว อาการค่อย ๆ เป็นมากขึ้น อาจไอเรื้อรังจนทำให้เจ็บกล้ามเนื้อหน้าอก
3. ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ปวดศีรษะ ครั่นเนื้อครั่นตัว อ่อนเพลีย
4. เจ็บคอ คันคอ อาการเจ็บคอจะไม่มาก คอแดงเล็กน้อยไม่มีหนอง
5. เจ็บหน้าอกเวลาหายใจเข้าหรือออก (พบได้น้อย)
6. อาจพบผื่นแดงตามร่างกาย ลักษณะคล้ายไข้ออกผื่น (ส่าไข้)
7. ถ้าอาการรุนแรงขึ้นจะทำให้หายใจเหนื่อย หายใจเร็ว แต่ยังคงดำเนินชีวิตประจำวันได้ปกติ
8. มีอาการติอต่อกันนานเกิน 1 สัปดาห์ โดยอาการไข้อาจหายก่อน แต่ยังมีอาการไออยู่มากกว่า 3 สัปดาห์ จากนั้นอาจหายได้เองโดยไม่ต้องรักษา
9. หากมีอาการนานและหนักกว่าที่ได้กล่าวไป อาจมีภาวะแทรกซ้อน ทำให้เกิดการติดเชื้อนอกระบบทางเดินหายใจ เช่น ติดเชื้อไมโคพลาสมาที่สมองและไขสันหลัง หรืออาจเป็นโรคเยื่อบุหัวใจอักเสบได้
 
อย่างไรก็ตามพบว่าผู้ที่ได้รับเชื้อไมโคพลาสมาส่วนใหญ่ไม่มีอาการรุนแรง ส่วนมากจะมีอาการคล้ายไข้หวัดและหายเป็นปกติเองได้ โดยมีเพียงร้อยละ 5-10 เท่านั้นที่จะเกิดอาการปอดอักเสบ
การรักษาโรคที่เกิดจากเชื้อไมโคพลาสมา สามารถรักษาได้ด้วยยาปฏิชีวนะกลุ่ม macrolides หรือ doxycycline ผู้ป่วยอาจจำเป็นต้องนอนรักษาในโรงพยาบาลถ้ามีอาการหายใจหอบเหนื่อยมาก หรือมีภาวะแทรกซ้อนรุนแรง
กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ คือ
ภาวะที่มีการอักเสบของกล้ามเนื้อหัวใจ โรคที่เกิดได้หลายสาเหตุ การติดเชื้อจุลชีพเป็นสาเหตุหนึ่ง เข้าใจว่าไวรัสเป็นสาเหตุประมาณครึ่งหนึ่งของเชื้อทั้งหมดที่ทำให้เกิดกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ เชื้อที่พบได้บ่อยคือ
Coxsackie B และ A virus, Echovirus, Influenza A virus นอกนั้นเช่น Mumps, Measles, Rubella, Varicella zoster, Herpes simplex EBV, Cytomegalovirus และ parvovirus B19 นอกจากนี้ยังอาจเกิดจากเชื้ออื่นที่ไม่ใช่ไวรัสก็ได้แต่พบน้อยกว่า เชื้ออื่นเหล่านี้เช่น Borrelia burgdorferi (โรคไลม์) หรือ Trypanosoma cruzi หรือเกิดจากการแพ้ยา เป็นต้น ก็ทำให้เกิดกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบได้หมด
กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบมีสาเหตุได้หลากหลายมาก ได้แก่
การติดเชื้อ โดยมากเป็นเชื้อไวรัส (ซึ่งอาการช่วงแรกก็เหมือนหวัดทั่วไป) แล้วเชื้อเกิดเดินทางมาที่หัวใจ , นอกจากนี้เชื้อแบคทีเรียบางชนิด เช่นในกลุ่ม Ricketsial Mycoplasma ก็ทำให้เกิดอาการได้ (แต่กลุ่มนี้มักจะมีไข้สูงนำมาก่อน) หรือถ้าเป็นอาการของหัวใจรูมาติกก็ทำให้เกิดกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบได้
สารเคมี เช่นสารหนู โลหะหนัก ยาบางชนิด ยาเคมีบำบัด พิษคาร์บอนมอนออกไซด์ ยาเสพติดบางชนิด
การได้รับรังสีที่ทรวงอก
การแพ้ยารุนแรง การแพ้พิษที่รุนแรง
