11 ม.ค. 2023 เวลา 12:01
ฎีกาที่ 7701/2561 (บางส่วน)
จำเลยที่ 1 คดีนี้เป็นโจทก์ในคดีก่อนและฟ้องในฐานะเป็นผู้จัดการมรดก ถือว่าเป็นตัวแทนของทายาท (รวมถึงจำเลยที่ 2 ด้วย) และเมื่อจำเลยที่ 1 เป็นทายาทด้วยคนหนึ่งต้องถือว่ากระทำในฐานะส่วนตัวด้วย คู่ความในคดีก่อนและคู่ความในคดีนี้จึงเป็นคู่ความเดียวกันและต่างเป็นทายาทที่มีสิทธิได้รับมรดกของผู้ตาย
ทั้งมีประเด็นสำคัญในคดีก่อนและประเด็นในคดีนี้เป็นอย่างเดียวกัน คือ เงินจำนวน 1,2500,000 บาท ซึ่งเป็นจำนวนหนึ่งในบัญชีเงินฝากพิพาทดังกล่าวเป็นสิทธิของโจทก์ซึ่งได้รับเป็นมรดกจากผู้ตายหรือไม่ เมื่อคดีก่อนจำเลยที่ 1 (โจทก์ในคดีดังกล่าว) แถลงยอมรับในรายงานกระบวนพิจารณาฉบับลงวันที่ 20 พฤษภาคม 2556 ว่าเงินจำนวน 1,2500,000 บาท
เป็นเงินส่วนตัวของโจทก์ (จำเลยในคดีดังกล่าว) ไม่ติดใจจำนวนเงินดังกล่าวแต่ขอให้กันเงินส่วนที่เหลือทั้งหมดแก่ทายาท ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์ (จำเลยในคดีดังกล่าว) มีสิทธิในเงินจำนวนดังกล่าวพิพากษาให้เงินจำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยเงินฝากประจำที่ทางธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) จ่ายให้ทุก 3 เดือน
โดยโอนเข้าบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ที่ถอนมามอบให้โจทก์ (จำเลยในคดีดังกล่าว) ด้วย เมื่อคดีถึงที่สุดแล้ว คำพิพากษาในคดีหมายเลขแดงที่ 9896/2557 จึงผูกพันคู่ความในคดีนี้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 วรรคหนึ่ง จำเลยทั้งสองไม่อาจโต้แย้งข้อเท็จจริงเป็นอื่นว่า โจทก์กล่าวอ้างโดยไม่มีพยานหลักฐาน หรือโจทก์เบียดเอาที่ดินเป็นของตนเอง
สมควรถูกกำจัดมิให้รับมรดก ข้อเท็จจริงจึงต้องรับฟังว่าเงินจำนวน 1,2500,000 บาท เป็นสิทธิของโจทก์ที่ได้รับมรดกจากผู้ตายจริง...ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า คำพิพากษาคดีก่อนไม่ผูกพันคู่ความคดีนี้ ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย กรณีไม่จำต้องวินิจฉัยประเด็นฎีกาอื่นเพราะไม่ทำให้ผลแห่งคดีเปลี่ยนแปลงไป

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา