9 ม.ค. 2023 เวลา 08:17
ฎีกาที่ 4112/2560
ศาลในคดีก่อนได้พิจารณาแล้วเห็นว่า คำฟ้องของจำเลยในคดีก่อนนั้นเป็นคำฟ้องที่ชอบด้วยกฎหมาย และพยานหลักฐานที่จำเลยนำสืบเป็นพยานหลักฐานที่รับฟังได้ โดยข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์ซึ่งเป็นจำเลยที่ 3 ในคดีก่อนนั้นเป็นผู้ลงลายมือสั่งจ่ายเช็ค และเช็คที่โจทก์สั่งจ่ายทุกฉบับเป็นเช็คผู้ถือ จำเลยเป็นผู้ทรงเช็คโดยชอบ มีอำนาจฟ้องให้โจทก์รับผิด
คดีก่อน หากโจทก์มีข้ออ้างข้อเถียงอย่างไร โจทก์ก็มีสิทธินำพยานหลักฐานมานำสืบพิสูจน์ตามข้ออ้าง หรือนำสืบหักล้างพยานหลักฐานของจำเลยได้อยู่แล้ว แต่โจทก์ไม่สืบพยาน จนศาลฎีกาคดีก่อนพิพากษาถึงที่สุดให้โจทก์รับผิดตามฟ้อง คำพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าวย่อมผูกพันคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 วรรคหนึ่ง
การที่โจทก์กลับมาฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ แม้เป็นเรื่องละเมิดอ้างว่าจำเลยเบิกความเท็จ แต่ก็เรียกค่าเสียหายมาเท่ากับจำนวนเงินตามเช็คที่โจทก์ต้องรับผิดในคดีก่อน เห็นได้ว่า คำฟ้องของโจทก์มีจุดประสงค์สำคัญเพื่อให้ศาลพิพากษาว่า พยานหลักฐานของจำเลยซึ่งเป็นโจทก์ในคดีก่อนเป็นพยานเท็จรับฟังไม่ได้ จำเลยไม่ใช่ผู้ทรงเช็คโดยชอบ
และโจทก์ไม่ต้องรับผิดต่อจำเลยตามคำพิพากษาในคดีก่อน ซึ่งศาลฎีกาได้วินิจฉัยชี้ขาดไปแล้ว ข้ออ้างดังกล่าวล้วนไม่อาจเปลี่ยนแปลง แก้ไข กลับ หรืองดเสียซึ่งความมีผลผูกพันของคำพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าวได้ โจทก์จะอ้างว่าจำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์โดยกล่าวอ้างข้อเท็จจริงให้ผิดไปจากคำพิพากษาในคดีก่อนหาได้ไม่ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง
ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าคำฟ้องของโจทก์เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144 มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล (พิพากษายืน (ยกฟ้อง))

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา