เพลงนี้ออกมาในช่วงสำคัญของ Whitney ที่ประธานค่ายเพลง Clive Davis ต้องพิจารณาการตัดซิงเกิ้ลอย่างรอบคอบ เพราะวิทนี่ย์สามารถทำสถิติอันดับ 1 ติดต่อกันมาได้แล้ว 5 เพลง อีกเพียงเพลงเดียวเธอจะขึ้นไปครองสถิติร่วมกับอมตะ The Beatles และ Bee Gees
และเพลงที่ 6 คือ So Emotional ที่น่าจะการันตีความฮิตได้จากชื่อชั้นของผู้แต่ง Tom Kelly กับ Billy Steinberg ที่ฮอตมากในยุค 80's จากเพลง Like A Virgin (Madonna), True Colors (Cyndi Lauper), Alone (Heart) หรือ Eternal Flame (The Bangles)
Billy เล่าว่าในการทำงานของเขากับ Tom Kelly จะต่างจากนักแต่งเพลงคนอื่นๆ ซึ่งมักจะแต่งเพลงจากการศึกษาตัวตนของคนที่จะร้อง แต่พวกเขาเลือกจะแต่งเพลงที่ให้ความสำคัญกับเนื้อหา และแสดงตัวตนของเพลงให้เด่นชัดที่สุด ในกรณี So Emotional เขาได้พูดคุยกับ Clive เพียงคร่าวๆ ว่าอยากได้เพลงมีจังหวะสำหรับ Whitney Houston สักเพลง
ในช่วงนั้น ทั้งสองกำลังคลั่งไคล้ซาวด์แบบ Minneapolis ของ Prince จึงนำความชอบมาแต่ง So Emotional ซึ่งในเวอร์ชั่นเดโม่จะฟังเป็น Prince มาก แต่โปรดิวเซอร์ Narada Michael Walden เปลี่ยนให้กลายเป็นเพลงป็อปแดนซ์ที่ฟังง่ายแบบไม่เหลือเค้าเดิม เพิ่มเติมเสียงกีตาร์ร็อคเข้าไป ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง
Billy กล่าวว่า ส่วนที่เขาชอบที่สุดใน So Emotional คือท่อน pre-chorus และท่อน chorus ที่มีการเชื่อมต่อเนื่องทั้งเนื้อหา และทำนองอย่างลงตัวทั้งตัวเพลงและการร้อง (I remember the way we touched, I wish...) และหากให้ Billy เปรียบเทียบจุดเด่นกับเพลงดังเพลงอื่นๆ ที่เขาแต่งเขากล่าวว่า “เพลงนี้อาจจะไม่ปฏิวัติวงการอย่าง Like A Virgin อาจไม่มีความหมายดีงามเหมือน True Colors แต่นี่คือเพลงป็อปที่เปรี้ยว และ strong ที่สุดเพลงหนึ่งที่ผมเคยแต่ง”
ความสตรองของ So Emotional ข้ามทศวรรษมาถึง รอบ Grand Finale ของ Rupaul’s Drag Race ซีซั่น 9 ในปี 2017 ซึ่งเป็นเพลงที่ถูกใช้ใน Lipsync for the Crown ระหว่าง Sasha Velour กับ Shae Coulee ซึ่ง Sasha จับเอาท่อนเกรี้ยวกราดในน้ำเสียงของ Whitney มาแสดงอารมณ์และจุดพีคถอดวิกกุหลาบจนชนะใจ Rupaul เข้าสู่รอบชิงและได้เป็นแชมป์ในที่สุด และยังเป็นหนึ่งในลิปซิงค์ยอดเยี่ยมที่สุดของรายการที่มียอดวิวมากที่สุดอีกด้วย