โรคผิดปกติของภูมิคุ้มกัน หรือโรคเนื้อเยื่อเกี่ยวพันต่างๆ
อาการ โรคกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ
ไม่มีอาการเฉพาะของกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ และในผู้ป่วยที่มีพยาธิสภาพของโรคไม่มาก ผู้ป่วยอาจไม่มีอาการผิดปกติและแพทย์มักไม่สามารถตรวจพบโรคได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อกล้าม เนื้อหัวใจมีพยาธิสภาพมากขึ้น อาการที่อาจพบได้ คือ
อาการจากโรคที่เป็นสาเหตุ ซึ่งมักจะเกิดนำมาก่อนหลายๆวัน หรือเป็นสัปดาห์ก่อนที่จะมีอาการทางหัวใจ ที่พบได้บ่อย คือ มีไข้ ปวดหัว อ่อนเพลีย ปวดเมื่อยเนื้อตัว ปวดกล้ามเนื้อ ปวดข้อ อาจมีอาการทางระบบทางเดินหายใจ เช่น ไอ อาจมีเสมหะหรือไม่มีก็ได้ หรืออาจมีอาการทางระบบทางเดินอาหาร เช่น ปวดท้อง ไม่เจาะจงว่าส่วนไหนของช่องท้อง และอาจร่วมกับท้องเสีย
อาการที่เกี่ยวกับโรคหัวใจ เช่น เจ็บหน้าอก หายใจไม่สะดวกโดยเฉพาะเมื่อออกแรง ใจสั่น หัวใจเต้นผิดจังหวะ เหนื่อยง่ายโดยเฉพาะเมื่อออกแรง รู้สึกเป็นลม หรือ เป็นลมบ่อย ถ้าเป็นมาก อาจช็อก อาจเกิดภาวะหัวใจล้มเหลว และอาจเสียชีวิตได้
การรักษา โรคกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ
แนวทางการรักษาโรคกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ คือ การรักษาสาเหตุ การป้องกันและรักษาภาวะหัวใจล้มเหลว และการรักษาประคับประคองตามอาการ
การรักษาสาเหตุ เช่น การให้ยาปฏิชีวนะเมื่อสาเหตุเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย การให้ยาต้านไวรัสเมื่อสาเหตุเกิดการการติดเชื้อไวรัสชนิดที่มียาต้านไวรัส การหยุดยาและให้ยาแก้แพ้ต่างๆเมื่อสาเหตุเกิดจากการแพ้ยา เป็นต้น
การป้องกันและรักษาภาวะหัวใจล้มเหลว ได้แก่
จำกัดอาหารเค็ม เพื่อลดปริมาณเกลือโซเดียมในเลือดซึ่งจะส่งผลให้เกิดความดันโลหิตสูงซึ่งจะเพิ่มการทำงานของหัวใจ หัวใจจึงมีโอกาสเกิดภาวะหัวใจล้มเหลวได้ง่าย
กินยาขับน้ำ/ขับเกลือโซเดียม
รักษาควบคุมโรคเรื้อรังต่างๆที่ส่งผลให้เกิดโรคของหลอดเลือด เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคไขมันในเลือดสูง และโรคเบาหวาน
เลิกบุหรี่ ไม่สูบบุหรี่
ควบคุมน้ำหนักไม่ให้เกิดโรคอ้วนและน้ำหนักตัวเกิน
กินอาหารมีประโยชน์ 5 หมู่ให้ครบในทุกวัน จำกัดอาหารไขมัน แป้งและน้ำตาล แต่เพิ่มผัก ผลไม้ให้มากๆ
ออกกำลังกายสม่ำเสมอตามควรกับสุขภาพทุกวัน
กินยาต่างๆที่แพทย์แนะนำให้ครบถ้วน ถูกต้อง ไม่ขาดยา
รักษาสุขอนามัยพื้นฐาน (สุขบัญญัติแห่งชาติ) เพื่อสุขภาพกาย สุขภาพจิตที่แข็ง แรง ลดความเครียด
การรักษาประคับประคองตามอาการ เช่น กินยาลดไข้ ยาแก้ปวด เมื่อมีอาการไข้ หรืออาการปวด การให้ออกซิเจนเมื่อมีภาวะขาดออกซิเจน และการให้สารน้ำ/สารอาหารทางหลอดเลือดดำเมื่อกินอาหารได้น้อย เป็นต้น
โฆษณา