12 ม.ค. 2023 เวลา 06:52
ฎีกาที่ 7775/2561 (บางส่วน)
ฎีกาของโจทก์ที่ 1 เป็นฎีกาที่ยกเหตุว่าค่าขึ้นศาลคำนวณไม่ถูกต้องตามกฎหมาย จึงเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จะมิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในชั้นอุทธรณ์ โจทก์ที่ 1 ก็มีสิทธิที่จะยกขึ้นฎีกาได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคสอง (เดิม) โจทก์ที่ 1 ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 โอนที่ดินพิพาทซึ่งกึ่งหนึ่งเป็นทรัพย์มรดกของนางอารีย์ให้แก่จำเลยที่ 2 ทั้งแปลงไม่ชอบ
ขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนการให้ที่ดินพิพาท และให้แก้ไขสารบัญจดทะเบียนด้วยการใส่ชื่อจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกอีกฐานะหนึ่งนอกเหนือจากในฐานะผู้ถือกรรมสิทธิ์เดิมให้จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทให้โจทก์ที่ 1 ถือกรรมสิทธิ์รวมในที่ดิน 266.66 ตารางวา
และให้จำเลยที่ 2 ส่งมอบโฉนดที่ดินพิพาทเพื่อแก้ไขสารบัญจดทะเบียน หากจำเลยทั้งสองไม่ดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา คดีของโจทก์ที่ 1 จึงเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ และไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้รวมอยู่ด้วย ให้คิดค่าขึ้นศาลตาม (3) ของตาราง 1 ค่าธรรมเนียมศาล (ค่าขึ้นศาล) ซึ่งคำขอของโจทก์ให้เพิกถอนการจดทะเบียนการให้ที่ดินระหว่างจำเลยที่ 1 และที่ 2
โดยให้ใส่ชื่อโจทก์ที่ 1 เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินพิพาท 266.66 ตารางวา เป็นคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้จึงมีทุนทรัพย์เท่ากับราคาที่ดินที่โจทก์ที่ 1 ขอเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์รวม มิใช่เท่ากับกึ่งหนึ่งของราคาที่ดินพิพาทอันเป็นทรัพย์มรดกของนางอารีย์ ส่วนคำขอของโจทก์ที่ 1 นอกนั้นเป็นคำขอปลดเปลื้องทุกข์อันมิอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ซึ่งราคาที่ดินพิพาทที่โจทก์ที่ 1 ขอถือกรรมสิทธิ์รวมเป็นเงิน 333,325 บาท
จึงเป็นทุนทรัพย์ที่โจทก์ที่ 1 ต้องเสียค่าขึ้นศาลตาม (1) (ก) ของตาราง 1 ค่าธรรมเนียมศาล (ค่าขึ้นศาล) เป็นเงิน 6,666 บาท โจทก์ทั้งสองเสียค่าขึ้นศาลรวมกันมาเป็นเงิน 13,333 บาท โจทก์ทั้งสองจึงเสียค่าขึ้นศาลเกินมาคนละ 50 สตางค์ และโจทก์ที่ 1 เสียค่าขึ้นศาลเพิ่มอีก 33,333 บาท
ซึ่งโจทก์ที่ 1 ไม่ต้องเสียค่าขึ้นศาลเพิ่มแต่อย่างใดจึงให้คืนแก่โจทก์ที่ 1 รวมค่าขึ้นศาลชั้นต้นที่คืนให้แก่โจทก์ที่ 1 เป็นเงิน 33,333.50 บาท และเมื่อโจทก์ที่ 1 ฎีการาคาที่ดินพิพาทในชั้นฎีกาเป็นอย่างเดียวกับศาลชั้นต้น โจทก์ที่ 1 ผู้ฎีกาต้องเสียค่าขึ้นศาลในชั้นฎีกาตามราคาที่ดินพิพาทเช่นเดียวกับในศาลชั้นต้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 150 วรรคสอง
เมื่อโจทก์ที่ 1 เสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาเป็นเงิน 40,000 บาท จึงเสียเกินมา 33,334 บาท ต้องคืนแก่โจทก์ที่ 1 ในส่วนของค่าขึ้นศาลเห็นควรวินิจฉัยถึงโจทก์ที่ 2 และจำเลยทั้งสองที่มิได้ฎีกาด้วยโดยในส่วนของโจทก์ที่ 2 ยื่นคำร้องขอถอนฟ้อง ศาลชั้นต้นอนุญาต ให้จำหน่ายคดีโจทก์ที่ 2 ออกจากสารบบความ แต่ศาลชั้นต้นมิได้สั่งค่าฤชาธรรมเนียมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 151 วรรคสอง จึงไม่ถูกต้อง
และศาลอุทธรณ์ภาค 3 มิได้แก้ไข ศาลฎีกาเห็นควรแก้ไขให้ถูกต้อง เห็นสมควรคืนค่าขึ้นศาล 6,000 บาท แก่โจทก์ที่ 2 เมื่อรวมกับค่าขึ้นศาล 50 สตางค์ ที่โจทก์ที่ 2 เสียเกินมาจึงให้คืนค่าขึ้นศาลแก่โจทก์ที่ 2 เป็นเงิน 6,000.50 บาท และสำหรับจำเลยทั้งสองในชั้นอุทธรณ์ ราคาที่ดินที่พิพาทในชั้นอุทธรณ์เป็นอย่างเดียวกับในศาลชั้นต้น จำเลยทั้งสองผู้อุทธรณ์จึงเสียค่าขึ้นศาลตามราคาเช่นเดียวกับในศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 150 วรรคสอง
คือต้องเสียค่าขึ้นศาลในชั้นอุทธรณ์เป็นเงิน 6,666 บาท จำเลยทั้งสองเสียมาเป็นเงิน 40,000 บาท จึงเสียเกินมา 33,334 บาท ต้องคืนให้แก่จำเลยทั้งสอง และทำให้ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ที่โจทก์ที่ 1 ต้องรับผิดต่อจำเลยทั้งสองตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ลดลงเป็นเงิน 33,334 บาท ด้วย เมื่อโจทก์ที่ 1 วางค่าฤชาธรรมเนียมใช้แทนจำเลยทั้งสองในชั้นยื่นฎีกา
จึงต้องคืนเงิน 33,334 บาท ให้แก่โจทก์ที่ 1 (พิพากษายืน (ให้ยกฟ้องโจทก์ที่ 1) ให้คืนค่าขึ้นศาลในศาลชั้นต้น 33,333.50 บาท แก่โจทก์ที่ 1 คืนค่าขึ้นศาลในชั้นฎีกา 33,334 บาท แก่โจทก์ที่ 1 คืนค่าฤชาธรรมเนียมใช้แทนที่วางไว้แทนจำเลยทั้งสอง 33,334 บาท แก่โจทก์ที่ 1 คืนค่าขึ้นศาล 6,000.50 บาท แก่โจทก์ที่ 2 คืนค่าขึ้นศาลในชั้นอุทธรณ์ 33,334 บาท ให้แก่จำเลย)

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา